บทที่ 6
ความเปลี่ยนแปลง
พอเวลารุ่งเช้ามาเยือน ร่างที่นอนสลบไสลอยู่ก็ลืมตาตื่น ซ่งหานหลิ่งกะพริบตาขับไล่ความง่วงงุน ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวไหล่ด้านซ้าย ทว่าเขายังพอทนได้จึงไม่ส่งเสียงร้องออกไป เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แผ่นหลังพิงต้นไม้ต้นหนึ่งที่ใหญ่โตและแข็งแรงพอควร
“คุณชาย ท่านฟื้นแล้ว” เป้าจื่อไป๋ร้องทัก เมื่อเดินกลับมาแล้วเห็นว่าคนที่หมดสติไปฟื้นแล้ว
“อืม...แล้วนี่อาฮั่นไปที่ใด” เมื่อนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายกระอักเลือดออกมาเมื่อคืน ซ่งหานหลิ่งก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงนายท่านหรอกเจ้าค่ะ” เป้าจื่อไป๋เอ่ยราวกับรู้ทันความคิดชายหนุ่ม “นายท่านไปจับปลาต้มน้ำแกง”
“ข้าน่ะหรือเป็นห่วงเจ้านายของเจ้า...”
“เป็นห่วงก็เอ่ยออกมาว่าเป็นห่วงเถอะอาหลิ่ง จะเก็บงำคำพูดไปไย” แล้วคนที่ถูกพูดถึงก็เดินกลับมาพอดี พร้อมกับปลาตัวใหญ่สี่ตัวในมือ
“ไป๋เอ๋อร์ เอาปลานี่ไปจัดการซะ” เหอเจ่อฮั่นว่าพร้อมกับยื่นปลาไปให้
“นายท่าน ข้าย่างมันสักตัวได้หรือไม่?” แมวน้อยในสายตาของผู้เป็นนายเอ่ยเสียงเบา พร้อมส่งสายตาออดอ้อนน้อยๆ ไปให้
“ตามใจเจ้าสิ แต่ต้องแบ่งปรุงน้ำแกงให้อาหลิ่งดื่มด้วย” เขาว่าก่อนจะเดินลงไปนั่งข้างๆ ซ่งหานหลิ่ง
เป้าจื่อไป๋รีบนำปลาทั้งสี่ตัวไปจัดการ ก่อนจะเดินกลับมาถามหาหม้อและเครื่องปรุง
เหอเจ่อฮั่นส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะล้วงเข้าไปในแหวนมิติที่ซ่งหานหลิ่งสวมอยู่ที่นิ้วมือข้างขวา จากนั้นเขาก็หยิบเอาหม้อ ถ้วย ช้อนและเครื่องปรุงออกมาวางไว้ให้เจ้าแมวน้อย
เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว เป้าจื่อไป๋ก็หมุนกายจากไปทันที ปลาสามตัวจะถูกนางแกงเป็นน้ำแกงปลา ส่วนอีกหนึ่งตัวนางจะย่างไฟอ่อนๆ อย่างเช่นที่คุณชายซ่งทำให้กิน
“เจ้าหยิบของในแหวนมิติของข้าได้อย่างไร?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถาม
ปกติแล้วของจำพวกแหวนมิติ กำไลมิติหรืออะไรที่ใช้เก็บและกักตุนสินค้าเหล่านี้ จะถูกผูกพันธะไว้ด้วยเลือดของผู้เป็นเจ้าของมิใช่หรือ?
แล้วนี่เหอเจ่อฮั่นสามารถรุกล้ำแหวนมิติของเขาได้อย่างไร?
