“ด้วยอาการที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอยู่นั้น ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นโรคใด ทำให้ไม่รู้แนวทางการรักษา หลายวันก่อนข้าได้ยินข่าวลือว่าที่เมืองหน้าด่านทางตะวันออก มีหมอผู้หนึ่งขึ้นชื่อเรื่องการวินิจฉัยโรค ทั้งยังมีความแม่นยำนัก ด้วยรู้โรคเร็ว คนไข้ของหมอผู้นั้นจึงมีโอกาสรอดสูง
มิสู้ท่านแม่ทัพให้คนไปสืบดูที่เมืองหน้าด่านนี้เถิด หากข่าวลือเป็นความจริง ท่านแม่ทัพสามารถเชิญท่านหมอผู้นั้นมารักษาอาการของฮูหยินผู้เฒ่าได้” พูดจบ ท่านหมอก็ขอตัวกลับไปในทันที โดยไม่อยู่รอฟังการตัดสินใจของแม่ทัพใหญ่คู่แผ่นดินเลยสักนิด
ซ่งหานโจวเองก็ได้แต่ตีสีหน้ายุ่ง หมอชรานั่นเอาข่าวลือที่ไร้การพิสูจน์มาเล่าให้เขาฟัง ช่างเป็นการเสียเวลาโดยแท้
“พ่อบ้านโจว ส่งคนไปเชิญหมอคนอื่นมาดูอาการท่านแม่ของเรา ใครก็ตามที่รักษาท่านแม่เราได้ เงินทองมากมายเพียงใดเราก็จะให้!”
“ขอรับนายท่าน”
คล้อยหลังพ่อบ้านโจว ซ่งหานโจวก็ได้แต่นั่งกำหมัดอยู่คนเดียว ด้วยเพราะในหัวของเขาตอนนี้มีแต่คำว่าเมืองหน้าด่านทางตะวันออก หมุนเวียนอยู่เต็มไปหมด ทำอย่างไรเขาก็ไม่อาจลืมเรื่องที่ได้ฟังนั้นได้
“อู่หยง!” เสียงเข้มเอ่ยเรียกลูกน้องฝีมือดีคู่กาย
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“เจ้าจงไปสืบข่าวลือเรื่องหมอคนที่ท่านหมอกู่เล่าให้ข้าฟังมาโดยเร็วที่สุด ข้าอยากรู้ว่ามันเป็นความจริงหรือเพียงข่าวลือกันแน่”
เพราะถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือ เขาก็จะใช้อำนาจของแม่ทัพจัดการคนที่หากินอยู่บนความเป็นความตายของผู้อื่นแบบนี้ทิ้งไปซะ
“ขอรับท่านแม่ทัพ!” อู่หยงรับคำก่อนจะเร้นกายหายไปภายในพริบตา
“หึ! อีกไม่นานแล้วสินะ ที่ข้าจะได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญูเสียที”
หลีเริ่นหรานเอ่ยประโยคนี้ออกมาเป็นคำแรกทันทีที่ลืมตาตื่น สองปีที่ผ่านมานั้นนางใคร่ครวญดูนับล้านครั้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง ว่าภาพที่นางจู่ๆ ก็ได้เห็นหรือภาพที่พลันฉายเข้ามาในหัวนั้นคืออะไร สุดท้ายก็สรุปได้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความสามารถพิเศษของนาง
ไม่รู้ควรจะเรียกว่านางมองเห็นอนาคต หรือที่คนยุคนี้เรียกว่านิมิตเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้สุดท้ายแล้วจะเรียกว่าอะไรมันก็คือการที่นางรู้ก่อนใครว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น กับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ และสิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความลับของนาง
หลังจากที่ตัดสินใจได้ว่านางจะเอาคืนสามีเก่าของมารดาบุญธรรม ให้ได้รับความเจ็บปวดอย่างที่มารดาบุญธรรมเคยได้รับ สิ่งที่นางทำต่อมาก็คือการปูทางกลับไปสู่เมืองหลวง โดยเฉพาะจวนแม่ทัพใหญ่นั่นเอง
และเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างให้คนอย่างนางทำบาปขึ้นเหลือเกิน เพราะวันนี้ทันทีที่ลืมตา นางก็นิมิตเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังนอนป่วย ทั้งยังเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ หญิงชราผู้นั้น เดาได้ว่าคนเป็นบุตรชายของหญิงชรา
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวในอดีตที่มารดาบุญธรรมเล่าให้ฟัง ว่าซ่งหานโจวอดีตสามีนั้น มีเพียงมารดาที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ด้วยบิดาตายในสงครามระหว่างแคว้นหนานไห่กับเผ่าเร่ร่อนนอกแคว้นตอนยกทัพออกไปปราบ จึงเป็นสาเหตุให้ซ่งหานโจวนั้นรักใคร่มารดามาก หลีเริ่นหรานจึงคาดเดาว่าภาพนิมิตที่นางได้เห็น อาจจะเป็นภาพของซ่งหานโจวและมารดาที่กำลังป่วย
และอีกไม่นานพวกเขาก็จะที่เมืองเหลียงเพื่อขอร้องให้ท่านตาและพี่รองของนางรักษาอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง
“เฮ้อ! ข้าชักจะรอไม่ไหวแล้วสิ แล้วอย่างนี้ข้าจะต้อนรับพวกเขาเช่นไรดี?”
