เวลาที่หนี่ว์เอ๋อร์อยู่กับเขา หลิ่งเอ๋อร์ก็จะเหมือนคนปกติที่ทั่วไป พูดคุย หัวเราะ หยอกล้อกับน้องสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส แต่หากไม่มีหนี่ว์เอ๋อร์อยู่ในครรลองสายตาแล้ว หลานชายคนนี้ของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ต้นหนึ่ง เย็นชาและไร้ความรู้สึกยิ่งนัก
“เจ้าก็เป็นหนึ่งเรื่องการรักษา ไม่อย่างนั้นจะหอบเอาสมุนไพรที่มีสรรพคุณลดไข้มาด้วยราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะมารักษาคนป่วยเป็นไข้อย่างนั้น” ฝู่เหมาเอ่ยยิ้มๆ
ก่อนออกจากบ้านมารักษาผู้ป่วย เขาบอกให้หานหลิ่งไปเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ แต่ไม่นึกว่าหลายชายคนนี้จะเตรียมสมุนไพรลดไข้เผื่อมาด้วย ซึ่งมันก็ได้ใช้จริงๆ
“บอกท่านตาตามตรง หลานแค่คาดเดาเท่านั้น ตอนนี้เป็นฤดูฝน ผู้คนเข้าป่ามาแล้วก็อาจจะเป็นไข้ป่าเอาได้ง่ายๆ หลานก็เพียงแต่แค่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเท่านั้น จึงได้นำสมุนไพรพวกนี้ติดตัวมา” หลีหยางอธิบายด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ถึงอย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ของเจ้าถือว่าแม่นยำนัก เป็นเช่นนี้อีกไม่กี่ปี ข้าคงได้ยินชื่อหมอเทวดานามว่าซ่งหานหลิ่งเป็นแน่แท้” ฝู่เหมากล่าวอย่างอารมณ์ดี
ในฐานะหมอเขาเปรียบหานหลิ่งเป็นลูกศิษย์ที่เขาถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้จนหมดพุง และในฐานะผู้เป็นตา มีหลานชายเก่งกาจย่อมเป็นที่ภาคภูมิใจ
หลีหยางได้แต่ยิ้มเจื่อนอยู่เบื้องหลัง เขาไม่อยากทำให้ท่านตาผิดหวัง จึงไม่ได้กล่าวอะไรออกไป เพราะความจริงนั้นหาใช่เขาที่คาดการณ์อาการป่วยของคนไข้นั้นได้ถูกต้อง แต่เป็นน้องสาวตัวน้อยของเขาต่างหาก และถ้าหากไม่รับปากนางไว้ว่าจะไม่บอกให้ผู้ใดล่วงรู้ เขาก็คงเล่าให้ผู้เป็นตาฟังและจะไม่ยอมรับคำชมนั้นแม้แต่คำเดียว
อีกทั้งยังจะบอกผู้เป็นตาอีกว่า เขานั้นถนัดเรื่องการใช้พิษและใช้มีดเฉือนเนื้อหนังเสียมากกว่าการรักษาผู้คน!
“พี่รอง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” หลีเริ่นหรานเดินเข้ามายังห้องนอนของผู้เป็นพี่ชายคนรอง
วันนี้ก่อนที่พี่ชายและท่านตาจะออกไปดูอาการคนป่วย นางได้บอกผู้เป็นพี่ชายไปว่าผู้ป่วยคนนั้นอาจจะป่วยด้วยพิษไข้ จากนั้นพี่ชายจึงเตรียมสมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาพิษไข้ไปด้วย และที่นางมาหาพี่ชายถึงห้องในวันนี้ ก็เป็นเพราะนางอยากรู้เรื่องผลการรักษา
“อืม...ป่วยเป็นไข้ป่าจริงอย่างที่เจ้าว่า” หลีหยางตอบ ก่อนจะหันหน้ามามองใบหน้ากลมๆ ของน้องสาว ด้วยสายตาประหนึ่งกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“พะ...พี่รอง เหตุใดมองข้าเช่นนั้นเล่า?”