“เมื่อคืนข้าคงกระอักเลือกออกมา แล้วเลือดคงกระเด็นไปถูกแหวนมิติของเจ้าเข้า มันเลยคิดว่าคงจะเป็นเจ้านายคนใหม่ของมัน”
ที่เหอเจ่อฮั่นพูดมานั้นเป็นความจริง แหวนมิติถูกตีตราความเป็นเจ้าของด้วยหยดเลือด ฉะนั้นเมื่อเลือดของเหอเจ่อฮั่นกระเด็นไปถูกมันเข้า มันจึงรับรู้ว่าเหอเจ่อฮั่นเป็นนายใหม่
ในตอนแรกๆ เขาผู้เป็นเจ้าของเดิมจะยังคงใช้งานมันได้อยู่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง แหวนมิติจะจดจำกลิ่นเลือดของเจ้าของคนใหม่ชัดเจนขึ้น และเขาผู้เป็นเจ้าของเดิมก็จะใช้งานมันไม่ได้อีก
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดจึงควรเก็บของวิเศษจำพวกนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา เพราะพวกมันจะจดจำผู้เป็นเจ้าของได้จากเลือดที่หยดลงไป และกลิ่นอายพลังปราณของผู้เป็นเจ้าของนั่นเอง
ซ่งหานหลิ่งมองแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วชี้ข้างขวา แหวนมิติวงนี้เป็นวงที่อาจิ้งให้มา ในนั้นบรรจุเครื่องครัว เครื่องเรือนไว้มากมาย คงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก หากเขาจะมอบมันให้ผู้ที่เป็นเจ้าของใหม่
“แหวนมิติวงนี้มิอาจครอบครองซ้ำซ้อนบ่อยเกินไป เช่นนั้นเจ้าก็เก็บมันไว้เถอะ” ซ่งหานหลิ่งว่าพร้อมถอดแหวนออกจากนิ้วมือ
แหวนวงนี้ไม่มีพวกพิษหรือสมุนไพรหายาก ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้สึกเสียดาย แต่หากเป็นแหวนอีกวงที่สวมอยู่ในนิ้วชี้ข้างซ้าย เห็นทีว่าเขาคงต้องมีปากเสียงกับอีกฝ่ายอีกฝ่ายเสียหน่อย
“เจ้าให้แหวนข้าทำไม?” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถาม ตาก็มองแหวนที่อีกฝ่ายวางไว้บนฝ่ามือด้วยความงุนงง
“ก็เจ้าเป็นเจ้าของคนใหม่ของมัน ต่อให้ข้าไม่เต็มใจมอบมันให้กับเจ้า ข้าก็ใช้งานมันไม่ได้อยู่ดี”
ซ่งหานหลิ่งเอ่ยบอก ก่อนจะหันหน้าไปมองบาดแผลของตนที่หัวไหล่ซ้ายแวบหนึ่ง
“เช่นนั้นข้าจะถือว่ามันเป็นของหมั้นที่เจ้ามอบให้ข้าก็แล้วกัน”
เหอเจ่อฮั่นเอ่ยหน้าเฉย ก่อนจะสวมแหวนเข้าที่นิ้วกลางข้างซ้าย ทว่ากลับรู้สึกไม่พอดีเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนไปสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายแทน
“พอดีเลย” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วบอกให้เขาหยิบเอายาในแหวนมิติอีกวงออกมา
“ข้าไม่เป็นไร” หมอหนุ่มว่าก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าตนเองให้เข้าที่เข้าทาง
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร? เจ้าปีศาจนั่นร้ายกาจแค่ไหนเจ้าเองก็เห็น” เหอเจ่อฮั่นทำหน้าดุ ก่อนจะลุกเดินไปยังนั่งอีกฝั่ง แล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของซ่งหานหลิ่งออก
“ข้าไม่เป็นไร ก็แค่รอยแผลกัดเท่านั้น” ซ่งหานหลิ่งว่า ก่อนจะเอี้ยวกายหลบอีกฝ่ายเป็นพัลวัน
“ข้าไม่เชื่อ อาหลิ่งเจ้าอย่าดื้อสิ ตนเองเป็นหมอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ารอยแผลกัดนั้นย่อมไม่ธรรมดา”
คนหนึ่งพยายามใส่ อีกคนพยายามถอด สถานการณ์ระหว่างบุรุษทั้งสองจึงค่อนข้างวุ่นวาย กระทั่งคนถูกถอดผ้าสู้แรงอีกคนไม่ไหว รอยกัดแผลใหญ่จึงได้ปรากฏสู่สายตา
เหอเจ่อฮั่นจ้องมองรอยแผลนั้นด้วยความฉงน ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าปีศาจตนนั้นเป็นงู แม้จะมีอีกร่างที่เป็นมนุษย์ แต่ตอนที่มันกัดอาหลิ่งนั้นมันอยู่ในร่างงูไม่ผิดแน่
แต่ทำไมรอยกัดนี้จึงไม่เหมือนรอยเขี้ยวงู?
