ร่างน้อยค่อยๆ ลืมตา ก่อนจะกวาดสายตามองหาต้นกำเนิดเสียงที่นางได้ยิน แต่ก็เหมือนเดิมเพราะนอกจากความมืดแล้ว นางก็มองไม่เห็นสิ่งใด
หลีเริ่นหรานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อหายจากอาการเหนื่อยล้า ร่างกายของนางก็รู้สึกดีขึ้นมาก ร่างน้อยยืนขึ้นหวังเดินทางออก อย่างไรเสียนางก็ต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ พี่ชายสองคนของนางกำลังรอนางอยู่ อีกทั้งมารดาบุญธรรมและท่านตา และที่สำคัญที่สุดคือนางยังไม่ได้แก้แค้น ฉะนั้นนางจะไม่มีทางหลงอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดไปแน่
แต่ทันทีที่ก้าวขา ลำแสงสีขาวลำหนึ่งก็พุ่งตรงมาใส่ร่างของนางในทันที!
อึก!
เฮือกกก!
“หรานเอ๋อร์!” หลีหยางเอ่ยเรียกน้องสาว เมื่อสังเกตได้ว่าเห็นเปลือกตาของนางขยับ
“หลิ่งเอ๋อร์!” ฝู่หลงฮวาผลักบานประตูเข้ามาด้วยความเร็ว นางได้ยินเสียงบุตรชายร้องเรียกบุตรสาวจึงได้รีบวิ่งเข้ามาดู
“ท่านแม่ เมื่อครู่นี้ข้าเห็นเปลือกตานางขยับ” จบคำพูดของหลีหยางสองแม่ลูกก็ได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบาดังมาจากคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
“ทะ...ท่านแม่ พี่รอง”
“หนี่ว์เอ๋อร์ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ผ่านมาแล้วสามวันหลังจากที่หลีเริ่นหรานฟื้นคืนสติ ร่างน้อยเดินมานั่งเล่นที่หลังเรือนด้วยยามนี้ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า สายลมพัดมาเบาบางพอให้เย็นชื่นใจ
นางยังจำเหตุการณ์ที่ผ่านเมื่อสามวันก่อนนั้นได้ แต่ไม่ว่านางจะคิดนางก็ยังคงไม่ได้คำตอบ จำได้ว่านั้นหลังจากที่นางนั่งทำสมาธิเพื่อรวบรวมพลังปราณเสร็จและกำลังจะลุกขึ้นเดินต่อเพื่อหาทางออกจากสถานที่อันมืดมิดแห่งนั้น จู่ๆ ก็มีลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งตรงมาที่นาง ด้วยความตกใจและทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นนางจึงได้ถูกลำแสงนั้นพุ่งเข้าใส่ร่างกายนางอย่างเต็มแรง
แต่น่าแปลก....
นางคิดว่านางอาจจะบาดเจ็บจากการถูกลำแสงนั้นพุ่งเข้าใส่ ทว่ากลับตรงกันข้าม เพราะนอกจากนางจะไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยแล้ว นางยังรู้สึกเหมือนพลังปราณในร่างกายนางจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ราวกับว่าผ่านการฝึกฝนมานานแรมปี ทั้งที่ความเป็นจริงคือนางเพิ่งครบสิบขวบเมื่อหกวันที่แล้ว
“หรือร่างกายของเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ”
ด้วยดวงวิญญาณในร่างนี้เป็นของผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ร่างกายกลับยังเป็นเพียงเด็กสิบขวบ ทำให้ตอนนี้ความคิดในหัวนางตีกันอย่างยุ่งเหยิง
นางมาจากโลกอนาคตในอีกหลายพันปีข้างหน้า แน่นอนว่านางย่อมไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติที่ไร้การพิสูจน์ แต่ในเมื่อเรื่องเหนือธรรมชาติที่ว่านั้นเกิดขึ้นกับตัวนางเอง จะไม่เชื่อก็ไม่ได้
“หนี่ว์เอ๋อร์ มาทำอันใดอยู่ตรงนี้รึ?”
ฝู่เหมาเดินเข้ามาหาหลานสาวที่นั่งอยู่บนแคร่ริมลำธารด้วยสีหน้ายิ้มๆ วันนี้เขาเข้าเมืองไปกับหานหลิ่งเพื่อตรวจอาการคนไข้รายหนึ่งที่เขากำลังรักษาอยู่ หลังจากนั้นตอนกลับพวกเขาเดินทางผ่านตลาด จึงได้แวะซื้อของติดไม้ติดมือกลับมาด้วย หนึ่งในนั้นก็คือถังหูลู่ที่อยู่ตรงหน้าหลานสาวตอนนี้
“ท่านตาซื้อมาฝากข้าหรือเจ้าคะ ขอบคุณเจ้าค่ะ” เด็กน้อยกล่าวขอบคุณ ก่อนจะรับถังหูลู่ไปกิน
“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องในใจอย่างนั้นรึ” เด็กสาวชะงัก นี่นางกลัดกลุ้มจนมันแสดงออกทางสีหน้าเลยหรือ?
