บทที่6
ปลายฤดูหนาวปีที่แล้ว
สามสหายเดินทางแยกกันมา เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจและสังเกต ด้วยทั้งสามนั้นต่างมีรูปร่างและหน้าตาโดดเด่น เป็นจุดสนใจได้ง่าย จึงเลือกเกี่ยวข้องกันให้น้อยที่สุด แล้วค่อยๆ แสร้งเป็นรู้จักกันและพบกันที่เมืองหลวง วันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายที่คุยกันก่อนจะแยกย้ายเดินทางเข้าเมืองหลวง
ยามซวี ( คือ 19.00 - 20.59 น.)
แม้จะเป็นวัดที่อยู่บนเขา และบริเวณนี้เป็นจุดใกล้หน้าผา แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ ทั้งสามบุรุษจึงสวมผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้
“ฮองเต้ระวังมากว่าแต่ก่อน การตรวจคนเข้าเมืองเข้มงวดกวดขัน หากไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง คาดว่าพวกท่านทั้งสองคงยากที่จะเข้าไป” บุรุษคนหนึ่งกล่าว ก่อนจะยื่นเอกสารสำคัญที่ทางสกุลเจียวปลอมแปลงและทำขึ้นมาให้บุรุษต่างแค้วนทั้งสองคน
“ข้าจะไม่ให้มันผิดพลาดแบบคราวก่อนอีก”
หนึ่งในสองบุรุษยื่นมือไปรับหนังสือรับรองมากำไว้แน่น น้ำเสียงแน่วแน่มั่นคง คราวนี้พวกเขาได้ตระกูลขุนนางใหญ่ช่วยเหลือ จะไม่มีทางให้ผิดพลาดแบบครั้งก่อนอีกเป็นอันขาด เหตุการณ์นองเลือดที่สายลับจากแคว้นฉู่ ลูกน้องใต้อานัติของเขาทุกคนต้องสิ้นล้มหายใจ เหลือรอดมาเพียงตัวเขาผู้เดียว ยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำทุกลมหายใจ ตัวเขาเองนั้นก็เกือบสิ้นลมหายใจ
กิ๊ก!
แม้เสียงนั้นจะเบามาก ราวกับลมพัดผ่าน แต่ย่อมไม่อาจหลุดไปจากประสาทรับรู้ของสามบุรุษในชุดดำ ทั้งสามคนล้วนมีวรยุทธชั้นสูงที่หาตัวจับได้จากในยุคนี้
สองบุรุษต่างแค้วนหายไปในพริบตาราวกับไม่เคยมีผู้ใดยืนอยู่จุดนี้มาก่อน
ส่วนอีกหนึ่งบุรุษจูถีบตัวมุ่งไปยังที่มาของเสียงในทันที
พรึ่บ!
จูล่งกระชากแขนของเงาทันทีที่มาถึง ส่วนอีกมือหมายจะซัดผ่ามือไปยังร่างที่มาแอบฟังเขาและสหายคุยการลับ
แต่แล้วอยู่ๆ มือหนากลับต้องค้างกลางอากาศ แสงของพระจันทร์ก็สาดส่องกระทบเงาตรงหน้า ปรากฏร่างแน่งน้อย ดวงตากลมโตตื่นกระหนก ปากน้อยๆ สีแดงสดเผยอ กระต่ายน้อยตัวนี้กำลังตื่นตระหนก แต่นางกลับงดงามจนร่างแกร่งถึงกับสะดุดลมหายใจ แสงนวลลออจากพระจันทร์ยิ่งทำให้สตรีที่อยู่เบื้องหน้างดงามจับจิต จูล่งแทบจะลืมว่ามาขึ้นมาบนนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร
แต่แล้วอยู่ๆ เศษผิงกั่วก็กลิ้นหลุนๆ ออกมาจากปากนาง
จูล่งขบกร้ามแน่นก่อนจะรวบเอวบางพาทะยานลงสู่พื้น แล้วหายตัวไปในความมืด เมื่อแน่ใจว่าไกลจากจุดที่ทิ้งสตรีผู้นั้นเอานั้นเอาไว้อีกทั้งตัวเขาก็ไม่สามารถอดทนเอาไว้ได้อีกต่อไป
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ” จูล่งขำจนปวดโยก กุ้มท้องเอาไว้แน่น
ผลผิงกั่วหลุดจากมือกลิ้งไปกับพื้นดิน ร่างบางทรุดลงไปนั่งข้างๆ ผลผิงกั่วลูกนั้น มือบางยกขึ้นลูบหน้าอกปรอยๆ ราวกับปลอบโยนตัวเอง นึกว่าวันนี้จะสิ้นชื่อคุณหนูใหญ่เสียแล้ว
นางมีนามว่าจื่อรั่ว คุณหนูใหญ่สกุลจื่อ จื่อรั่วมักขึ้นไปนั่งทอดอารมณ์ดูพระอาทิตย์ตกดินบนต้นผิงกั่วต้นนี้เสมอ ที่นี่คือที่โปรดปรานของนาง นางทำแบบนี้มาตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เมืองฝู่โจว นั่งมองทิวทัศน์ไปกัดกินผลผิงกั่วไปพลาง แต่วันนี้พระอาทิตย์สวยเหลือเกินจึงมองเพลินไปหน่อย อีกทั้งวันนี้แม่นมยังไม่ออกมาตาม
รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว
เสียงพูดคุยกันกันใต้ต้นไม้ทำเอาร่างบางแข็งทื่อ แทบจะกลั้นลมหายใจ แม้แต่เศษผลผิงกั่วที่กัดเข้าปากไปเมื่อซักครู่ก็ยังต้องอมเอาไว้ ไม่อาจขยับปากเคี้ยวหรือกลืนได้ เกรงบุคคลที่สนทนากันข้างใต้จะได้ยิน
แต่ดันมีลมพัดผ่านมาทำให้พู่ห้อยเอวนางกระทบกัน เพียงอึดใจเดียวก็ถูกกระชากแทบจะตกลงจากกิ่งไม้ ปรากฏบุรุษในชุดดำปิดบังใบหน้า นึกออกเพียงคำเดียว ‘ตายแน่’ เพราะเรื่องที่พวกเขาคุยกันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
แต่พอรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่บนพื้นแล้ว
แม้สติจะยังไม่กลับมาครบถ้วน แต่ก็สั่งขาให้เดินกลับจวน เพราะนางไม่เห็นหน้าแน่ๆ เลย ขอบคุณที่พวกเขาสวมผ้าคลุมหน้า ในใจก็ขอบคุณสวรรค์ที่เขาไม่ฆ่านาง
ร่างบางโซซันโซเซมุ่งเดินกลับจวนโดยไม่รู้ตัวว่าบุรุษในชุดดำผู้นั้นติดตามนางมาไม่ห่าง