“เอาล่ะ จากนี้จงตั้งใจทำตามที่ตาบอกนะ” หลีเริ่นหรานพยักหน้ารับ ดวงหน้าน้อยๆ ฉายแววจริงจังและเด็ดเดี่ยวขึ้น ริมฝีปากบนล่างเม้มเข้าหากันเลยทำให้สองแก้มยุ้ยๆ ของนางป่องออกมาอย่างน่ารัก
“ฮึๆ”
หลีหลุนหัวเราะในลำคอกับท่าทางจริงจังของน้องสาว เห็นนางทำสีหน้าจริงจังราวกับจะไปออกรบ แต่สองแก้มยังกลมเป็นก้อนซาลาเปา ทั้งร่างกายตอนนั้นก็ยังเล็กนัก จึงทำให้ท่าทางที่ออกมาดูน่าเอ็นดูมากกว่าน่าเกรงขาม
เวลาก็ผ่านมาแล้วตั้งสี่ปี แต่เหตุใดนางสูงขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยกันนะ ทั้งที่นางก็ออกจะกินเก่ง?
“ยื่นมือข้างที่ถนัดออกมา แล้วตั้งสมาธิส่งพลังปราณไปที่ปลายนิ้วทั้งห้า”
เมื่อผู้เป็นตากล่าวจบ หลานสาวตัวน้อยก็ทำตามอย่างว่าง่าย โดยปราศจากความง่วงงุนที่มีอยู่ก่อนหน้า
หลีเริ่นหรานยืนหลังเหยียดตรง ก่อนจะยื่นมือข้างขวาออกไปข้างหน้า เด็กน้อยตั้งสมาธิให้ตั้งหมั่น สายตาจดจ้องอยู่ที่ตัวแทนธาตุทั้งหมดที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณที่มีอยู่ในร่างออกไปทางฝ่ามืออย่างช้าๆ
“อย่าเพิ่งให้พลังปราณหลุดจากมือไป ควบคุมไว้โดยการพลิกหงายฝ่ามือขึ้น”
เมื่อผู้เป็นตาร้องบอก หลีเริ่นหรานก็ทำตามอย่างฉับไว ก่อนที่พลังปราณของนางที่เป็นกระแสคลื่นสีเขียวอ่อนจะหลุดออกไปจากฝ่ามือ
“ดี” ผู้เฒ่าฝู่เอ่ยออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะกล่าวต่อ
“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าค่อยพลิกฝ่ามือกลับไปแล้วตั้งฝ่ามือให้ตรง”
หลีเริ่นหรานทำตาม และเมื่อนางปลดปล่อยพลังที่ควบคุมไว้ออกไป คลื่นพลังสีเขียวอ่อนก็ค่อยๆ มุ่งตรงไปยังตัวแทนของธาตุทั้งหลายที่ตั้งอยู่หน้า
และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็ทำเอาผู้เฒ่าฝู่ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง!
เมื่อคลื่นพลังสีเขียวอ่อนที่พุ่งตรงไปยังตัวแทนธาตุ พวกมันกลับแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง จากนั้นก็ค่อยๆ โอบล้อมตัวแทนธาตุทั้งหมดนั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร อย่างเห็นหลินจือที่เป็นตัวแทนธาตุโอสถ ก้อนหินที่เป็นตัวแทนธาตุปฐพี นำในถ้วยที่เป็นตัวแทนธาตุนที หรือแม้แต่ถ้วยเปล่าที่ถือเป็นตัวแทนธาตุวาโยนั่นด้วย
และเมื่อตัวแทนธาตุเหล่านั้นถูกพลังปราณของหลีเริ่นหรานโอบล้อมไว้แล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาเหนือพื้นของโต๊ะไม้ที่ตั้งพวกมันอยู่ แม้แต่เห็ดหลินจือที่ถูกก้อนหินวางทับไว้ในตอนแรก ก็ยังแยกออกจากกันทันทีที่ลอยเหนือพื้น
“พี่ใหญ่! นั่นมันหมายความว่าเยี่ยงไร?” หลีหยางเอ่ยถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง เขาไม่เคยเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตอนนี้มาก่อนเลยในชีวิต
สี่ปีก่อนตอนที่เขาพิสูจน์ปราณธาตุต้นกำเนิด ท่านตาฝู่เหมาก็ใช้วิธีเดียวกันนี้พิสูจน์ปราณธาตุต้นกำเนิดให้เขา แต่ในตอนนั้นพลังปราณของเขาที่พุ่งออกมาจากร่างกาย ก็มุ่งตรงไปยังกองสมุนไพรที่วางอยู่ตรงหน้าทันที จากนั้นทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่เหมือนดังเช่นตอนนี้ ที่พลังปราณของหลีเริ่นหรานโอบล้อมตัวแทนธาตุต่างๆ ไว้โดยรอบ
ไม่เว้นแม้แต่กองไฟที่ใกล้ดับมอด ก็พลันมีประกายไฟเกิดขึ้นมา ทันทีที่ถูกพลังปราณของนางโอบล้อม!