“ข้า...”
“หนี่ว์เอ๋อร์ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้าเรียกข้าว่าท่านตา เจ้าก็คือหลานรักของข้าแล้วรู้หรือไม่” ฝู่เหมาพูดจากใจจริง
แม้จะต่างสายเลือดกัน แต่ในเมื่อโชคชะตาวาสนานำมาให้มาพบพานและอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกัน เป็นกำลังใจให้กัน เป็นครอบครัวเดียวกันเช่นนี้แล้ว ลำพังแค่ต่างสายเลือดไม่นับเป็นอะไร และเมื่อคนในครอบครัวต้องทนทุกข์ ตัวเขาที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะอยู่เฉยได้หรือ
หลังจากที่หานหนี่ว์ฟื้นขึ้นมา ฝู่เหมาก็เฝ้าสังเกตหลานสาวมาตลอด เห็นได้ชัดว่านางกำลังมีเรื่องกลุ้มใจและคิดไม่ตก แววตาของนางคล้ายแววตาของผู้ใหญ่ยามมีเรื่องให้ต้องตัดสินใจ ไม่เหมือนแววตาของเด็กน้อยเลยสักนิด
“เช่นนั้นหากมีเรื่องกลุ้มใจอันใด ก็ให้เจ้านึกถึงครอบครัวที่รักเจ้าเป็นอันดับแรก” ฝู่เหมาลูบหัวหลานสาว จะอย่างไรเขาก็อยากเห็นเด็กคนนี้มีชีวิตที่ดี พบเจอแต่ความสุข แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาแอบหวังก็ตาม
ในวันที่ทำการพิสูจน์พลังปราณธาตุต้นกำเนิด สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นนับว่าเป็นเรื่องประหลาดและมหัศจรรย์มาก หากคนคนหนึ่งสามารถใช้ปราณควบคุมตัวแทนเหล่าธาตุทั้งหมดนั้นได้
แต่แม้ว่าสิ่งที่หานหนี่ว์ทำได้นั้นจะถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะอะไรที่ชื่อว่าพิเศษกว่าปกติ มักจะเป็นที่ต้องการของผู้อื่นเสมอ แน่นอนว่าเขาห่วงความปลอดภัยของหลานสาว
ทั่วทั้งยุทธภพ คนที่ถือครองพลังธาตุมากกว่าหนึ่งมักจะเป็นที่ต้องการตัวของเหล่าคนมีอำนาจเสมอ และถ้าหากพวกเขาไม่ได้ตัว สิ่งที่พวกเขาจะเอาไปก็คือชีวิตของคนคนนั้น
แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า เพราะตอนนี้คนที่เขาเป็นห่วงยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยสิบขวบเท่านั้น
“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าคิดว่าตนเองนั้นถือครองพลังปราณธาตุใด?” จากเหตุการณ์ที่ได้เห็นฝู่เหมาเชื่อว่าหลานสาวของเขานั้นต้องถือครองพลังธาตุมากกว่าหนึ่ง
เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยตอบออกมาด้วยความมั่นใจ
“ข้าว่าข้าถือครองพลังปราณธาตุวาโยเจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”
หลีเริ่นหรานเม้มปาก ก่อนจะวางถังหูลู่ในมือลง นางตัดสินใจแล้วว่าจะบอกสิ่งที่เกิดทั้งหมดนั้นกับผู้เป็นตา เพราะท่านตานั้นเป็นผู้อาวุโสผ่านโลกมามาก เห็นอะไรๆ มามาก ย่อมให้คำปรึกษาที่ดีกับนางได้
“ท่านตาดูนี่นะเจ้าคะ” พูดจบ หลีเริ่นหรานก็กระโดดลงจากแคร่ไม้
แต่ปลายเท้ายังไม่ทันติดพื้น นางก็ใช้เท้าข้างหนึ่งยันอากาศขึ้นไป จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะทะยานพาร่างเล็กๆ ของนางไปยืนอยู่บนกิ่งไม้
“จะ...เจ้าทำอย่างนั้นได้เช่นไร?” ฝู่เหมาถามอย่างตื่นตะลึง ตัวเขาเองแม้จะเป็นหมอ แต่เขาก็เป็นวรยุทธ์ อีกทั้งยังมีวิชาตัวเบา ทว่าวิชาตัวเบาของเขานั้นยังเทียบไม่ได้เลยกับหลานสาวคนนี้
ฟุบ!