นั่งคิดหาวิธีต้อนรับสามีเก่าของมารดาบุญธรรมอยู่ดีๆ หลีเริ่นหรานก็สะบัดหัวไปมา เพราะยังไม่ได้วิธีการที่ถูกใจ ฉะนั้นนางก็จะลืมเรื่องนี้ไปก่อน อย่างไรเสียนางก็ยังมีเวลาอีกนาน
“ว่าแต่เช้านี้จะทำอะไรกินดี?”
เมื่อลุกออกจากห้องมาแล้วพบว่ามารดายังไม่ตื่น หลีเริ่นหรานจึงได้เข้าครัวมาเพื่อทำอาหารเช้าให้กับทุกคนในบ้านทาน
เก่งเหมือนเป็ด!
คำนี้ช่างเหมาะสมกับนางอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ เพราะหลีเริ่นหรานนั้นเรียกได้ว่าเก่งงานบ้านงานเรือนแทบทุกอย่าง ทั้งเย็บปักถักร้อย ทั้งการทำอาหาร แต่ก็ไม่ใช่ที่หนึ่งสักอย่าง เพราะสิ่งที่นางตั้งใจที่สุดเห็นจะเป็นการฝึกวรยุทธ์ เพราะหากเทียบกันแล้ว ให้นางเตะต่อยอากาศอยู่นอกเรือนนางจะทำได้ดีกว่าการนั่งปักผ้านัก
แต่ก็นั่นแหละ นางทำได้ทุกอย่างแต่ไม่ได้เก่งทุกอย่าง เหมือนเป็ดที่บินได้เหมือนนก แต่บินได้ไม่สูงอย่างนก
“ทำโจ๊กปลาก็แล้วกัน” เมื่อนึกเมนูได้และเห็นว่าวัตถุดิบมีครบ หลีเริ่นหรานก็จัดการก่อไฟต้มข้าวในทันที
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ ฝู่หลงฮวาก็จัดการเป็นคนล้างถ้วยจานด้วยตนเอง โดยมีบุตรสาวเป็นผู้ช่วย
“ท่านแม่ มื้อเที่ยงกับมื้อเย็นนี้ทำอะไรกินกันดีเจ้าคะ?”
