และไม่รู้ว่าเป็นคราวเคราะห์ของนางหรือไม่ เพราะเมื่อคืนวันพระจันทร์ครึ่งดวงรอบที่แล้ว มีชาวบ้านคนหนึ่งมาพบนางตอนที่กำลังเปลี่ยนร่างพอดี จึงกลายเป็นสาเหตุให้นางถูกขับไล่ จนได้มาพบกับบุรุษทั้งสองคนนี้
“หิว?” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยอย่างไม่เชื่อหู ก่อนหน้านางมีร่างกายเป็นเสือดาวตัวใหญ่ยักษ์ มาตอนนี้นางกลายร่างเป็นหญิงสาวผิวขาวแสนบอบบาง นี่มันกลลวงของพวกปีศาจชัดๆ
“เจ้าเลยจะมาจับพวกข้ากินเป็นอาหาร...”
“ไม่นะ! ไม่ใช่อย่างนั้น”
“อาฮั่น!” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยปราม ก่อนที่ทั้งสองคนจะเปิดฉากทะเลาะกัน
“เจ้าคงมาตามกลิ่นเนื้อแห้งย่างของข้ากระมัง” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยขึ้น ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับแต่โดยดี
สองเค่อผ่านไปหนึ่งสตรีสองบุรุษก็มานั่งล้อมวงกัน ตรงกลางมีกองไฟที่ถูกพัดเป่าให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเพื่อย่างเนื้อหมูป่าแห้ง
“อร่อยหรือไม่?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถาม ดวงตาทั้งสองข้างมองไปที่เป้าจื่อไป๋ด้วยความเอ็นดู
“อร่อย ทั้งหอมทั้งอร่อย ขอบคุณคุณชายเมตตาข้า” หญิงสาวว่า ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากัดเนื้อหมูป่าแห้งที่ย่างสุกจนเหลืองหอมแล้วเคี้ยวตุ่ยๆ อย่างมีความสุข
“อาหลิ่ง เจ้าใจดีกับนางเกินไปหรือไม่ ก่อนหน้านี้นางยังเป็นเสือดาวตัวใหญ่ที่คิดจะทำร้ายเจ้ากับข้าอยู่เลย” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยอย่างคนไม่สบอารมณ์
ชายหนุ่มรู้สึกน้อยใจซ่งหานหลิ่งยิ่งนัก เพิ่งจะเจอแม่เสือดาวสาวตัวนี้แท้ๆ แต่กลับส่งแววตาเอื้อเอ็นดูไปให้ขนาดนั้น ทั้งยังใจดีย่างเนื้อหมูป่าแห้งให้กินอีก
“ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายท่านทั้งสองนะ เพียงแค่...ข้าเพียงแค่ตื่นกลัวไปหน่อยก็เท่านั้น” เป้าจื่อไป๋เอ่ยตอบเสียงอ่อน
นางไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใครจริงๆ ความตั้งใจแรกของนางคือจะมาขโมยเนื้อแห้งย่างที่กำลังกินอยู่ในตอนนี้ก็เท่านั้น
แต่ไม่นึกว่าคุณชายผู้เงียบขรึมจะรู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน และเขาก็อาจจะตกใจที่เห็นนาง เพราะตอนนั้นนางอยู่ในร่างของเสือดาว จึงเกิดการต่อสู้ขึ้น กระทั่งคุณชายอีกคนหนึ่งเดินมาเจอ
“เหอะ!” เหอเจ่อฮั่นแค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่มีทางที่เขาจะเชื่อคำพูดของปีศาจนางนี้ง่ายๆ แน่
ซ่งหานหลิ่งมองหน้าอันบูดเบี้ยวของเหอเจ่อฮั่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บสายตากลับมา ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปอีกข้าง แล้วล้วงเอายาขวดหนึ่งออกมาจากในแหวนมิติ
“กินอิ่มแล้วก็ทายานี่ซะ แผลของเจ้าจะได้สมานเร็วขึ้นและไม่ทิ้งแผลเป็นไว้” ชายหนุ่มยื่นขวดยาไปตรงหน้าหญิงสาว
เป้าจื่อไป๋รับยาขวดนั้นเอาไว้ด้วยความรู้สึกขอบคุณ
พอเห็นซ่งหานหลิ่งมอบยารักษาแผลให้เสือดาวสาว เหอเจ่อฮั่นก็ยิ่งมีสีหน้าบูดเบี้ยวหนักกว่าเก่า ซ่งหานหลิ่งนั้นอะไรก็ดีไปหมด แม้แต่กับคนที่คิดทำร้ายตัวเองก็ยังรักษาแผลให้อย่างมีเมตตา
“ขอบคุณคุณชาย” เป้าจื่อไป๋เอ่ยขอบคุณเสียงหวาน คุณชายผู้นี้มีน้ำใจต่อนางนัก เป็นบุญเหลือเกินที่พบเจอกับเขา
“เพราะเหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเสือดาว แล้วไยยามนี้จึงกลายเป็นมนุษย์”
เหอเจ่อฮั่นเอ่ยขึ้นทำลายสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกเทิดทูนในตัวซ่งหานหลิ่งของแม่เสือดาวสาว
หมอหนุ่มเห็นว่าคำพูดนี้ของเหอเจ่อฮั่นฟังดูมีสาระขึ้นมาหน่อย จึงได้หันไปมองคนถูกถามเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็อยากรู้คำตอบเช่นเดียวกัน
“ข้า...ข้า” เป้าจื่อไป๋มีความลังเล นางไม่รู้ว่าสมควรจะเล่าเรื่องราวของตนเองให้คนที่เพิ่งพบหน้ากันฟังดีหรือไม่
“หากลำบากใจ...”
