แล้ววันที่บีบคั้นหัวใจของหลีเริ่นหรานก็มาถึง วันนี้เป็นวันครบรอบสิบขวบของนาง สี่ปีที่แล้วนางยังจำได้ดี เช้าวันนี้ของเมื่อสี่ปีก่อนนางถูกมารดาปลุกให้มาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า ก่อนบิดาและพี่ใหญ่พี่รองจะพานางเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของขวัญให้ ทว่าด้วยจิตใจที่มีความกังวลอยู่ลึกๆ วันนั้นนอกจากเซ่าปิ่งหลายสิบชิ้นที่พี่รองเป็นคนจ่ายเงินให้ นางก็ไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาอีกเลย
และเมื่อกลับมาก็ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต นางเสียบิดามารดาและพี่ชายคนเล็กไปก็ตอนพลบค่ำของวันนี้เมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉะนั้นวันเกิดของนางจึงไม่ใคร่มีอะไรน่ายินดีสักเท่าไหร่
หลีเริ่นหรานก้มมองก้อนหินสีขาวก้อนเล็กในมือ นางจำได้ว่าหินก้อนนี้พี่สามของนางเก็บมันมาให้ และนางก็พกติดตัวมาโดยตลอด หินก้อนนี้จึงเป็นเสมือนของที่มีไว้ให้นางดูต่างหน้า เมื่อคนที่ให้นางไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
หลีเริ่นหรานเก็บหินก้อนนั้นใส่ไว้ในถุงหอมอย่างเดิม ก่อนจะมัดปากถุงหอมที่ถูกเย็บติดกับย่ามอย่างแน่นหนา จนมั่นใจว่าหินก้อนนั้นจะไม่หล่นหาย แม้จะเป็นเพียงก้อนหินสีขาวก้อนเดียว แถมไร้ราคาค่างวด แต่มันก็สำคัญกับนางมาก เพราะการจากไปอย่างกะทันหัน ทั้งบิดามารดาจึงไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้ให้ดูต่างหน้า นอกจากหินก้อนนี้แล้ว นางก็ไม่มีอะไรที่เป็นเสมือนตัวแทนของพวกเขาอีก
นางเก็บย่ามใบโปรดไว้ในช่องลับใต้ดินอย่างดี ก่อนจะยกตู้ตัวเล็กมาปิดทับไว้ ด้วยความที่เมื่อสี่ปีก่อน นางเอาก้องทองก้อนหนึ่งออกมาให้หลีหลุนนำไปให้ท่านตาหรือผู้เฒ่าฝู่นำไปแลกเป็นเงิน เพื่อที่จะซื้อของใช้และอาหารต่างๆ เข้ามาภายในบ้าน โดยบอกกับทุกคนว่าก้อนทองก้อนนั้นนางได้มาจากบิดา ทุกคนจึงไม่ได้สงสัย
เพราะการต้องเลี้ยงคนที่เพิ่มเข้ามาอีกสามชีวิต ผู้เฒ่าฝู่ย่อมตั้งตัวไม่ทันเป็นแน่ แม้เขาจะมีอาชีพเป็นหมอ แต่ดูแล้วก็หาใช่คนร่ำรวยอะไร เมื่อคิดจะอยู่กับพวกเขา นางจึงได้ตัดสินใจนำก้อนทองออกมา ทำให้การมีเริ่มต้นชีวิตใหม่ของพวกเขาทั้งสามนั้นไม่ยากลำบากมากนัก ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือผู้เฒ่าฝู่ไปด้วย เพราะเงินที่เอาก้อนทองไปแลกมานั้นมากมายจนครอบครัวธรรมดาๆ กินใช้ไปได้เป็นปีๆ แถมเงินนั่นยังสามารถซื้อยาบำรุงที่ผู้เฒ่าฝู่หาเองไม่ได้มาให้ฝู่หลงฮวากินด้วย พวกเขาให้ที่พักพวกนางสามพี่น้อง สิ่งใดที่พอจะช่วยได้นางก็ไม่คิดลังเล เพราะการมีคนให้เพิ่งพาอาศัย อย่างไรก็ดีกว่าการอยู่ตามลำพังกันเองสามพี่น้องในต่างแดนอยู่แล้ว