แต่กลับกลายเป็นรอยฟันของคนไปได้
“น่าแปลกยิ่ง ตัวมันเป็นงูชัดๆ แต่รอยกัดกลับเป็นรอยฟันคน อาหลิ่งรอยกัดนี้มีพิษหรือไม่?”
หากเป็นงูพิษ แน่นอนว่ารอยกัดของมันต้องเป็นสองเขี้ยวคู่หน้า ทว่ารอยกัดที่อยู่บนตัวอาหลิ่งกลับเป็นรอยฟันคน ยากยิ่งนักที่จะรู้ได้ว่ามีพิษหรือไม่ แล้วจะส่งผลเช่นใดกับผู้ที่ถูกกัด
“ข้าไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ภายในร่างกายเลย” ซ่งหานหลิ่งตอบตามความจริง นอกจากที่เขาสลบไปแล้ว ร่างกายส่วนอื่นก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด
เหอเจ่อฮั่นพยักหน้ารับ หากเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นอะไรเขาเองก็คงต้องเชื่อตามนั้น แม้ลึกๆ จะรู้สึกหวั่นๆ ในใจอยู่บ้างก็ตาม
“นายท่าน คุณชาย อาหารเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เป้าจื่อไป๋ร้องบอก ก่อนที่ร่างบอบบางของนางจะเดินมาถึง
ทั้งสามทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ฝีมือทำอาหารของเป้าจื่อไป๋นับว่ารสชาติดี น้ำแกงปลาหม้อใหญ่จึงถูกซดจนหมด รวมไปถึงปลาย่างหนึ่งตัวนั้นด้วย
ภาชนะทุกอย่างถูกล้างแล้วเก็บเข้าไว้ในแหวนมิติ ที่บัดนี้ถูกสวมอยู่บนนิ้วมือของเหอเจ่อฮั่น ยามนี้ยังอยู่ในช่วงสาย หากว่าพวกเขาเดินทางต่อไปอาจจะพบเจอหมู่บ้านก็เป็นได้
“อาหลิ่ง เจ้าเดินทางต่อไหวหรือไม่” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ได้ มีอะไรให้ต้องวิตกกังวลกัน”
ว่าแล้วทั้งสามคนก็มุ่งหน้าเดินทางต่อ กระทั่งถึงต้นยามโหย่ว (17.00-18.59น.) พวกเขาก็มองเห็นบ้านคนหนึ่งถึงสองหลังอยู่ไกลๆ
แม้จะเป็นเวลาใกล้ค่ำ แต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกขอบฟ้า บุรุษทั้งสองจึงตกลงกันว่าจะเดินต่อไปจนถึงหมู่บ้าน แล้วค่อยหาที่พักทีเดียว
ยิ่งเดินใกล้ถึงหมู่บ้าน เป้าจื่อไป๋ก็ยิ่งเกาะอยู่ข้างกายผู้เป็นนายแน่น ซ้ำยังดึงแขนเสื้อของซ่งหานหลิ่งให้ขยับเข้ามาเดินใกล้ๆ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า บุรุษสองคนกำลังเดินแนบชิดไหล่ชนกัน โดยมีร่างเล็กๆ ของเป้าจื่อไป๋เดินซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง
“ไป๋เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้กลัวไป มีข้าและอาหลิ่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน” แม้ปากจะว่าอย่างนั้น แต่เหอเจ่อฮั่นกลับยิ้มไม่หุบ เมื่อได้เดินข้างกายซ่งหานหลิ่ง
เมื่อทั้งสามเดินมาถึงบ้านหลังแรกที่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน เหอเจ่อฮั่นก็ร้องเรียกคนในบ้านนั้นทันที
“มีใครอยู่ในบ้านบ้างหรือไม่?”