“ไม่เจ้าค่ะ” เป้าจื่อไป๋เอ่ยแทรก “ข้าไม่ได้ลำบากใจ เพียงแต่คิดว่าพวกท่านทั้งสองอาจจะกลัวก็เท่านั้น”
“กลัว?” เมื่อถูกเหอเจ่อฮั่นจ้องหน้า หญิงสาวก็หลบตาลงพร้อมกับเม้มปาก
“คนเรา...ต่อให้ต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวเลวร้าย หรือว่าเรื่องราวที่น่าหวาดกลัวและหวั่นผวาแค่ไหน สิ่งสุดท้ายที่ทำได้ ก็คือการมุ่งหน้าพุ่งชนกับมัน ก้าวผ่านเรื่องเลวร้ายและความกลัวเหล่านั้นไปให้ได้ นั่นจึงจะทำให้ชีวิตเราดำเนินต่อไปข้างหน้า หากมัวแต่กลัวความเลวร้ายและเจ็บปวด ชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คงไม่ไปไหนมาสักที
“อีกอย่าง ข้าสองคนเป็นบุรุษ การเผชิญหน้าความกลัวอย่างกล้าหาญเป็นสิ่งที่สมควรทำ เช่นนั้นแล้ว ในใต้หล้านี้ยังจะมีสิ่งใดให้ต้องหวั่นเกรงกันอีกเล่า ในเมื่อทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย ต่อให้กลัวความตายมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี”
เหอเจ่อฮั่นมองคนพูดประโยคยาวเหยียดด้วยอารมณ์มันเขี้ยว ทำเป็นพูดจาสั่งสอนคนอื่นได้อย่างน่าชื่นชม แล้วบุรุษหน้าไหนกันทีเจ็บช้ำและทนทุกข์กับเรื่องราวในอดีตจนหนีเข้ามาอยู่ในป่าลึกแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว
มิใช่คนที่พูดให้ผู้อื่นมีกำลังใจอยู่ในตอนนี้หรอกหรือ?
เพราะว่าสิ่งที่ซ่งหานหลิ่งกลัวคือความสูญเสีย เขาจึงได้หลีกหนีทุกอย่างมาอยู่เพียงลำพัง...
“อย่างที่ข้าบอก ข้าเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์อสูร”
“แล้วเจ้าต่างจากปีศาจอย่างไร?”