หลีหยางละสายตาออกจากใบหน้ากลมๆ ของน้องสาว เพราะนอกจากดวงหน้ากลมป้อม ดวงตาโตใสแจ๋ว ริมฝีปากเล็กๆ ที่กินเก่งนั้นแล้ว เขาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นใด
เห็นทีว่าต้องสอบถามจากเจ้าตัวเองแล้ว.....
“เจ้า...รู้ได้เยี่ยงไรว่าคนไข้รายนั้นป่วยเป็นไข้ป่า?” หลีหยางเอ่ยถามเสียงเข้ม ใบหน้าหล่อเหลานั้นจ้องมองน้องน้อยอย่างเค้นเอาคำตอบ
“ขะ...ข้า” หลีเริ่นหรานเม้มปาก อยากบอกพี่ชายก็อยากบอก แต่กลัวผลที่จะตามาก็กลัว
“แล้วเหตุใดพี่รองถึงเชื่อข้าล่ะเจ้าคะ?” แทนที่จะตอบ หลีเริ่นหรานกลับเอ่ยถามพี่ชายกลับ
หลีหยางส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ น้องสาว
“หากเจ้ายังจำวันที่เราเข้าไปในตัวเมืองเซียงอู่พร้อมท่านพ่อและพี่ใหญ่ได้ เจ้าก็จะเข้าใจว่าเหตุใดพี่จึงเชื่อเจ้า”
หลีเริ่นหรานทำหน้าครุ่นคิด เหตุใดนางจะจำวันนั้นไม่ได้ เพราะมันเป็นวันที่นางสูญเสียคนสำคัญไปพร้อมกันถึงสามคน แถมยังต้องระหกระเหเร่ร่อนหนีตายข้ามเขามาไกลถึงแคว้นหนานไห่
“วันนั้นเจ้าบอกว่า อยากกลับไปถึงบ้านเราเร็วๆ โดยที่ไม่สามารถรอรถม้าคันเดิมจากหมู่บ้านที่เรานั่งไปได้ ตอนนั้นท่านพ่อกับพี่ใหญ่จึงได้เร่งไปหารถม้าคันอื่นที่ผ่านทางหมู่บ้านเรามากที่สุด ก่อนที่พวกเราทั้งสี่จะนั่งรถม้าคันนั้นมาจนถึงกลางทาง แล้วก็เดินเท้าต่อไปยังหมู่บ้าน”
หลีหยางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ตอนนั้นไม่รู้ด้วยว่าเพราะเหตุใด หลีเริ่นหรานจึงได้งอแงอยากกลับบ้าน ถึงขนาดทนรอรถม้าคันเดิมที่รอคนในหมู่บ้านคนอื่นๆ อยู่ไม่ได้ จนต้องหารถม้าคันอื่นกลับ และพอมาถึงบ้าน ก็ต้องมาพบหายนะครั้งใหญ่
“ตั้งแต่นั้นมาพี่ก็เชื่อในสิ่งที่เจ้าเอ่ยมาโดยตลอด เจ้าบอกว่าอยากกลับเพราะเป็นห่วงท่านแม่ สุดท้ายพวกเราถึงได้รู้ว่าท่านแม่และน้องสามกำลังตกอยู่ในอันตราย” หลีหยางกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
เพราะทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ก็เหมือนว่าความแค้นที่มีจะปะทุออกมานอกอก บางครั้งก็ต้องใช้พลังปราณข่มใจตัวเองไว้ ด้วยรู้ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะจิตที่แค้นเคืองคนพวกนั้นอย่างรุนแรง