นี่มันเรื่องอะไรกัน! พวกเขามีน้องสาวเป็นบุคคลพิเศษหรือนี่?
หลีเริ่นหรานเมื่อเห็นสิ่งต่างๆ ลอยขึ้นมาเหนือพื้นก็ให้เกิดความสงสัยแก่ตนเองนัก ไม่ใช่ว่าตัวแทนธาตุต่างๆ ที่ต้องลอยขึ้นมามีเพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่หรือ?
หรือมากสุดก็แค่สอง แต่ทำไมพลังปราณของนางถึงได้ยกสิ่งต่างๆ เหล่านั้นลอยขึ้นบนอากาศไปเสียหมด
หรือนางจะถือครองพลังปราณทุกธาตุ?
เป็นไปไม่ได้!
บนโลกนี้ไม่เคยมีใครถือครองพลังธาตุได้มากเกินหนึ่งหรือสอง หรืออย่างมากสุดก็สามธาตุ แต่ก็ยังพบยากยิ่งนัก ฉะนั้นการที่นางจะถือพลังปราณธาตุมากกว่าสามหรือทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
หลีเริ่นหรานไม่คิดว่าตนเองจะโชคดีปานนั้น อีกอย่างสวรรค์คงไม่มีทางมอบพรสวรรค์ของพลังปราณธาตุทั้งหมดให้นางถือครองเพียงคนเดียวแน่ ไม่อย่างนั้นสวรรค์ก็คงไม่ใจร้ายพรากพ่อแม่และพี่ชายอีกคนของนางไปภายในเวลารวดเร็วเช่นนั้น
หญิงสาวในร่างเด็กน้อยวัยสิบขวบครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะพลิกฝ่ามือตนเองให้ตั้งฉาก แล้วหมุนเป็นวงกลม เมื่อเห็นสิ่งต่างๆ ที่ถูกพลังปราณของนางควบคุมอยู่หมุนตาม นางก็พลันคิดอะไรบางอย่างได้ในใจ
ผู้ฝู่เหมาเหมือนเพิ่งจะได้สติก็เมื่อตอนที่ตัวแทนธาตุต่างๆ หมุนวนไปตามการควบคุมของหลานสาว
ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ ตาแก่อย่างเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์แบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เรียกได้ว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว อยู่มาห้าสิบกว่าจนจะหกสิบปีการได้เห็นสิ่งที่มหัศจรรย์เช่นนี้นับว่าเป็นวาสนาแล้ว
ผ่านไปเกือบสองเค่อหลีเริ่นหรานถึงได้ยุติทุกอย่างลง หลังจากที่นางลองใช้พลังปราณควบคุมตัวแทนธาตุเหล่านั้นให้หมุนเป็นวงกลม ลอยไปมาซ้ายขวา หรือแม้กระทั่งลอยขึ้นข้างบนและดิ่งลงมาข้างล่าง ซึ่งทุกวิธีล้วนได้ผลลัพธ์แบบเดิมคือทุกอย่างเป็นไปตามที่นางควบคุม
ตุบ!
เพล้ง!
เสียงสิ่งต่างๆ ที่ลอยอยู่ตกกระทบโต๊ะไม้ที่วางอยู่ คนทั้งสามถึงได้หันมามองหลีเริ่นหรานเป็นตาเดียว
ร่างเล็กบางลดแขนลง นางรู้สึกเมื่อยแขนเหลือเกินหลังจากที่ส่งผ่านพลังปราณอยู่นาน ทว่าในเสี้ยววินาทีนั้นเอง อาการแปลกประหลาดบางอย่างก็พลันเกิดขึ้นกับตัวนาง
หลีเริ่นหรานรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง ในหัวรู้สึกเคว้งคว้าง ก่อนจะเหมือนมีพลังงานส่ายหนึ่งวิ่งพล่านอยู่ภายในรอบตัวนาง ร่างน้อยยืนโงนเงนไม่มั่นคง ก่อนที่นางจะล้มพับลงไปสู่พื้นดินด้านล่าง มวลอากาศขนาดหนึ่งก็รวมตัวกันมาอุ้มซ้อนร่างเล็กของนางไว้
เหตุการณ์นั้นทำเอาคนทั้งสามที่ยืนดูนั้นเบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง และยิ่งเห็นร่างเล็กของหลีเริ่นหรานลอยสูงขึ้น แล้วหมุนไปมาช้าๆ บนอากาศ คนทั้งสามก็แทบยืนกลั้นหายใจ
หลีหลุนรู้สึกตัวก่อนใคร เขาเดินไปใกล้ใต้จุดที่ร่างน้องสาวลอยคว้างอยู่ จากนั้นจึงปลดปล่อยพลังปราณธาตุของตนเองไป ดึงร่างน้องสาวลงมาจากด้านบน
เพราะร่างกายเนื้อหนังภายนอกของมนุษย์นับเป็นของแข็งชนิดหนึ่ง ดังนั้นหลีหลุนซึ่งถือครองพลังปราณธาตุปฐพีจึงสามารถควบคุมร่างน้อยๆ ของสาวได้
ฟุบ!