แม้ในความเป็นจริงพวกเขาจะไม่เจอฝู่หลงฮวาที่น้ำตกและไม่ได้มาอยู่ด้วยกันในภายหลัง พวกนางสามคนพี่น้องก็อยู่กันได้อยู่แล้ว ในเมื่อนางมีก้อนทองมากมายเต็มย่าม เรื่องอดอยากนั้นย่อมไม่มีแน่นอน แต่หากเจอคนไม่ดีหรือเจอโจรป่าเข้า ก็ไม่แน่ว่าพวกนางจะรอดได้ อีกทั้งยังอาจจะตกเป็นที่สงสัยของชาวเมืองคนอื่นๆ หากว่าเด็กสามคนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เดินซื้อของมากมายราวกับย้ายบ้านกันเพียงลำพังโดยไร้ผู้ใหญ่สักคนติดตาม
เมื่อเก็บซ่อนห่อย่ามไว้ในช่องลับใต้ดินเรียบร้อยแล้ว หลีเริ่นหรานก็เดินออกมาจากห้องนอน ก่อนจะปิดประตูไว้แล้วเดินไปหามารดา ที่ดูท่าว่าน่าจะยังอยู่ในห้องครัว
เพราะก้อนทองที่ไปแลกเป็นเงินนั้นได้เงินมาไม่น้อย ผู้เฒ่าฝู่จึงได้จ้างให้ช่างมาช่วยต่อเติมบ้านให้อีก จากที่ก่อนหน้านี้มีเพียงเรือนหลักหลังเดียว ตรงกลางมีโต๊ะไว้นั่ง ซ้ายขวามีห้องฝั่งละห้องซึ่งเป็นห้องของผู้เฒ่าฝู่และฝู่หลงฮวา ด้านหลังก็เป็นห้องครัวเล็กที่ยืนออกไป และภายนอกก็มีเพียงกระท่อมเล็กๆ ที่เขาใช้เก็บสมุนไพรเท่านั้น
เมื่อมีสามพี่น้องมาอยู่ด้วย ผู้เฒ่าฝู่จึงได้ให้ช่างมาต่อเติมบ้านเยื้องไปทางฝั่งด้านขวาที่เป็นห้องฝู่หลงฮวา โดยการสร้างเรือนที่มีห้องนอนสามห้องเพิ่มอีกหนึ่งหลัง พร้อมทั้งทำทางเดินต่อจากเรือนหลักด้วย นั่นจึงทำให้สามพี่น้องมีห้องนอนคนละห้อง และห้องของน้องสาวอย่างหลีเริ่นหรานก็อยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยห้องของพี่ชายทั้งสอง
หลีเริ่นหรานเดินออกจากห้องมาจนถึงห้องครัวที่อยู่ด้านหลังของเรือนหลัก แต่ก็ไม่พบมารดา นางจึงเดินออกมาที่ด้านหน้าเรือน แต่ก็ไม่พบผู้ใดจึงให้แปลกใจนัก สองเท้าของนางจึงเดินหาคนอื่นๆ รอบบ้าน ก่อนจะพบพี่ชายทั้งสอง ท่านแม่ และท่านตาอยู่ตรงลำธารเล็กๆ ท้ายเรือนห่างออกไปราวหนึ่งลี้
ความจริงแล้วลำธารตรงนี้ทอดยาวมาจากน้ำตกบนภูเขา เป็นพื้นที่ราวสิบหมู่ที่ผู้เฒ่าฝู่มักจะนั่งเล่นเป็นประจำ แต่ด้วยยังเป็นพื้นที่ของทางการภายหลังหลีเริ่นหรานจึงปรึกษากับพี่ชายว่าจะหาเงินไปซื้อที่ตรงนี้ไว้ ด้วยเพราะเป็นพื้นที่ติดกับหลังบ้านพอดี อีกทั้งลำธารนี้ก็มีน้ำไหลตลอดทั้งปี หากวันหน้านางคิดจะเพาะปลูก จึงเป็นการดีที่มีน้ำไว้ใช้สอยในพื้นที่ส่วนตัว