“ยังมีอีก ตอนที่เจ้าบอกว่าให้พวกเราเดินเข้าไปในป่าชั้นในเพื่อหนีการตามล่าของคนพวกนั้น พวกเราสามคนก็เข้าไป สุดท้ายพวกเราก็รอดจากการตามล่าจริงๆ อย่างนี้แล้วจะไม่ให้พี่เชื่อเจ้าได้อย่างไร” พูดจบหลีหยางก็ลูบหัวน้องน้อยด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่รอง ขอบคุณที่เชื่อข้า แต่ถ้าหากข้าจะบอกว่า ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใดข้าจึงรู้เหตุการณ์พวกนั้น พี่รองจะว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
เป็นความจริงที่ว่า นางไม่รู้ว่าทำไมนางจึงได้เห็นเหตุการณ์เหล่านั้น ครั้งแรกภาพพวกนั้นมาในรูปของความฝัน นางก็คิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่ต่อมานางจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่ความฝัน เพราะนางสามารถมองเห็นภาพพวกนั้นได้ทั้งในยามหลับและยามตื่น
บางคราภาพพวกนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาเฉยๆ ในหัวของนาง แต่บางคราก็จะปรากฏมาให้เห็นอยู่ตรงหน้า ไม่เกี่ยวว่าตอนนั้นนางจะกำลังมองสิ่งใดอยู่ อย่างเช่นว่านางกำลังหาสมุนไพรอยู่ในป่า ตรงหน้าล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าและชั่ววูบหากนางเห็นต้นไม้ตรงหน้าเป็นเสือ เพียงไม่นานเสือตัวนั้นก็จะมาปรากฏอยู่ต่อหน้านางจริงๆ
และภาพแรกที่นางเห็น ก็คือภาพการตายของบิดามารดาและพี่สาม พร้อมทั้งภาพไฟไหม้บ้านที่ฉายชัดเข้ามาในหัว ตอนแรกนางคิดว่าเป็นความฝัน แต่ผ่านมายังไม่ทันถึงปีภาพพวกนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ
“พี่จะว่าอย่างไรได้ นอกจากเชื่อเจ้าต่อไป” หลีหยางเผยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะบีบแก้มนุ่มๆ ของน้องสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดูอย่างยิ่งยวด
“ขอบคุณพี่รอง พี่รองของข้าใจดีที่สุด” หลีเริ่นหรานโผเข้ากอดพี่ชาย
ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ยังเป็นเพียงเด็กสิบขวบ กอดพี่ชายตนเองนั้นว่าไม่เป็นไร แต่หากนางโตขึ้นกว่านี้หน่อย ทั้งพี่ชายนางก็ต้องโตเป็นหนุ่ม ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นพี่น้องกันก็คงดูไม่ดีอยู่ดี อย่างไรซะตอนที่ยังกอดได้ นางจะกอดพี่ๆ ให้เยอะๆ เพราะนางนั้นชอบที่สุดเวลาที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง เพราะมันทำให้นางรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ดังเช่นเมื่อก่อนที่นางชอบจะกอดท่านแม่ท่านพ่ออยู่เป็นประจำ
“เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้ให้พี่ใหญ่ได้ยินเล่า รู้หรือไม่?”