“อาฮั่น อย่าเสียมารยาท” คนถูกเอ็ดหน้าหงอย จากนั้นหมอหนุ่มก็พยักหน้าให้หญิงสาวพูดต่อ
“บิดาข้าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่บำเพ็ญจนได้ร่างมนุษย์ และมาเจอกับแม่ของข้า ภายหลังทั้งสองมีสัมพันธ์กันจนมีข้า แต่พอข้าอายุได้หนึ่งหนาวบิดาก็หายตัวไป หลังจากนั้นห้าปีแม่ของข้าก็ตายจาก ข้าเติบโตมาเพียงคนเดียวนับจากนั้น”
“แล้วเจ้ากลายร่างเป็นเสือดาวครั้งแรกเมื่อไหร่” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถามด้วยความตั้งใจ
“ตอนอายุสิบสี่หนาว ข้าเข้าไปหาของในป่าแล้วเกิดหลงทาง พอตกกลางคืนก็นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยความกลัว และในจังหวะนั้นเอง ข้ามองไปยังดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่เพียงครึ่งดวงบนฟ้า แล้วอยู่ๆ ข้าก็กลายร่างเป็นเสือดาว ยามที่กลายร่างข้ามีสติครบถ้วนทุกอย่าง เพียงแต่ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เลย”
ฟังจบซ่งหานหลิ่งก็พยักหน้า สตรีผู้นี้เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์อสูร อีกทั้งพลังบำเพ็ญก็เบาบางกว่าสัตว์อสูรโดยทั่วไป เพราะนางใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์มาโดยตลอด จึงไม่แปลกเลยหากนางจะควบคุมพลังในกายตนเองไม่ได้
“เจ้าชื่ออะไร?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถาม
“ท่านแม่เรียกข้าว่าเป้าจื่อไป๋ นางบอกว่าชื่อนี้บิดาเป็นผู้ตั้งให้ตอนที่ข้าเกิด”
พูดแล้วหญิงสาวก็มีสีหน้าสลด บิดาสูญหาย มารดาตายจาก ญาติพี่น้องก็ไม่มี ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาตั้งแต่จำความได้
ซ้ำร้ายมายามนี้ยังถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิดอีก หนทางข้างหน้านางจะทำเช่นไรต่อไป ด้วยในเวลานี้นางรู้ว่าชีวิตของตนช่างมืดมนนัก
“เป้าจื่อไป๋ บิดาเจ้าช่างตั้งชื่อได้แปลกนัก” เหอเจ่อฮั่นเสนอความคิดเห็นที่ไม่มีผู้ใดร้องขอ นั่นจึงทำให้เขาได้รับสายตาประเภทหนึ่งจากท่านหมอหนุ่ม
“เป้าจื่อไป๋ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัตว์อสูรนั้นมิใช่สัตว์ธรรมดา” เมื่อคนถูกถามพยักหน้ารับครั้งหนึ่ง ซ่งหานหลิ่งจึงเอ่ยพูดต่อ
“เจ้าคงรู้แล้วว่าที่บิดาเจ้ามีร่างกายมนุษย์ เป็นเพราะเขาฝึกตนและบำเพ็ญเพียร ต่างจากเจ้าที่มีร่างกายมนุษย์เป็นปกติเพราะมีมารดาเป็นมนุษย์ แต่กลับต้องกลายร่างเป็นสัตว์อสูร เพราะไม่อาจควบคุมพลังครึ่งหนึ่งในกายที่ได้มาจากบิดา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ชีวิตของเจ้าก็จะยุ่งยากวุ่นวายไม่รู้จบ การรักษาความลับนั้นย่อมทำได้เพียงครั้งคราว แต่ไม่อาจทำได้ไปตลอดกาล”
“เช่นนั้นแล้วข้าควรจะทำเช่นไร? ข้าไม่มีคนรู้จักที่ไหนอีกแล้ว นอกจากอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ไปตลอดชีวิต”
“เจ้าอยู่ในป่าแห่งนี้ไม่ได้หรอก”
“เหตุใดเล่าอาหลิ่ง ในเมื่อนางเป็นเสือดาว เสือดาวต้องอยู่ในป่านั่นก็ถูกต้องแล้ว”
“เสือดาวที่ล่าสัตว์อื่นกินไม่เป็นต่างจากแมวบ้านที่ใดกัน เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ ย่อมจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ปกติธรรมดาไม่ได้”
“อาหลิ่ง”
พูดได้แค่นั้นเหอเจ่อฮั่นก็เอ่ยคำใดไม่ออกอีก กล่าวมาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่แคล้วว่าซ่งหานหลิ่งจะต้องยื่นมือช่วยเหลือแม่เสือดาวสาวผู้นี้เป็นแน่แท้
ขาวก็ขาว หน้าตาหรือก็สะสวย อาหลิ่งจะต้องพึงใจในตัวนางแน่ๆ
ไม่ได้ๆ ยังไงก็จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้!