เหอเจ่อฮั่นร้องถามไปสองครั้ง รออยู่เพียงชั่วครู่จึงได้มีชายชราผู้หนึ่งเดินออกมา พร้อมกับคบเพลิงไม้ไผ่ในมือ
“พวกท่านมาหาผู้ใดกันหรือ?” ชายชราในชุดสีหม่นเอ่ยถาม
“ท่านลุง พอดีพวกข้าพลัดหลงกับขบวนเดินทาง จึงอยากจะขอความช่วยเหลือสักหน่อย มิทราบว่าท่านลุงพอจะบอกทางไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านให้ทราบได้หรือไม่”
ชายชรามองสีหน้าของคนแปลกหน้าทั้งสามแล้วพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะก้าวเดินนำหน้าไป
“ตามมาๆ ข้าจะพาไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเอง”
ทั้งสามเดินตามชายชราไปด้วยความระแวดระวัง ไม่นานก็เดินมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน รอบข้างมีบ้านอีกสี่ห้าหลังตั้งอยู่ห่างกันออกไปไม่ไกลนัก
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน!” ชายชราร้องเรียกเสียงดัง
“ใคร? มีธุระอะไรมืดค่ำป่านนี้...ตาเฒ่าหู?” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันมองคนแปลกหน้าทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“แล้วนั่นพาใครมา?”
“พวกเขาพลัดหลงกับขบวนเดินทาง มาขอความช่วยเหลือ...” ตาเฒ่าหูว่าได้เพียงเท่านั้น หัวหน้าหมู่บ้านก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน แล้วเดินออกมาพร้อมกับดาบเล่มใหญ่ในมือ
“พวกเจ้าคิดจะมาหลอกปล้นหมู่บ้านของข้าใช่หรือไม่ พวกโจรสารเลว!”
ชายหนุ่มทั้งสองหันมองหน้ากัน ส่วนเป้าจื่อไป๋หลบไปยืนอยู่ด้านหลังของเหอเจ่อฮั่นผู้เป็นนายด้วยความกลัว
หญิงสาวคิดไว้ในใจแล้วว่า อย่างไรเสียจิตใจมนุษย์นั้นก็ยากแท้หยั่งถึง นางเคยถูกคนพวกนั้นขับไล่หนีตายมาด้วยความยากลำบากมาแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมเข้าใจแจ่มแจ้งถึงความจริงข้อนี้ดี
นอกจากนายท่านกับคุณชายซ่งแล้ว...คนอื่นๆ ก็ใจร้ายด้วยกันทั้งหมด!
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านได้โปรดใจเย็น พวกข้าหาได้มีเจตนาร้ายใดไม่ เพียงแค่ต้องการหาทางเข้าเมืองในวันพรุ่งก็เท่านั้น”
ซ่งหานหลิ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านและชายชราแซ่หูอีกคนคลายความหวาดระแวงลง
“ไม่ทราบว่าหมู่บ้านแถบนี้ถูกโจรปล้นบ่อยเช่นนั้นรึ?” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถาม
เมื่อคลายความหวาดระแวงลง หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกเขามานั่งที่หน้าเรือน พร้อมกับให้ภรรยานำน้ำมาให้ดื่ม
“เมื่อก่อนก็ไม่บ่อยหรอก เพราะมีแม่ทัพที่เก่งกล้าคนหนึ่งมาประจำยังชายแดนแทบนี้ ทว่าตอนนี้ได้ย้ายไปประจำการที่อื่นแล้ว พวกโจรป่าโจรภูเขาก็เลยพากันได้ใจ สองสามเดือนมานี้จึงถูกปล้นจี้อยู่บ่อยครั้ง”
หัวหน้าหมู่บ้านเปิดปากเล่าอย่างไม่ปกปิด เมื่อเห็นว่าคนทั้งสามดูท่าทางไม่มีพิษภัย อีกทั้งยังเหมือนผู้ดีมีเงินในเมืองอีกต่างหาก
“เช่นนั้นข้าขอเรียนถามท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ว่าที่นี่อยู่ตรงส่วนไหนของแคว้นหนานไห่?”