เมื่อร่างของน้องสาวถูกดึงลงมา หลีหลุนก็รีบใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นไปซ้อนร่างเล็กของน้องสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขนอย่างไว ก่อนจะพาลงสู่พื้นดินเบื้องล่างอย่างปลอดภัย
“หนี่ว์เอ๋อร์!” ฝู่เหมาร้องเรียกหลานสาวทันทีที่หลานชายพานางลงมาสู่พื้นอย่างปลอดภัย
“น้องพี่! เป็นอย่างไรบ้าง พี่ใหญ่นางเป็นอะไร?” หลีหยางถามด้วยความร้อนใจ ตอนนี้น้องสาวดูเหมือนสลบไปแล้ว จะเรียกอย่างไรก็ไม่ได้ยิน
“พานางกลับไปที่ห้องก่อนเถิด ตาจะดูอาการนางเอง”
หลีหลุนรีบอุ้มร่างน้อยของน้องสาวเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที พร้อมกับหลีหยางที่เดินตามไม่ห่าง ส่วนท่านตาผู้เฒ่าฝู่นั้นเดินนำไปเตรียมการตรวจก่อนแล้ว
“ท่านตา หนี่ว์เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ท่านพ่อ นางจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ทั้งหลีหยางและฝู่หลงฮวาต่างก็ถามไถ่อาการของหลีเริ่นหรานด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะหลีหยาง ตลอดเวลาสามวันที่น้องสาวนอนไม่ได้สติ เขาแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย
จะว่าไปตอนนี้ทุกคนในบ้านต่างก็ไม่เป็นอันทำอะไร นับตั้งแต่สามวันก่อนที่หลีเริ่นหรานสลบไปหลังจากการพิสูจน์พลังปราณธาตุต้นกำเนิด พวกเขาทุกคนจะคอยผลัดกันมานั่งเฝ้าหลีเริ่นหรานทุกๆ สามชั่วยาม จนตอนนี้ผ่านมาสามวันแล้วก็ไม่มีทีท่าว่านางจะฟื้นขึ้นมา มีเพียงลมหายใจที่ยังคงสม่ำเสมอเท่านั้น ที่เป็นตัวบ่งชี้ว่านางยังมีชีวิตอยู่
เหตุการณ์นี้ทำให้สองพี่น้องอย่างหลีหลุนและหลีหยางนึกไปถึงตอนที่น้องน้อยนอนสลบไปนานกว่าห้าเดือนในคราวก่อนนั้นอีกครั้ง
และพวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การหลับใหลของนางในครานี้จะไม่กินเวลานานถึงเพียงนั้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาสองคนก็คงต้องทนทรมานใจไม่น้อย และมันก็ทำให้พวกเขาพลอยคิดถึงบิดามารดาและน้องชายอีกคนที่จากไปเมื่อสี่ปีก่อนนั้นอย่างห้ามไม่ได้
ครานั้นเมื่อเห็นน้องสาวนอนนิ่งดั่งร่างไร้วิญญาณ ทุกคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ก็ต่างพากันปลอบโยนและให้กำลังใจกันและกัน แต่มาตอนนี้พวกเขาเหลือกันอยู่เพียงแค่สองคน ต่อให้ปลอบใจกันให้หายกังวลอย่างไรก็คงมิสู้ให้น้องสาวตื่นฟื้นขึ้นมา
ดีที่ตอนนี้พวกเขายังมีท่านตาฝู่เหมาและมารดาบุญธรรมอย่างฝู่หลงฮวาที่คอยปลอบโยนอยู่ไม่ห่าง ทำให้พวกเขาทั้งสองยังครองสติกันได้อยู่ ไม่หวั่นไหวและร้องไห้จนสติกระเจิดกระเจิงไปถึงไหนต่อไหน
และเมื่อหลีหลุนเอ่ยปากเล่าเรื่องที่น้องสาวเคยนอนสลบไปนานถึงห้าเดือนให้มารดาบุญธรรมกับท่านตาฟัง พวกเขาทั้งสองก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเวทนาทันทีที่ฟังจบ
“โธ่! หนี่ว์เอ๋อร์ของแม่ ชีวิตเจ้าช่างน่าเวทนายิ่งนัก” ฝู่หลงฮวาเอ่ยพร้อมกับลูบผมเด็กน้อยเบาๆ ดวงหน้าของนางยังมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่
“ท่านแม่ ท่านไปพักก่อนเถิดขอรับ ข้าจะเฝ้าหนี่ว์เอ๋อร์เอง” หลีหยางเอ่ยบอกมารดาบุญธรรมให้ไปพักผ่อน คงไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่หากนางจะล้มป่วยไปด้วยอีกคน