เมื่อเท้าแตะพื้น เด็กน้อยก็รีบวิ่งมาหาผู้เป็นตาด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก คล้ายกับว่าเรื่องกลุ้มใจของนางได้หายไปแล้ว
“ท่านตา หลังจากที่ข้าสลบไปในวันนั้น แท้จริงแล้วเหมือนว่าข้าจะไม่ได้สลบไปเฉยๆ นะเจ้าคะ”
“หืม? เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร?”
“ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นความฝัน แต่คิดไปคิดมาแล้วมันไม่ใช่” เด็กน้อยมีสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเล่าต่อ
“ตอนนั้นข้าเดินอยู่ในสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบและความมืดมิด แต่ว่าข้ากลับได้ยินเสียงเรียกของพี่รองพอข้าขานรับเสียงนั้นก็หายไป ข้าเดินวนอยู่ในนั้นจนเหนื่อยจึงนั่งลงและทำสมาธิ แต่พอข้าลืมตาตื่นขึ้นมาและเตรียมจะลุกขึ้นเดินหาทางออกครั้ง ก็มีลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งตรงมาใส่ลำตัวข้า!”
หลีเริ่นหรานเล่าอย่างออกรส จนคนฟังนึกภาพตามได้ไม่ยากและอดลุ้นระทึกกับนางไปด้วยไม่ได้
“แล้วเป็นเช่นไรต่อ?” ฝู่เหมาถามต่อด้วยความอยากรู้
“แล้วข้าก็ตื่นเจ้าค่ะ”
ฝู่เหมาถอนหายใจหนักๆ ออกมา เขารู้สึกว่าหลานสาวตัวน้อยนี้ช่างโชคดียิ่งนัก ที่หลุดออกมาจากห้วงจิตมายาได้แถมยังไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ และดูเหมือนว่านางจะมีวรยุทธ์เพิ่มขึ้นด้วย ดูจากที่นางลองแสดงการใช้วิชาตัวเบาให้เขาดูแล้ว ไม่แน่ว่า วันข้างหน้านางอาจจะเป็นยอดจอมยุทธ์หญิงก็เป็นได้
“ดีแล้วที่เจ้ากลับมาได้” หลีเริ่นหรานย่นคิ้ว ทำหน้าคล้ายไม่เข้าใจ ผู้เป็นตาจึงเอ่ยปากขยายความคำพูดของตนเองเพิ่ม
“สถานที่ที่เจ้าหลุดเข้าไปนั้น เรียกว่าห้วงจิตมายา”
“คือสิ่งใดเจ้าคะท่านตา” ฝู่เหมามีท่าทีคิดหนัก ก่อนจะตัดสินใจเล่าให้หลานสาวตัวน้อยฟัง
“ห้วงจิตมายา คือดินแดนพิเศษลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของคนคนนั้น แต่คนธรรมดาส่วนใหญ่จะไม่สามารถมีห้วงจิตมายาได้”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะท่านตา”
“เพราะคนที่จะมีห้วงจิตมายาได้ จะต้องเป็นผู้ฝึกพลังปราณถึงขั้นไร้ขอบเขตอย่างไรเล่า”
“แต่หลานยังไม่ถึงขั้นนั้นนะเจ้าคะ” ในเมื่อพลังปราณต้นกำเนิดของเพิ่งจะตื่นเมื่อหกวันที่แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะมีพลังปราณถึงขั้นไร้ขอบเขต จนมีห้วงจิตมายาเป็นของตัวเอง
เอ๊ะ!?
หรือว่าจะเป็นครั้งนั้นเมื่อสี่ปีก่อน?
จำได้ว่าพี่ชายของนางถามว่านางทำเช่นนั้นได้อย่างไร นางซัดพลังปราณใส่คนที่ตามฆ่าพวกนางสองคนนั้นได้อย่างไร โดยที่นางไม่ได้ร่ำเรียนวรยุทธ์และตอนนั้นนางก็เพิ่งจะเต็มหกขวบ
หรือว่าพลังปราณต้นกำเนิดของนางจะตื่นตั้งแต่ตอนนั้น?
“ใช่ ระดับพลังปราณของเจ้ายังอยู่ในระดับต้น ไม่มีทางที่เจ้าจะมีห้วงจิตมายาเป็นของตัวเองได้ นอกเสียจากว่า...”
“อะไรหรือเจ้าคะท่านตา”
“เจ้าเป็นผู้ใช้พลังปราณธาตุต้องห้าม พลังเวท!”