“อยู่แถบเหนือ ห่างออกไปไม่กี่ร้อยลี้ก็เข้าเขตแคว้นเป่ยจ้าวแล้ว ว่าแต่พวกท่านพลัดหลงมาจากที่ใดกันล่ะ”
“พวกเราพลัดหลงกับขบวนเดินทางที่กำลังจะกลับไปถังหนาน หลังจากที่ไปค้าขายยังแคว้นตงฟู่มาขอรับ” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยตอบ
หลังจากคุยกันไปได้สักพัก หัวหน้าหมู่บ้านก็ให้พวกเขาทั้งสามเข้าไปนอนยังห้องห้องหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ด้านข้างของตัวบ้าน
“ห้องเก็บฟืน? ประเสริฐนักที่กล้าให้แขกนอนห้องเก็บฟืน” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยออกมาอย่างฉุนเฉียว
“มิใช่ว่าในป่าก็นอนมาแล้วหรอกหรือ ห้องเก็บฟืนนี้อบอุ่นกว่าพื้นดินในป่าอยู่ไม่น้อย” ซ่งหานหลิ่งว่าก่อนจะเอนกายไปพิงกับเสา
“ไป๋เอ๋อร์นอนได้หรือไม่?” ชายหนุ่มหันไปถามคนที่นอนอยู่อีกฝั่งของห้อง
“นางหลับไปแล้วล่ะ” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยตอบ ก่อนจะมองร่างบอบบางของนางด้วยสายตาครุ่นคิด
เป้าจื่อไป๋แลดูเป็นสตรีอ่อนแอและบอบบางถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าแท้ที่จริงแล้วจะเป็นถึงเสือดาวหิมะตัวใหญ่ โลกนี้สอนให้รู้ว่าคนเราไม่ควรเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นจริงๆ
“อาฮั่น ข้าของถามบางอย่างเจ้าได้หรือไม่?”
“ถามมาสิ สำหรับเจ้าข้าให้ถามได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว” เหอเจ่อฮั่นตอบยิ้มๆ โดยไม่รู้เลยว่าคำถามของซ่งหานหลิ่งนั้นจะทำให้เขายิ้มไม่ออก
“วรยุทธของเจ้า...ก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้อย่างไร?” หมอหนุ่มเอ่ยถามถึงข้อสงสัย
ห้าปีก่อนวรยุทธของอีกฝ่ายอ่อนด้อยเช่นใดเขารู้ดี แม้ว่าเหอเจ่อฮั่นจะคร่ำเคร่งฝึกตนเองอย่างหนัก ทว่าด้วยอายุและร่างกายของเขาแล้ว เป็นไปได้ยากที่อีกฝ่ายจะพัฒนาฝีมือขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ได้ภายในห้าปี
“ขะ...ข้า”
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าที่ปีศาจตนนั้นพูดว่ามีคนไปบุกรุกเขตแดนของมัน หมายความว่าเช่นไร?”