“หลิ่งเอ๋อร์ เจ้าก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยเล่า แม่เห็นว่าเจ้าเฝ้าน้องสาวอยู่ตลอด แม่กลัวว่าเจ้าจะไม่สบายไปอีกคน”
“ขอรับท่านแม่” หลีหยางรับปากอย่างว่าง่าย
คล้อยหลังเมื่อฝู่หลงฮวาออกจากห้องไปแล้ว หลีหยางก็ได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาเดินไปปิดประตูให้สนิท ก่อนจะเดินกลับมายังเตียงนอนของน้องสาว
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่จ้องมองดวงหน้าจิ้มลิ้มของน้องสาวที่เพิ่งอายุเต็มสิบขวบปีอย่างพิจารณา ในหัวพลางคิดว่าเหตุใดน้องสาวเขาถึงได้มีกรรมนัก อายุก็เพียงแค่นี้แถมร่างกายยังเล็กและบอบบาง แต่เหตุใดนางจึงต้องพบเผชิญกับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน
“หรานเอ๋อร์น้องพี่ เจ้าจะต้องไม่เป็นไร เจ้าจะต้องกลับมาหาพี่นะ พี่ชายรอเจ้าอยู่รู้หรือไม่”
‘หรานเอ๋อร์น้องพี่ เจ้าจะต้องไม่เป็นไร เจ้าจะต้องกลับมาหาพี่นะ พี่ชายเจ้ารออยู่รู้หรือไม่….’
เอ๊ะ? นั่น! เสียงพี่รอง
ท่ามกลางความมืดและหมอกควัน หลีเริ่นหรานได้ยินเสียงเรียกเสียงหนึ่ง นางจำได้ว่าเป็นเสียงของหลีหยาง พี่ชายคนรองของนาง
ทว่าพอนางส่งเสียงตอบกลับไป เสียงนั่นก็หายไปเหลือเพียงเสียงของนางเองที่ดังก้องสะท้อนกลับมาท่ามกลางความมืดมิด
“นี่มันที่ไหนกันแน่” หลีเริ่นหรานพูดกับตัวเอง เพราะรอบกายของนางตอนนี้แม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่มีบินให้เห็น
เมื่อหลงทางอยู่ในความมืดมิดนานจนไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาไหนแล้ว หลีเริ่นหรานจึงได้ทิ้งกายทรุดลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ตลอดเวลาที่ผ่านมานางเดินอยู่ในสถานที่แห่งนี้ตลอดเพื่อหาทางออก แต่กลับไม่พบอะไรเลยนอกจากความมืดมิด ตอนนี้นางจึงได้รู้สึกเหนื่อยและปวดเมื่อยแข้งขาเป็นอย่างมาก
“โอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตกลงว่ามันเป็นความฝัน หรือว่าความจริงกันแน่!”
หลีเริ่นหรานร้องออกมาอย่างหมดความอดทน นางไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวนางกันแน่ ความมืดรอบกายเป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในความฝันของนาง หรือว่าละเมอแล้วเดินออกจากเรือนมาในยามค่ำคืน
แต่ความทรงจำสุดท้ายที่นางจำได้ คือนางกำลังพิสูจน์พลังปราณธาตุต้นกำเนิดอยู่มิใช่หรือ?
แล้วเหตุใดพอรู้สึกตัวอีกที นางจึงมาอยู่ในที่มืดมิดแห่งนี้ได้....
หลีเริ่นหรานนั่งกอดอก ตอนนี้นางรู้สึกมึนงงไปหมด นางไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใด ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ใด และไม่รู้ว่าจะออกจากที่นี่ไปได้อย่างไร
เห็นทีต้องทำอะไรสักอย่าง....
ร่างน้อยคลายมือออกจากอก ก่อนจะวางไว้บนตักด้วยท่านั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อจิตสงบนางก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ หูของนางก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท
ตื่นแล้ว....ข้าตื่นแล้ว....