และเมื่อปีที่แล้ว นางก็เพิ่งให้ผู้เฒ่าฝู่ไปซื้อที่ดินตรงนี้มาไว้ในครอบครอง แม้ว่าจะอยากได้ที่ดินโดยเร็ว และนางก็มีเงินที่สามารถจะซื้อที่ได้ภายในเวลาถึงหนึ่งวัน แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้านางจะนำก้อนทองออกมาใช้อีก
ความลับ เมื่อคิดจะปกปิดก็ต้องปกปิดให้ถึงที่สุด และเพราะชีวิตในยามนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะลำบากยากเข็ญจนทนไม่ได้ เมื่อคิดจะซื้อที่เพิ่ม สามพี่น้องเลยพากันขึ้นเขาหาสมุนไพรไปขายทุกวัน แต่จะต้องมีหนึ่งคนที่ต้องอยู่บ้านเพื่อดูแลฝู่หลงฮวา ที่ยามนั้นเป็นคนไร้สติอยู่เสมอ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วหน้าที่นั้นจะตกเป็นของพี่ใหญ่อย่างหลีหลุน
ในเจ็ดวันพี่ใหญ่ของนางต้องอยู่บ้านเฝ้าฝู่หลงฮวาสามวัน อีกสองวันเป็นของผู้เฒ่าฝู่ที่อยู่ดูแลบุตรสาว และนางกับพี่รองจะอยู่แค่อาทิตย์ละวัน เพราะการเข้าป่าสมุนไพรนั้น วันใดที่นางและพี่รองเข้าป่าพร้อมกัน มักจะได้สมุนไพรล้ำค่ากลับมาเสมอ และสิ่งที่ทำให้พวกนางได้เงินซื้อที่ดินอย่างรวดเร็วนั้น ก็เป็นเพราะว่านางและพี่รองเก็บเห็ดหลินจือได้ตั้งห้าดอกใหญ่ ได้เงินมามากกว่าสามพันตำลึงทอง ความโชคดีในครั้งนั้นจึงทำให้ห้าชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นราวกับพลิกฝ่ามือ
“มาทำอะไรกันตรงนี้เจ้าคะ หนี่ว์เอ๋อร์หาพวกท่านตั้งนาน” หลีเริ่นหรานเอ่ยอย่างงอนๆ เมื่อเห็นว่าทุกคนทิ้งนางให้อยู่ในบ้านตามลำพัง
“หนี่ว์เอ๋อร์ มาหาแม่สิ ดูนี่ปลาย่างของโปรดเจ้าอย่างไรเล่า”
ตอนแรกหลีหลุนหรือซ่งหานลู่ตั้งใจมาจับปลาไปทำน้ำแกงในตอนเช้า แต่ด้วยคิดไปคิดมาว่าน้องสาวชอบกินปลาย่างเกลือ เขาจึงทำการก่อไฟอย่างปลาที่หามาได้ พอย่างสุกกลิ่นหอมก็ลอยออกไปตามอากาศ เรียกทุกคนในบ้านให้ออกมา
หลังจากนั้นมารดากับหลีหยางหรือซ่งหานหลิ่ง ก็พากันขนสำหรับกับข้าวออกมาด้วย พร้อมทั้งบอกว่าเช้านี้ครอบครัวเราจะกินข้าวกันข้างลำธารแห่งนี้ กะว่าย่างปลาทั้งหมดสุกจะไปตามน้องสาวมา แต่นางก็ดันออกมาเสียก่อนจะมีใครไปตาม
“วันเกิดเจ้าทั้งที แม่จึงอยากให้เจ้าเปลี่ยนสถานที่กินข้าว”
ความจริงท่านผู้เฒ่าฝู่มีความคิดอยากจะพาลูกหลานไปกินอาหารที่เหลาอาหารในเมือง แต่ติดตรงที่ว่าคนเป็นเจ้าของวันเกิดไม่เห็นด้วยเพราะเสียดายเงิน ทั้งยังชอบอาหารฝีมือมารดามากกว่า คนเป็นตาก็เลยขัดใจหลานสาวไม่ได้
“อืม...กลิ่นปลาย่างหอมมากเลยเจ้าคะท่านแม่”
“ดี ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กินเยอะๆ จะได้มีแรง หลังจากกินข้าวเสร็จ เรามีสิ่งที่ต้องทำต่อ”
“ทำอะไรเหรอเจ้าคะท่านตา?”
