บทที่7
จูล่งสะกดรอยตามสตรีผู้นั้นท่ามการแสงสว่างจากแสงจันทร์ ยิ่งเห็นใบหน้าของนางกระจ่างชัดเท่าใดในหัวใจยิ่งสลักเสลานางไว้ชัดเจนเท่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวของนางถูกเขาจดจำเอาไว้หมด
จนเห็นนางเดินหายเข้าไปในจวนหลังหนึ่ง ดูจากเนื้อผ้าและการแต่งการขอนางนั้นเดาได้ไม่ยากว่าเป็นคุณหนูตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่เหลือตัวเขานั้นจะตามหาคำตอบเองเขาจึงสั่งให้องครักษ์ที่สกุลเจียวส่งมาให้ดูแลเขาสืบเรื่องราวทั้งหมด เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเรื่องราวชีวิตของนางทั้งหมดก้เรียงรายอยู่ตรงหน้าเขา แม้จะรู้แน่ชัดว่านางเป็นใครและรู้สึกเช่นไรกับนาง ก็ไม่อาจเดินเข้าไปทำความรู้จักเกี้ยวพานางเฉกเช่นบุรุอื่นได้ ด้วยภาระหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่ายามนี้ช่างหนักหนาเสียเหลือเกิน จึงทำได้เพียง ให้คนดูแลนางอยู่ห่างๆ ทุกครั้งที่เดินทางมายังฝู่โจวก็ทำได้เป็นเพียงแค่เงาแอบดูนางเท่านั้น เขาแล้วมันต่างอะไรกับหลิวเสวี่ยอวี้กัน
เดิมเคยคิดว่าสตรีที่ตรงใจของตนเองนั้นจะต้องสง่างาม จริตกริยาอ่อนช้อยเฉกเช่นเดียวกับน้องห้า แต่เขากลับมาตกหลุมรักคุณหนูจื่อรั่วตอนที่เห็นนางคายเศษผิงกัวออกจากปากในเวลาเป็นตายเท่ากัน คิดแล้วก็ได้แต่เพียงอมยิ้มออกมา ไม่ว่านางจะทำเช่นไรก็นางเอ็นดูเหลือเกิน
เขาเคยปรามาสสหายว่าไม่ได้หลงรักน้องสาวของเขาด้วยใจจริง หลิวเสวี่ยอวี้เพียงแค่ยังไม่มีคนรักและจูไป๋เสวี่ยช่วยชีวิตของสหายเอาไว้หลิวเสวี่ยอวี้จึงผูกใจของตนไว้ที่จูไป๋เสวี่ย จนวันนี้เองที่ได้กระจ่างชัดด้วยตนเอง ว่ารักแรกพบแม้เพียงได้สบตาเป็นเช่นไร ดูสิขนาดนางไม่ได้ช่วยชีวิตเขา ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคุยกันสักคำ แต่ไม่ว่ายามหลับยามตื่นก็ยังมีเพียงใบหน้าของนาง หากนางช่วยชีวิตเขาแบบ ที่น้องห้าช่วยหลิวเสวี่ย ไม่อยากจะนึกเลยว่าเขาจะมีสภาพเมารักขนาดไหน
“พี่เขย ท่านไม่ตามนางกลับไปเมืองหลวงหรืออย่างไร มานั่งร่ำสุราเยี่ยงนี้จะดีหรอ”
หลังจากคุยแผนการลับเสร็จสิ้น แม่ทัพหลิวจะเดินทางกลับชายแดน แต่ก็รู้สึกเป็นห่วยสหายยิ่งนัก หากเขารู้ว่าจูไป๋เสวี่ยจะแต่งงานตัวเขาเองก็ทุกข์ระทมไม่แพ้บุรุษ ที่กำลังยกไหสุราอยู่บนยอดไม้นั้นเช่นกัน
“ข้าจะตามไปได้อย่างไร ข้าขอลากลับบ้านเกิด จุดหมายของข้าคือเมืองหยิ่งตู่ หากทำการใดให้ฮองเต้หลงสงสัยย่อมไม่ดีต่อแผนการของพวกเรา” จูล่งยกไหสุราขึ้นดื่มดวงตาแดงกล่ำ แม้จะอยากตามนางไปเพื่อถามให้แน่ชัดว่านางจะแต่งงานนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตัวเขานั้นต้องเดิมทางกลับบ้านเกิดตามแผนการ เผื่อไม่ให้ฮองเต้ละแคะระคายสงสัย
“ข้ากำลังจะได้ไปยืนหายใจรดต้นคอฮองเต้เจ้าหลงแล้ว จะให้ความรู้สึกส่วนตัวทำเสียการใหญ่ไม่ได้ อีกทั้งข้ากับนางก็ไม่ได้เป็นคนรักกัน จะไปห้ามนางได้อย่างไร” จูล่งยกสุราขึ้นดื่มอักๆ อยากให้น้ำเมาดับความร้อนรุ่มในใจ
“เท่าที่คนของข้าและคนของท่านสืบเรื่องนาง นางไม่มีคนรัก นางไม่มีคู่หมาย ที่ผ่านมานางเดินออกประตูหน้าจวนนางคือคุณหนูจื่อรั่วผู้งดงามและเพียบพร้อม แต่หากวันใดนางปีนรั่วออกมานางกลายเป็นเพียงสตรีชาวบ้าน” และแก่นแก้วเกินสตรีทั่วไป ประโยคนี้แม่ทัพหลิวเพียงเอ่ยในใจ เพราะสหายหันควับมาพอดี
“ใช่ๆ นางไม่มีคนรัก แสดงว่านางถูกบังคับให้แต่ง”
จูล่งรีบโยนไหสุราทิ้ง ดวงตาเป็นประกายระยิบ เต้มปริ่มไปด้วยความหวัง หากนางยังไม่มีชายในดวงใจ หากวันนั้นข้าปลดภาระบนบ่าลงได้ เขาจะทำให้นางหันมามองเขาเอง
"จูฮูหยิน ชื่อเรียกนี้ช่างเพราะเหมาะกับนางมากกว่าเป็นไหนๆ เจ้าว่าไหม นางไม่เหมาะที่จะแต่งงานกับชายอื่นหรอก"
แม่ทัพหลิวส่ายหัว เดิมที่เขาแค่จะมาเตือนให้สหายออกเดินทางไปเมืองหยิ่งตู่ได้แล้ว เพราะหากช้าจะเป็นที่ผิดสังเกตได้ ดันมาพบว่าสหายนั่งร่ำสุรา ไม่คิดว่าแค่ประโยคเดียวก็จุดประกายไฟรักให้กลับมาลุกโชกช่วงได้เช่นนี้ เอาเถอะว่ามากไม่ได้ เขาเองต่างจากจูล่งซะเมื่อไรล่ะ