“เจ้าคะ” หลีเริ่นหรานรับคำ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าพี่ใหญ่ของนางนั้นขี้น้อยใจเพียงใด แม้ภายนอกจะเป็นชายหนุ่มแข็งแรงและหล่อเหลา แต่หากสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับนาง พี่ใหญ่ก็พร้อมจะกลายร่างเป็นเด็กชายตัวน้อยเสมอ
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วดั่งสายลมพัด ชั่วพริบตาก็ผ่านมาได้สองปีแล้ว ตอนนี้ครอบครัวตระกลูฝู่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปของชาวเมืองเหลียง ด้วยฝีมือการรักษาคนไข้ของท่านหมอฝู่เหมาและหลานชายนั้นเป็นที่ยกย่องอย่างยิ่ง
ด้วยการตรวจดูอาการที่ไม่นาน ก็สามารถพบได้ว่าคนคนนั้นป่วยเป็นโรคใด อีกทั้งสมุนไพรที่ใช้รักษาก็เป็นสมุนไพรที่มีคุณภาพสูง แม้จะเป็นเพียงสมุนไพรธรรมดาแต่ก็ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี จึงทำให้ยังคงสรรพคุณของตัวยาไว้ได้
แต่ถึงแม้จะเป็นที่รู้จักและครอบครัวก็จะมีเงินเก็บบ้างแล้ว จากทั้งท่านตาและหานหลิ่งที่ออกตรวจรักษาคนไข้ ทั้งจากหานลู่ที่ขึ้นเขาล่าสัตว์ป่ามาขาย ทั้งเงินที่ได้จากการเย็บผ้าขายของฝู่หลงฮวาและหานหนี่ว์ แต่แผนการสร้างโรงหมอก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ด้วยเพราะคิดไปคิดมาแล้ว การเปิดโรงหมอแม้จะเป็นช่องทางทำเงิน แต่ก็ไม่มาสารถยืนยันได้ว่าการเปิดโรงหมอจะช่วยปกปิดความลับของนางได้
ดังนั้นหลีเริ่นหรานจึงคิดว่าบางที การที่นางอยู่เงียบๆ อาจจะทำให้นางไม่เป็นที่สะดุดตาผู้คนมากกว่า อีกทั้งพลังปราณธาตุวาโยที่นางมีก็เหมือนจะแข็งแกร่งและโดดเด่นขึ้นกว่าเดิมมาก อีกอย่างในอนาคตก็ไม่แน่ว่าจะได้อยู่ที่นี่ตลอดไป
“หนี่ว์เอ๋อร์ มีอันใดรึ พี่จะต้องรีบตามท่านตาเข้าเมืองไปดูคนไข้” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยบอกกับน้องสาวที่วิ่งตามเขาออกมาจากเรือน
“พี่รอง คนไข้ที่พี่จะไปรักษาวันนี้ เขาไม่ได้ป่วยเพราะโรคภัย แต่เขาบาดเจ็บจากของมีคม อาการเป็นตายเท่ากัน”
“อืม” ผู้เป็นพี่พยักหน้ารับ ด้วยตลอดสองปีที่ผ่านมา เกือบทุกครั้งที่เขาจะไปทำการรักษาผู้ป่วยกับท่านตา น้องสาวตัวน้อยก็จะคอยบอกถึงสิ่งที่นางคาดการณ์ได้ล่วงหน้าให้เขารู้เสมอ
ดังนั้นการรักษาคนไข้และการวินิจฉัยโรคของเขาจึงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว โอกาสรอดชีวิตของคนคนนั้นจึงมีสูง
แต่หากคนใดที่นางบอกว่านางไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ คนคนนั้นก็จะมีอันเป็นไปในที่สุด เขาจึงได้ทำการเตรียมใจรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้อย่างเนิ่นๆ ทุกครั้ง หมอก็คือหมอ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ก็ใช่ว่าจะรักษาทุกโรคภัยบนโลกนี้ได้ หรือต่อให้รักษาได้ ก็ทำเพียงแค่ยืดเวลาตายออกไปเท่านั้น ทุกคนบนโลกมีใครบ้างที่หนีความตายพ้น นอกจากบำเพ็ญตนจนบรรลุเป็นเซียนได้เท่านั้น ถึงจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้
“ขอบใจเจ้ามาก น้องพี่” ซ่งหานหนี่ว์ยิ้มรับ ก่อนจะปล่อยแขนพี่ชายคนรองที่เกาะเอาไว้แน่น
“ขากลับพี่รองอย่าลืมซื้อขนมมาฝากข้านะเจ้าคะ” คนเป็นพี่ยิ้ม พร้อมทั้งลูบผมน้องสาวเบาๆ
“ได้สิ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่รอง”
“อาลู่ น้องสาวเจ้าเล่า?”