ฝู่หลงฮวาหันหน้ามองบุตรสาว ดูเอาเถิดว่านางนั้นกินเก่งเพียงใด มื้อเช้ากินเสร็จยังไม่ทันได้ล้างถ้วย นางก็ถามหาอาหารมื้อต่อไปเสียแล้ว
“แล้วเจ้าอยากกินอะไรล่ะ”
“อื่ม...ตอนเที่ยงท่านตากับพี่ๆ ทั้งสองก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาทันหรือไม่ ข้าว่าเราจับปลามาย่างกินกันดีไหมเจ้าคะ และหากจับได้เยอะ เย็นนี้ข้าจะทำปลาผัดเปรี้ยวหวานให้ท่านแม่ทาน”
เพราะวันก่อนพี่ใหญ่ของนางเข้าเมืองไปขายสัตว์ป่า ขากลับเขาได้ผลโปหลัว (สับปะรด) และผลซู้หลี (สาลี่) ติดมือมาเป็นกระบุง นางจึงได้ลองทำผัดเปรี้ยวหวานให้ทุกคนทาน โดยดัดแปลงเอาส่วนผสมที่มีอยู่มาทำเป็นเครื่องปรุงแทนซอสผัดที่ต้องใช้ส่วนผสมที่นางหาไม่ได้ในยุคนี้ อย่างเช่นพวกซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศ
“เช่นนั้นข้าไปเตรียมจับปลาก่อนจะเจ้าคะ” เมื่อมารดาพยักหน้า หลีเริ่นหรานจึงได้วิ่งออกไปเตรียมตัวจับปลาเพื่อมาทำเป็นอาหารในทันที
ในเมื่อนางคิดเมนูไว้แล้ว หากว่านางจับปลาไม่ได้นางก็อดกินอาหาร เช่นนั้นนางจึงต้องรีบจับปลาให้ได้
ไม้ไผ่ลำยาวที่ด้านหนึ่งถูกเหลาจนแหลม ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการหาปลาของหลีเริ่นหราน และอย่างที่ว่า นางนั้นทำบาปขึ้นเสียเหลือเกิน เพราะภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม นางนั้นจับปลาได้ตั้งห้าตัวแล้ว
โดยสามตัวแรกถูกฝู่หลงฮวาย่างจนสุกเหลืองหอมน่ากินเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกสองตัวนางก็จะนำไปแล่เนื้อเอาก้างออก เตรียมไว้ให้บุตรสาวทำปลาผัดเปรี้ยวหวาน
“หนี่ว์เอ๋อร์ แม่จะเอาปลาไปเก็บก่อน เจ้ายืนดีๆ ระวังตกน้ำด้วยเล่า”
ฝู่หลงฮวาร้องบอกบุตรสาวที่ยังก้มๆ เงยๆ อยู่กลางลำธาร เพราะระดับน้ำนั้นลึกแค่ช่วงอก ทั้งบุตรสาวยังว่ายน้ำเป็น ฝู่หลงฮวาจึงวางใจปล่อยให้นางอยู่คนเดียว ทั้งยังคิดว่าตนเองนั้นจะรีบเอาปลาไปเก็บแล้วรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนนาง
เพราะจับปลาได้เองตั้งห้าตัว เด็กน้อยเลยคึกอยากจะจับปลาต่อโดยไม่เลิกราโดยง่าย นางผู้ซึ่งตามใจบุตรสาวอยู่สาวอยู่แล้ว ก็ไม่เอ่ยห้ามปรามเมื่อเห็นว่าบุตรสาวมีความสุข
“เจ้าค่ะท่านแม่” เด็กสาวร้องรับ ก่อนจะหันหน้าไปตั้งใจจับปลาต่อ
ปึก!
ทว่าพอแทงไม้แหลมลงไปในน้ำแล้ว สิ่งที่นางได้กลับไม่ใช่ปลา หากแต่เป็นหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง!
“เอ๋? ....หนังสืออะไรจะอยู่ในน้ำได้โดยที่ไม่เปื่อยยุ่ยกันเล่า?” ด้วยความงุนงง หลีเริ่นหรานจึงได้เดินข้ามโขดหินขึ้นฝั่งพร้อมกับหนังสือหน้าตาประหลาดในมือ
หมื่นพันพิชิตใจ?
เด็กน้อยขมวดคิ้ว ความสงสัยตอนนี้พุ่งสูงเสียงยิ่งกว่าน้ำพุที่นางเคยเห็นในชาติก่อน หนังสือเล่มนี้แปลกมาก อยู่ในน้ำแต่กลับไม่เปื่อยยุ่ย ทั้งยังไม่เปียกเลยสักนิด ชื่อหนังสือที่เขียนอยู่ตรงหน้าปกก็ชวนหัวยิ่ง ประหนึ่งนิยายรักประโลมโลก
แต่มันจะเป็นนิยายรักธรรมดาได้เยี่ยงไร ในเมื่อนางนั้นได้มันมาจากในน้ำ แม้มันจะดูเก่าแต่สภาพก็ยังดีอยู่ หากเป็นหนังสือนิยายรักธรรมดาเหตุมันจึงไม่เปื่อยยุ่ยและสลายไปกับสายน้ำเล่า?
หรือจะเจอของดีเข้าแล้ว?
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรดลใจ หลีเริ่นหรานถึงได้เก็บหนังสือเล่มนั้นใส่ไว้ในอก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วตั้งจะไปจับปลาใหม่ แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้จับไม้แทงปลา ก็มีปลาตัวใหญ่กว่าสามตัวกระโดดน้ำจากน้ำมานอนหายใจพะงาบๆ อยู่ต่อหน้านาง
“หนี่ว์เอ๋อร์ แม่ว่าเราพอก่อนเถอะ เจ้าลงน้ำนานแล้วประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ฝู่หลงฮวาเดินมาถึงตัวบุตรสาวก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นปลาตัวใหญ่สามตัวที่นอนอยู่บนพื้น
“เอ๊ะ! เจ้าจับปลาได้ถึงสามตัวเร็วถึงเพียงเลยหรือหนี่ว์เอ๋อร์?”