“ก็พิสูจน์ปราณธาตุต้นกำเนิดของเจ้าอย่างไรเล่า”
ต้องบอกก่อนว่าในยุคนี้คนส่วนใหญ่ฝึกวรยุทธ์ตามปราณธาตุต้นกำเนิดของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่พอถึงอายุสิบหนาวปราณธาตุของแต่ละคนจะตื่นขึ้นมา โดยการจะรู้ได้ว่าตนเองมีปราณธาตุใดเป็นธาตุต้นกำเนิดนั้นมีวิธีพิสูจน์ได้หลายวิธี
บางคนเมื่อปราณธาตุต้นกำเนิดตื่นก็คล้ายกับว่ามีพลังสายหนึ่งวนเวียนอยู่ในร่าง แล้วเมื่อเขาควบคุมสิ่งใดได้ ก็จะสรุปว่าเขามีพลังปราณธาตุนั้นเป็นพลังปราณธาตุต้นกำเนิด เช่นคนที่ควบคุมการไหลของน้ำได้ ก็มักจะมีปราณธาตุนทีเป็นธาตุต้นกำเนิด
แต่บางคนก็ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาวัดเพื่อที่จะได้ทราบปราณธาตุต้นกำเนิดอย่างแน่ชัดและแม่นยำ สิ่งนั้นคือวงล้อพลังธาตุ ที่ส่วนมากทางการจะเปิดให้ชาวบ้านทั่วไปใช้ได้ปีละครั้ง เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนต่อปี ลักษณะของวงล้อพลังธาตุนั้นไม่ค่อยต่างจากการที่เราควบคุมสิ่งที่เหมือนเป็นตัวแทนของธาตุต่างๆ ได้เองมากนัก
วิธีการคือหนึ่งคนต้องเสียเงินสูงถึงสิบตำลึงทอง เพื่อใช้วงล้อพลังธาตุหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นทหารที่ทำหน้าที่ก็จะนำผ้ามาปิดตา และสั่งให้คนคนนั้นยื่นมือออกมาหมุนวงล้อโดนใช้พลังที่มีในกาย โดยที่ลูกกลมๆ ในวงล้อนั้นจะเป็นเหมือนตัวแทนของธาตุต่างๆ หากลูกใดกลิ้งไปตามการหมุนของวงล้อแล้วตกลงมายังฐานรองรับด้านล่าง ก็แสดงว่าคนผู้นั้นมีปราณธาตุต้นกำเนิดเป็นธาตุนั้นๆ
แม้จะเป็นเหมือนของเด็กเล่น แต่ลูกกลมๆ ที่ว่านั้นถูกหลอมขึ้นจากผู้ครองพลังธาตุขั้นปลายที่มีสีของพลังธาตุเป็นสีดำ และมีระดับห้าขึ้นไปทั้งสิ้น คุณสมบัติของมันจึงมีหน้าที่ตอบสนองกับพลังปราณที่ใช้หมุนวงล้อโดยตรง หากมีพลังธาตุเป็นชนิดเดียวกัน จะเกิดการผลักดันกันของพลังและทำให้ลูกกลมๆ นั้นตกลงในรูที่เจาะไว้สู่ฐานด้านล่างในที่สุด
โดยปราณธาตุที่พบมากที่สุดคือปราณธาตุนที อัคคี ปฐพี วาโยและโอสถตามลำดับ ส่วนธาตุที่ถือว่าเป็นธาตุหายากคือธาตุโอสถและธาตุอักขระ ส่วนธาตุที่ถือว่าเป็นธาตุต้องห้ามนั้นคือธาตุพลังเวท