ฝู่หลงฮวาเดินออกมาจากครัวแล้วไม่เห็นบุตรสาว จึงได้ร้องถามบุตรชายคนโตที่กำลังจัดการกับสัตว์ที่ล่ามาได้อยู่ข้างเรือนด้านนอก
ซ่งหานลู่นั้นแม้จะมีพลังกำลังที่แข็งแกร่ง อีกทั้งวรยุทธ์ที่ได้ท่านตาเป็นผู้อบรมสั่งสอนก็รุดหน้าไปมาก ตอนนี้เขาอายุสิบแปด เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มเต็มตัวและมีพลังปราณอยู่ในระดับกลางขั้นสามแล้ว ทว่าเขานั้นรักสันโดษยิ่งหนัก เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาก็มักจะไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด
วันหนึ่งๆ ของเขาถ้าไม่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ไปขาย ก็จะฝึกวรยุทธ์หรือไม่ก็ฝึกการใช้พลังปราณอยู่ที่ริมลำธารหลังเรือน หรือไม่ก็จะพานางและน้องสาวไปตลาดเพื่อซื้อของในบางครา
“ข้าเห็นนางวิ่งตามหลังอาหลิ่งไป สงสัยจะตามไปอ้อนให้เขาซื้อขนมกลับมาให้กระมัง” เขาเอ่ยตอบมารดา ก่อนจะเริ่มจัดการกับกวางที่ล่ามาได้ต่อ
“ท่านแม่ ท่านอยากกินเนื้อกวางตัวนี้หรือไม่ หนังของมันเล่า ท่านสนใจจะเอาไว้ทำเครื่องแต่งกายไหมขอรับ”
“มารดาแล้วแต่เจ้า” ฝู่หลงฮวายิ้มก่อนเอ่ยตอบบุตรชาย
“แม่จะออกไปดูน้องสาวเจ้าเสียหน่อย เหตุใดนับวันยิ่งโตนางยิ่งซนหนัก แล้วอย่างนี้ผู้ใดจะตบแต่งนางกัน” ฝู่หลงฮวาพูดพลางส่ายหน้าเหนื่อยใจ
บุตรสาวของนางนั้นเก่งทั้งเย็บปัก เก่งทั้งการทำอาหาร แต่ติดจะเกียจคร้านการงานของสตรีไปเสียหน่อย แต่สิ่งที่นางขยันยิ่งคือการฝึกวรยุทธ์กับท่านตาและพี่ชายทั้งสอง จนตอนนี้นางมีพลังปราณอยู่ในระดับต้นขั้นแปดแล้ว ห่างจากหานหลิ่งเพียงแค่สองขั้น ทั้งที่อายุนางเพียงสิบสองปีเท่านั้น
“ไม่มีใครแต่งนางก็ช่างเถอะขอรับท่านแม่ น้องสาวคนเดียวข้าเลี้ยงได้อยู่แล้ว”
หลีหลุนพูดไล่หลังมารดา ทำเอาคนเป็นแม่ส่ายหน้าหนักกว่าเก่าด้วยความอ่อนใจ บุรุษทั้งสามในบ้านนั้นมักจะพูดแบบนี้กันทุกคน เมื่อใดที่นางเอ่ยถึงเรื่องการออกเรือนของหานหนี่ว์ แต่ละคนไม่เพียงแต่แสดงความหวงแหนออกมาอย่างชัดเจน แต่ถึงขั้นไม่อยากให้นางพบปะผู้ใดเลยด้วย
แล้วอย่างนี้บุตรสาวนางจะไม่กลายเป็นสาวทึนทึกไปหรอกหรือ?
ถังหนาน เมืองหลวงแคว้นหนานไห่
“หมายความว่าอย่างไร? ที่บอกว่าโรคของท่านแม่ข้ารักษาไม่ได้!”