คนถูกถามกะพริบตาสองสามที ก่อนจะพยักหน้ารับ จะให้นางปฏิเสธอย่างไรในเมื่อไม้แหลมที่ใช้จับปลายังอยู่ในมือนางอยู่เลย อีกอย่างหากปฏิเสธไปก็ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติยิ่งนัก
“เช่นนั้นกลับเรือนเถิด ไปอาบน้ำผลัดผ้าซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย แม่หุงข้าวไว้แล้ว เจ้าอาบน้ำเสร็จ ข้าวคงสุกพอดี แล้วเราค่อยมากินมื้อเที่ยงกัน”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากช่วยมารดาเก็บปลาและอุปกรณ์อื่นๆ เสร็จ หลีเริ่นหรานก็ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเดินมาถึงห้องนอนของตัวเอง เด็กน้อยก็จัดการปิดประตูให้สนิทก่อนจะลงดาลอย่างแน่นหนา
มื้อน้อยๆ รีบนำหนังสือเล่มนั้นออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะเปิดดูด้วยความสงสัย มันต้องไม่ใช่หนังสือธรรมดาแน่ เพราะเพียงแค่นางได้มันมาและใส่ไว้ในอกเสื้อ ก็มีปลาใหญ่ตั้งสามตัวกระโดดขึ้นจากน้ำมาตายต่อหน้านาง
แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ตอนนั้นนางไม่ได้ใช้พลังปราณในการจับปลา เพราะพลังปราณที่นางมีไม่ได้เก่งกล้าถึงขึ้นควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นได้เสียหน่อย
หรือว่าจะเป็นเพราะพลังเวท?
สองปีก่อนที่นางและท่านตาคุยกันถึงเรื่องพลังธาตุต้องห้ามที่นางมี ว่าจะต้องปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ทั้งนางและท่านตาก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย จนนางเองก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นถือครองพลังปราณธาตุต้องห้ามอยู่
เพราะนอกจากฝึกการควบคุมพลังปราณธาตุวาโยและวรยุทธ์การป้องกันตัวอื่นๆ แล้ว นางก็แทบจะไม่ได้ฝึกอะไรที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังเวทเลย
แล้วแบบนี้มันหมายความว่าเช่นไร?
ร่างน้อยอาบน้ำผลัดผ้าไปคิดไป เรื่องนี้ทำให้นางเกิดความสงสัยอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกระแวงในคราวเดียวกันด้วยกลัวว่าความลับที่เก็บไว้จะถูกเปิดเผย มันคงไม่ดีแน่ หากว่าวันหนึ่งจะมีคนอื่นรู้ว่านางถือครองธาตุต้องห้าม!
เมื่อแต่งตัวเสร็จ หลีเริ่นหรานก็นั่งพิจารณาหนังสือในมือด้วยใบหน้านิ่งเฉย ก่อนจะค่อยๆ เปิดมันออกช้าๆ และพบกับ...ความว่างเปล่า!
“อะไรกัน? ทำไมไม่มีอะไรถูกบันทึกไว้เลย” เด็กน้อยเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย
นางนั้นคิดไปสารพัดว่าหนังสือเล่มนี้ต้องไม่ใช่หนังสือธรรมดา คิดไปจนว่ามันอาจจะเกี่ยวพันกับการถือครองธาตุต้องห้ามของนาง ทว่าพอเปิดหนังสือเล่มนั้นดูแล้วนางกลับพบแต่ความว่างเปล่า แม้แต่หยดหมึกหยดเดียวก็ไม่มีให้เห็น!
“บ้าจริงเชียว!”
ร่างน้อยสบถก่อนจะโยนหนังสือเล่มนั้นไว้บนเตียงนอนด้วยอารมณ์ขุ่นๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยไม่ทันได้หันกลับมามองว่าหลังจากที่นางโยนหนังสือเล่มนั้นทั้งไว้ ก็พลันมีประกายแสงสีดำแผ่กระจายออกมาจากหนังสือเล่มนั้น เพียงชั่วอึดใจก่อนประกายแสงสีดำนั้นจะหายไป