และถึงแม้คนที่เป็นหมอส่วนมากจะมีธาตุโอสถเป็นธาตุต้นกำเนิด แต่ก็ไม่เคยมีใครสำเร็จการฝึกปราณไปถึงขั้นไร้ขอบเขตเลยแม้แต่คนเดียว เช่นเดียวกันกับคนที่ถือครองปราณธาตุวาโย แม้จะมีคนถือครองปราณธาตุชนิดนี้ไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยมีใครเก่งถึงขั้นปลายระดับแปดได้เลยสักคน
และกล่าวถึงผู้ใดที่ถือครองธาตุพลังเวท ส่วนมากจะถูกนำตัวส่งทางการ และไม่เคยได้กลับมาหาครอบครัวอีกเลย นั่นจึงทำให้ธาตุพลังเวทนี้ค่อยๆ เลือนหายไป
เพราะว่ากันว่าคนที่ถือครองธาตุนี้ ส่วนมากจะสืบเชื้อสายมาจากปีศาจที่อยู่ในดินแดนรกร้างเมื่อหลายหมื่นปีก่อน จึงทำให้ปราณพลังธาตุชนิดนี้เป็นพลังธาตุต้องห้าม เพราะเชื่อว่าเป็นพลังของสิ่งชั่วร้าย หากมีผู้ใดฝึกฝนสำเร็จถึงขั้นไร้ขอบเขต ก็จะกลายเป็นปีศาจ ไม่ก็อสุรกายในร่างมนุษย์ สร้างความหวั่นเกรงและหวาดกลัวให้ผู้อื่นไปทั่ว
และในวันนี้ เหมือนว่าผู้เป็นตาจะใช้วิธีแรกในการพิสูจน์ปราณธาตุต้นกำเนิดของนาง เพราะใกล้ๆ กันนั้นมีอุปกรณ์ทดสอบดังกล่าวว่าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำในถ้วย ก้อนหิน กองไฟ หรือแม้แต่ถ้วยเปล่า
หลีเริ่นหรานเองก็คิดเช่นเดียวกันกับผู้เป็นตา เรื่องจะให้นางเสียเงินสูงถึงสิบตำลึงเพื่อพิสูจน์พลังธาตุต้นกำเนิดของตัวเองนั้น นางไม่มีทางยอมเด็ดขาด
บอกเลยว่านางเสียดายเงิน!
เมื่อทุกคนกินข้าวเสร็จแล้ว ฝู่เหมาก็ให้หลานสาวนั่งสมาธิสงบจิตใจอยู่ราวสองเค่อ ก่อนที่เขาและหานลู่หานหลิ่งจะช่วยกันเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ มาวางไว้ตรงลานหลังบ้าน
เห็ดหลินจือดอกหนึ่งถูกหานหลิ่งนำมาวางไว้ใกล้ๆ กับก้อนหิน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ยกหินก้อนนั้นทับเห็ดดอกนั้นเอาไว้
“น้องรอง เหตุใดจึงทำเช่นนั้น มิใช่ว่าเห็ดหลินจือนั่นมีราคาสูงมากหรอกหรือ วางก้อนหินทับเช่นนั้นแล้วมันจะไม่เสียหายหรือไร” หลีหลุนเอ่ยถามน้องชายด้วยสายตาแสนเสียดายเห็ดดอกนั้น
แม้เขาจะไม่ใช่ผู้ใช้พลังธาตุโอสถอย่างน้องชาย ทว่าเขาก็รู้ว่าเห็ดหลินจือนั้นมีค่าสูงมาก เพราะน้องสาวนั้นชอบเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าเห็ดหลินจือนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นสุดยอดของเห็ดทุกชนิดบนโลกใบนี้
แล้วเหตุใดน้องรองถึงได้นำมันมาทุบเล่นราวกับมันเป็นเหตุสามัญไร้ค่าเช่นนี้เล่า!?