เสียงเข้มเอ่ยกับหมอชราที่มาตรวจดูอาการของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง ผู้เป็นมารดาของเขาด้วยความเกรี้ยวกราดปนความไม่พอใจ
ก่อนหน้านี้ท่านหมอคนนี้บอกกับเขาว่า มารดาเข้านั้นเพียงแค่ต้องลมเย็นมากไปเท่านั้น จึงได้จับไข้ไม่สบาย แต่ผ่านมาแล้วกว่าเจ็ดวันหมอคนนี้ก็ยังรักษามารดาของเขาไม่ได้ แล้วตอนนี้ยังมาบอกเขาว่าโรคที่มารดาเขาเป็นนั้นรักษาไม่หาย ด้วยไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรจึงทำให้ไม่รู้แนวทางรักษา นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ซ่งหานโจวอยากบั่นคอหมอคนนี้นัก
“เรียนท่านแม่ทัพ อาการของฮูหยินผู้เฒ่าในตอนแรกนั้นเป็นเหมือนคนต้องพิษลมเย็นจริงๆ ขอรับ แต่พอข้าให้ยาสมุนไพรแล้วอาการกลับไม่ดีขึ้น อีกทั้งในห้องยังเพิ่มเตาผิงไว้จนอากาศในห้องอุ่นกว่าด้านนอกมาก หากต้องพิษลมเย็นจริง ภายในสามสี่วันอาการก็น่าจะทุเลาขึ้นบ้างแล้ว แต่นี่”
“หยุด!” ซ่งหานโจวร้องบอกท่านหมอให้หยุดพูดต่อเสียงดัง จนคนที่ยืนอยู่ในห้องนั้นพากันตกใจ
“เป็นท่านที่ไร้ความสามารถ!” แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหนานไห่ประกาศก้อง ทำเอาบ่าวไพร่น้อยใหญ่ขนลุกเกรียวด้วยความกลัว
“เป็นดังที่ท่านแม่ทัพกล่าว ข้าน้อยไม่มีอันใดจักแก้ตัว”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับคำกล่าวหานั้นโดยไม่แก้ตัว ซ่งหานโจวก็ไม่อาจกล่าวโทษอันใดได้อีก เขาเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะให้พ่อบ้านนำเงินซึ่งเป็นค่ารักษาก่อนหน้าไปให้กับท่านหมอ
“ขออภัยท่านแม่ทัพ” หมอชาราเอ่ยขึ้นก่อนประสานมือตรงอก กล่าวกับแม่ทัพใหญ่ด้วยความนอบน้อม
“เพียงแค่ข้านั้นมิอาจรักษาฮูหยินผู้เฒ่าให้หายได้ นับเป็นความอับอายอย่างหนึ่งแล้ว เช่นนั้นจึงไม่อาจรับเงินนี้ได้ ขอท่านแม่ทัพได้โปรดอภัย แต่หากข้าน้อยนั้นอยากให้ท่านแม่ทัพฟังที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้สักครั้งด้วยเถอะ”
ซ่งหานโจวขมวดคิ้ว ยามนี้มารดาเขาป่วยหนัก แถมยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร หมอเฒ่านี่ยังจะให้เขาฟังเรื่องเล่าอันใดอีก เวลานี้เขาควรมีใจฟังเรื่องเล่าอย่างนั้นหรือ?
“เชิญท่านหมอกล่าว แต่ข้านั้นมีเวลาไม่มาก ท่านหมอได้โปรดกล่าวตรงประเด็น อย่าได้อ้อมค้อม”
แม้จะไม่ยินดีฟังเรื่องเล่าเท่าใดนัก แต่ท่านหมอชราผู้นี้ก็เป็นถึงอดีตหมอหลวงในวัง เคยรักษาเหล่าเชื้อพระวงศ์มาไม่น้อย ก่อนจะลาออกมาอยู่บ้านด้วยโรคประจำตัว นับว่าเป็นหมอที่มีฝีมือเก่งกาจผู้หนึ่งเขาจึงไม่อาจหาญหักไมตรีกับหมอชราผู้นี้ได้