คนถูกถามอึกอัก เรื่องที่ซ่งหานหลิ่งถามมานั้นเคยเกิดขึ้นกับเขาจริง ทว่าในตอนนั้นเขาได้รู้ไม่ว่าดินแดนที่ตนกับอี้เจาพลัดหลงเข้าไปนั้น มีผู้ใดเป็นเจ้าของครอบครองอยู่
“ก่อนที่จะเจอกับเจ้าในป่า ข้ากับอี้เจาพร้อมด้วยคนในขบวนเดินทางนับห้าสิบ หลงทางเข้าไปในป่าแห่งหนึ่งจริงๆ”
เหอเจ่อฮั่นเอ่ยตอบ พร้อมกับจ้องมองใบหน้าคนถามจากอีกฝั่งของห้องเก็บฟืน
ตอนนั้นจำได้ว่าตนเองและขบวนเดินทางกำลังมุ่งหน้าลงใต้ ทว่าในระหว่างเดินทางอยู่ดีๆ ก็เจอเข้ากับพายุฝน จึงได้พากันไปหลบใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
พายุในตอนนั้นแรงมาก ทั้งลมทั้งฝนตกหนักกระหน่ำลงราวกับฟ้ารั่ว ผ่านไปหลายชั่วยามจึงได้หยุดตก ทว่าในเวลานั้นก็มืดค่ำมากแล้ว เขาและคนอื่นๆ จึงได้หาที่ค้างแรมกัน
แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาในอีกวัน พวกเขาทุกคนก็เป็นอันต้องตกตะลึง เมื่อป่าไม้โดยรอบที่เห็นอยู่เมื่อวานนี้กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้งขนาดใหญ่ พื้นดินที่เหยียบอยู่ก็แตกระแหงไร้ความชุ่มฉ่ำ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่กี่ชั่วยามมีพายุหนัก
พวกเขาพากันเดินเท้าไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางออก กระทั่งเสบียงและน้ำที่เตรียมไปหมดลง คนในขบวนห้าสิบชีวิตค่อยๆ ตายลงต่อหน้าเขา ด้วยเพราะคนเหล่านั้นเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาไร้วรยุทธ ร่างกายจึงไม่อาจทนทานต่อความยากลำบากได้
ความจริงแล้วเหอเจ่อฮั่นก็เกือบตายไปแล้วเหมือนกัน ดีที่ว่าอี้เจาช่วยสอนให้เขาเดินพลังปราณธาตุภายใน เขาจึงยังไม่ตายไปเป็นคนแรกๆ
จนสุดท้ายก็เหลือเพียงเขาและอี้เจา วันเวลาที่ผ่านไปในที่แห่งนั้นยาวนานเกินครึ่งปี พวกเขาทั้งสองอาศัยน้ำหมอกในยามเช้าประทังชีวิต ส่วนอาหารก็คืองูทุกชนิดที่หาได้
น่าแปลกที่พื้นที่แห้งแล้งแห่งนั้นกลับมีงูอาศัยอยู่ เขาและอี้เจาที่ต้องดิ้นรนทางเอาชีวิตรอด ไม่รอช้าที่จะจับพวกมันมาย่างกินเป็นอาหาร
หากกินไปแล้วตายก็ไม่นับเป็นอะไร ในเมื่อพวกเขาก็ต้องตายอยู่ในดินแดนอันแห้งแล้งนี้อยู่ดี
“แล้วอย่างไรต่อ? เจ้ารอดมาจากที่นั่นได้อย่างไร?”
“พูดไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ ว่าอยู่ดีๆ จะมีบ่อน้ำบ่อหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าข้า”
เป็นเรื่องจริงว่าหลังจากลืมตาตื่น เหอเจ่อฮั่นก็พบกับบ่อน้ำบ่อหนึ่งอยู่ตรงหน้า ในจังหวะนั้นเขาไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พุ่งตรงไปดื่มกินน้ำในบ่อด้วยความกระหาย ก่อนจะร้องเรียกอี้เจาให้มากินด้วยกัน
“ข้าดื่มน้ำในบ่อนั่นไปเยอะมาก ทว่าจู่ๆ มันก็หายไปต่อหน้าต่อตา ขนาดอี้เจายังได้ดื่มไปเพียงไม่กี่อึก”
“แล้วหลังจากนั้นเกิดอันขึ้น”
“ข้าแน่นท้องจนนั่งไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายภายในร้อนราวกับถูกไฟเผา ทรมานอยู่อย่างนั้นราวเจ็ดวันได้ หลังจากนั้นข้าก็หมดสติไป แล้วพอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ข้ากับอี้เจาก็กลับมาอยู่ยังใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมที่ใช้หลบฝนในวันที่มีพายุหนัก”
“น่าแปลก” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยขึ้นคำหนึ่งหลังจากฟังจบ
“ใช่น่าแปลกมากทีเดียว ข้ายังคิดอยู่เลยว่าตนเองถูกผีหลอกหรือไม่ ทว่ากำลังภายในที่ได้มาและพลังปราณธาตุที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้รู้ว่าข้าไม่ได้ถูกผีหลอก และไม่ได้ฝัน รวมไปถึงคนในขบวนห้าสิบคนที่ตายไปด้วย”
พูดมาถึงตรงนี้แล้วเหอเจ่อฮั่นก็ตีสีหน้าสลด รู้สึกว่าตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัวนัก ที่มีชีวิตรอดมาได้ ในขณะที่ผู้อื่นล้วนตายตก ทั้งยังได้วรยุทธและพลังปราณเพิ่มมาอย่างง่ายดายอีก
“นั่นนับว่าเป็นโชควาสนาของเจ้า” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยปลอบ
ใครกันที่จะสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ หากทำได้เช่นนั้นใต้หล้าคงจะมีแต่คนที่มีความสุขเพราะสมหวังในสิ่งที่ตนเองปรารถนา
“แล้วกระบี่นั่นเจ้าได้มาอย่างไร?”