“พี่ใหญ่ เห็ดดอกนี้ถือเป็นตัวแทนของพลังธาตุโอสถ ผู้ที่ถือครองธาตุโอสถนั้นจะสามารถควบคุมและนำมันออกไปจากหินก้อนนี้ได้โดยง่ายและไม่บุบสลายแม้เพียงนิด แต่หากว่าไม่ ท่านพี่ใหญ่ผู้ถือครองธาตุปฐพีก็สามารถยกหินก้อนนี้ออกได้อย่างเบามือ เป็นเช่นนี้แล้วจะกลัวอันใดเล่า”
หลีหยางอธิบายยาวเหยียด ทั้งที่ปกติจะเป็นคนพูดน้อย แต่ด้วยเขานั้นสังเกตเห็นสีหน้าของพี่ชาย ที่ดูจะแสนเสียดายเห็ดดอกนี้เหลือเกิน เขาก็อดอธิบายให้อีกฝ่ายฟังไม่ได้
“เป็นเช่นนั้นรึ” หลีหลุนเอ่ยก่อนถอนหายใจออกเบาๆ อย่างโล่งอก
ลำพังตัวเขานั้นหาสมุนไพรไม่เป็นยังเสียดายเห็ดดอกนี้ แล้วนับประสาอะไรกับผู้ถือครองธาตุโอสถ ที่เห็นสมุนไพรเป็นดังทองคำอย่างท่านตาฝู่เหมาและหลีหยางจะไม่เสียดายเลยจะเป็นไปได้อย่างไร และข้อนี้เป็นเขาที่คิดน้อยไปเอง
“เอาล่ะ หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าลืมตาขึ้นมาได้แล้ว” ฝู่เหมาเอ่ยเรียกหลานสาวที่ให้นั่งทำสมาธิอยู่ข้างลำธาร แต่เมื่อเรียกแล้วหลานสาวกลับไม่แม้แต่จะขยับตัว เขาจึงได้เดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะพบว่า
“หนี่ว์เอ๋อร์! นี่เจ้าหลับเช่นนั้นรึ!”
คนแอบหลับสะดุ้งโหยง ก่อนจะค่อยๆ ปรือตาอย่างงัวเงีย ก็มันช่วยไม่ได้ในเมื่อนางนั้นกินปลาย่างเกลือกับข้าวเยอะมากไปจนอิ่มเปล้ ไหนจะน้ำซุปแสนอร่อยฝีมือมารดาที่ซดแล้วคล่องคอนั่นอีก
“เอ่อ...ข้าเผลอพักสายตาเพียงชั่วครู่เองนะเจ้าคะท่านตา”
คนชราได้ฟังแล้วก็ให้ส่ายหน้า ทั้งนึกเคืองนึกขำในคราวเดียวกัน แต่จะให้โกรธก็โกรธไม่ลง ด้วยนางนั้นก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้นเอง
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปพิสูจน์พลังปราณธาตุต้นกำเนิดเสียก่อนเถอะ หลังจากนั้นเจ้าค่อยกลับไปพักสายตาที่ห้องเจ้า อย่างไรซะวันนี้พวกเราก็ไม่ต้องขึ้นเขากันอยู่แล้ว”
พูดจบฝู่เหมาก็เดินนำหลานสาวมายังลานที่จัดเตรียมไว้ หลีเริ่นหรานอ้าปากหาวครั้งหนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าไปมาซ้ายขวาไล่ความง่วงงุน