บทที่5
ร่างสูงใหญ่ควบอาชาผ่านป่าและภูเขาโดยไม่สนใจทิวทัศน์สองข้างทางแม้แต่น้อย ใจรีบเร่งไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด
หลังจากสอบเข้าเป็นทหารในวังมาเกือบปี ในที่สุดเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 12 องครักษ์เกราะทอง
เขาจึงขอลากลับบ้านเกิดเพื่อแจ้งข่าวครอบครัวหลังจากเสร็จสิ้นการคัดเลือก ซึ่งโดยปกติแล้วองครักษ์ในวังหลวงจะผลัดเวรยามกันเดือนเว้นเดือน ยกเว้น องครักษ์เกราะทองต้องอาศัยอยู่ในวังหลวงตลอด ไม่สามารถออกมาได้ตามอำเภอใจ เพราะหน่อยนี้มีหน้าที่ดูแลคุ้มครององค์ฮองเต้ตลอดเวลา เขาจึงขอกลับบ้านเกิดก่อนบรรจุเข้าหน่อยเต็มตัวจะต้องอาศัยอยู่ในวังเป็นระยะเวลานานๆ
“ในที่สุดความคุณชายจูก็ทำสำเร็จ”
หลิวเสวี่ยอวี้ทำความเคารพผู้มาใหม่อย่างน้อบน้อม แม้ว่าตนเองกับจูล่งจะนับถือกันเป็นสหาย แต่อย่างไรฐานะขออีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดา
“คุณชายจู” เฉิงตงทักผู้มาใหม่เช่นกัน แต่ก็อดที่จะกรอกตาปะหลับปะเหลือกกำท่าท่างของสหายที่ยืนเคียงข้างไม่ได้
“คุณชายหลิว คุณชายเฉิง ข้าขอภัยที่มาช้า”
ก่อนจะเมียงมองไปยังต้นผิงกั่วต้นใหญ่ที่ยืนต้นเด่นอยู่ริมเขา
“ไม่ต้องกังวล ข้าตรวจสอบแล้วไม่มีผู้ใดอยู่บนนั้น”
คุณชายจูรีบเบนสายตากลับมาทันที ไม่ใช่ไม่รู้ว่าไม่มีผู้ใดอยู่บนนั้น เพราะเขาสวนทางกลับนางที่ประตูเมืองหลวงเมื่อวาน คือความเคยชินที่มาที่จุดนี้คราวใด ก็ต้องต้องมองขึ้นไปบนต้นผิงกั่วทุกครั้งไป มันคงจะเริ่มตั้งแต่ฤดูหนาวที่แล้ว ตอนที่เขาและสหายทั้งสองริเริ่มจะทำการใหญ่
“ตกลงตามนี้” สามสหายต่างยืนพูดคุยถึงแผนการที่ตระเตรียมเอาไว้
หลิวเสวี่ยอวี้ก็ยังคงต้องคอยสืบข่าวรอบๆชายแดนอยู่
ส่วนเฉิงตงตอนนี้ได้ซื้อจวนเอาไว้ให้เมืองหลวงเรียบร้อย เพราะหลังจากนี้จูล่งคงไม่สามารถออกมานอกวังได้บ่อยๆ เฉิงตงจึงต้องเป็นตัวกลางที่คอยประสานงาน ส่งข้อมูลต่างๆให้ หลิวเสวี่ยอวี้
ทุกครั้งที่มีเรื่องพูดคุยที่ไม่สามารถเขียนเป็นจดหมายได้ สามสหายจะนัดประชุดกัน ที่ทั้งสามเลือกนัดพบกันที่เมืองฝู่โจว ก็เผื่อทั้งสามจะไม่เป็นที่สงสัยหรือจับตามองหากต้องผ่านเมืองนี้บ่อยๆ เพราะในสายตาคนนอก ทั้งเฉิงตงและหลิวเสวี่ยอวี้คือพ่อค้า ส่วนคุณชายจูใช้เป็นทางผ่านกลับบ้านเกิด เพราะคือทางผ่านไปยังเมืองชายแดนหยิงตู่ที่ครอบครัวของคุณชายจูนั้นตั้งรกรากอยู่
“นางกลับเมืองหลวงเหตุใดท่านทั้งสองไม่บอกข่าวข้าบ้าง”
เมื่อคุยถึงภารกิจสำคัญจบ จูล่งก็เอ่ยปากถามสิ่งที่ค้างคาใจมาตลอดทั้งคืน มองไปยังจุดเดิมที่มองตั้งแต่เดินทางมาถึง
อาการลังเลและสีหน้าอึกอัก ขนาดเมื่อซักครู่คุยกันเรื่องความเป็นความตายสหายทั้งสองยังมีท่าทีสบายๆ ราวกับคุยเรื่องภาพเขียนวิจารณ์โครงกลอน แต่เหตุใดพอถามถึงเรื่องนางอันเป็นที่รักของเขา สหายทั้งสองจึงมีท่าทีเยี่ยงนี้
“ว่าอย่างไร”
“ข้ายังไม่ได้ให้คนเขียนจดหมายไปรายงาน เพราะข้าก็เพิ่งทราบข่าววันนี้” เป็นหลิวเสวี่ยอวี้ที่เอ่ยปาก
“แล้ว” น้ำเสียงของจูล่งเริ่มกระด้าง
“ไม่ต้องมองข้า ถามว่าที่น้องเขยท่านนู้น ข้าต้องไปเตรียมคนข้าขอตัว” เมื่อสหายเปิดปาก เฉิงตงได้ที่รีบโยนงานแล้วเผ่นแนบกระโจนขึ้นหลังมาควบออกไปอย่างว่องไว
“นางถูกตามให้กลับไปแต่งงาน”
หลังจากตัดสินใจแจ้งข่าวที่ไปสอบถามชาวบ้านบริเวณนั้น ว่าเหตุใดคุณหนูหนูจื่อรั่วถึงเดินทางกลับเมืองหลวงกระทันหัน ก็ต้องลอบมองสีหน้าบุรุษที่แค้นถามเขา หลิวเสวี่ยอวี้แม่ทัพแห่งแคว้นฉู่ ผู้คุมทหารทั้งแคว้นกลับต้องมาเกรงใจบุรุษที่ยืนหน้าตึงเบื้องหน้า แม้อีกฝ่ายจะมีฐานะสูงส่ง แต่ตัวเขานั้นหาได้เกรงกลัวในจุดนั้นไม่ เหตุที่ต้องเกรงใจอยู่หลายส่วนเพราะจูล่งคือพี่ชายใหญ่ของนางในดวงใจเขา หากคนผู้นี้คิดจะขัดขวางความรักของเขากับนาง รักแรกของเขาคงจบลงแบบไม่ทันได้กระพริบตา เพราะสำหรับนางแล้วตัวเขานั้นในตอนนี้ไร้ตัวตน
“แต่งงานอย่างงั้นหรือ”
เสียงพูดราวกับกระซิบ หลุดออกมาจากร่างแกร่ง ใจของจูล่งนั้นปวดร้าวไปทั้งดวง เพียงแค่ประโยคเดียวแข้งขาแทบจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนจะใช่วรยุทธถีบตัวขึ้นไปยังยอดไม้ แล้วทรุดตัวลงนั่ง จุดเดิมที่พบคุณหนูจื่อรั่วในครั้งแรก ตาคมมองไปยังทิวทัศน์สวยงานเบื้องหน้า แต่แววตากลับเศร้าหมอง ‘นางกำลังจะแต่งงาน’