“สัตว์อสูรก็เหมือนมนุษย์ มีพ่อแม่คอยชี้นำ และจะแข็งแกร่งขึ้นตามระยะเวลาบำเพ็ญและพลังที่เลื่อนขึ้นในแต่ละระดับ ในเมื่อเจ้าไม่มีเผ่าพันธุ์คอยชี้แนะ มิสู้ผูกพันธสัญญาเป็นนายบ่าวกับข้า ข้าจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น เหมือนอาจารย์ที่คอยอบรมสั่งสอนศิษย์ และเมื่อใดที่เจ้าต้องการจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ข้าก็จะยกเลิกการทำพันธสัญญาและปล่อยเจ้าไป”
เหอเจ่อฮั่นอ้าปากค้าง เพียงแค่พบเจอนางได้ไม่นาน ซ่งหานหลิ่งก็ถึงกับจะยกแขนข้างหนึ่งของตัวเองให้แม่เสือดาวสาวตนนี้เสียแล้ว…
“อาหลิ่ง! เจ้าพูดถึงเรื่องพันธสัญญาอะไรกัน นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำแล้วจะยกเลิกได้ง่ายๆ เสียหน่อย พบเจอกันเพียงไม่นาน เจ้าก็จะยกแขนตนเองให้นางแล้วหรือ หลงมนตร์สะกดของนางเข้าแล้วหรืออย่างไรกัน!” เขาว่าพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ๆ กับเป้าจื่อไป๋ ก่อนจะฉกขวดยาในมือของนางขึ้นมาดู
“ยารักษาแผลนี่อาหลิ่งเป็นผู้ให้ แต่เป็นข้าที่พลาดทำร้ายเจ้า เช่นนั้นแล้วมาให้ข้าทายาให้เจ้าเถอะ” พูดจบแล้วก็ลงมือทายาทลงบนแขนของหญิงสาว
ทว่ามือบุรุษคงจะหนักเกินไป เป็นเหตุให้เลือดที่ปากแผลไหลออกมาอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไหลไปแล้ว
“โอ๊ะๆ ขออภัยด้วย ข้ามือหนักเกินไป” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
ทว่าในความเป็นจริงแล้วเขากลับตั้งใจกระทำเช่นนั้น เขาต้องการให้เลือดของนางไหลออกมา เพื่อที่เขาจะได้ผูกพันธสัญญากับนางด้วยเลือดได้อย่างไรเล่า!
“อาฮั่น!” ซ่งหานหลิ่งร้องขึ้น เมื่อเห็นเหอเจ่อฮั่นใช้เลือดของตนเองประกบเข้ากับเลือดของเป้าจื่อไป๋ที่ไหลออกมาจากบาดแผล
ลมแรงสายหนึ่งพัดมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ เป็นสัญญาณว่าเบื้องบนรับรู้ถึงการผูกพันธสัญญาในครั้งนี้แล้ว
“นะ...นี่หมายความว่าเช่นไร?” เป้าจื่อไป๋เอ่ยถามด้วยความงุนงง
ซ่งหานหลิ่งมองเหอเจ่อฮั่นตาขวาง ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นแอบกรีดมือตนเองจนได้เลือดตั้งแต่ตอนไหนเขาจึงได้กระทำการอันคาดไม่ถึงได้แนบเนียนถึงขนาดนี้
“ก็หมายความว่าเจ้ากับข้าเป็นนายบ่าวกันแล้วอย่างไรเล่า” แม้จะถูกมองตาขวาง แต่เขาก็หน้าหนาพอที่จะเอ่ยเช่นนั้นออกไปได้อย่างหน้าด้านๆ
คราวนี้เป็นเป้าจื่อไป๋ที่อ้าปากค้าง สองตากลมโตราวกับลูกแมวสีขาวตัวน้อยกะพริบปริบๆ ด้วยเพราะคาดไม่ถึง
“คุณชาย...”
“ใช่แล้วล่ะ ต่อไปเจ้าต้องเรียกอาหลิ่งว่าคุณชาย แต่เรียกข้าว่านายท่าน เข้าใจหรือไม่เจ้าแมวน้อย” พูดจบเหอเจ่อฮั่นก็ลูบหัวเจ้าแมวน้อยสองสามที ก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง
ซ่งหานหลิ่งมองตามคนเจ้าเล่ห์ที่ฉวยโอกาสของเขาไปต่อหน้า ทั้งยังตีหน้าตายไม่รู้ร้อนรู้หนาวได้อย่างนิ่งเฉย
หมอหนุ่มเอ่ยขึ้นคำหนึ่ง ทำเอาบุรุษหน้าตายที่เพิ่งแย่งสัตว์อสูรในพันธะของเขาไปอย่างเหอเจ่อฮั่น ต้องร่างกายค้างแข็งราวกับถูกสาป
“อาฮั่น เจ้าไม่เรียกข้าว่าท่านอาแล้วหรือ?”
“...!”
เพราะมัวแต่ต่อสู้จนเลยเถิดมาถึงการรับสัตว์อสูรในพันธะ เป็นเหตุให้เหอเจ่อฮั่นลืมตัวไปชั่วขณะ ว่าตนเองนั้นก่อนหน้านี้แกล้งทำตัวเป็นเด็กสามขวบอยู่
“ท่านอา~ ฮั่นเอ๋อร์ง่วงแล้ว พวกเราไปนอนกันเถอะ”
เหอเจ่อฮั่นแกล้งเล่นละครต่อไปอย่างหน้าด้าน ทั้งๆ ที่เขากำลังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ราวกับว่าจะจับไข้ในเร็วๆ นี้...
หายนะ!นี่มันหายนะโดยแท้!