เหอเจ่อฮั่นเลิกคิ้วครั้งหนึ่ง “ข้าก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน เพราะหลังจากรู้สึกตัวหลังจากที่สลบไป มันก็มาปรากฏอยู่ข้างกายของข้าแล้ว แล้วข้าก็ชอบมันมากทีเดียว”
“นี่ก็นับเป็นโชควาสนาของข้าใช่หรือไม่อาหลิ่ง”
“อืม” ซ่งหานหลิ่งตอบสั้นๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอน
ชายหนุ่มไม่ออกความคิดเห็นว่าวาสนาของเหอเจ่อฮั่น เป็นเหตุให้พวกเขาต้องพบเจอกับปีศาจตนนั้น อีกอย่างคือเหอเจ่อฮั่นไม่ได้ตั้งใจบุกรุกเข้าไปยังดินแดนแห่งนั้น แต่เพราะปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่นำพาเขาไป
พอได้ฟังเรื่องราวที่เหอเจ่อฮั่นเล่า อยู่ๆ ชายหนุ่มก็นึกถึงตำนานเรื่องหนึ่งที่บิดาเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งยังเป็นเด็กขึ้นมา...
เรื่องราวของเซียนน้อยตนหนึ่ง ที่สุดท้ายกลายร่างเป็นอสุรกายดุร้ายและน่าเกลียดน่ากลัว ที่อาศัยอยู่ในดินแดนเปลี่ยวร้าง อันเป็นดินแดนลี้ลับในตำนาน ที่ไม่มีผู้ใดรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าตั้งอยู่ที่ใด
บางตำนานก็เล่าว่าดินแดนแห่งนั้นคือโลกมาร
บ้างก็ว่าดินแดนเปลี่ยวร้างคือนรกขุมหนึ่ง
บ้างก็ว่าดินแดนแห่งนั้นอยู่ระหว่างปรโลกกับโลกมาร มีหน้าที่กั้นกลางระหว่างสองดินแดนนั้นเอาไว้
แต่บ้างก็ว่าดินแดนแห่งนั้นไม่มีจริง
“อาหลิ่ง เจ้าจะนอนแล้วหรือ” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยถาม เมื่ออยู่ๆ คนที่ชวนเขาคุยก็เงียบไป
“อืม...เจ้าเองก็พักผ่อนเถอะ” ชายหนุ่มว่าก่อนจะพลิกกายนอนหันหลังให้อีกฝ่าย
“เช่นนั้นข้าไปนอนข้างๆ เจ้าได้หรือไม่ แม้จะเป็นนายบ่าวกัน แต่หากจะให้ข้านอนข้างๆ ไป๋เอ๋อร์ย่อมเป็นเรื่องไม่ดี”
เหอเจ๋อฮั่นไม่รอฟังคำตอบ ชายหนุ่มจัดการย้ายร่างกายของตนเองมานอนยังพื้นที่ข้างๆ ซ่งหานหลิ่งในทันที แม้ว่าอีกฝ่ายจะนอนหันหลังให้เขาก็ตาม...