ตอนนั้นนางได้แต่รู้สึกว่าโลกตรงหน้ากำลังจะพังทลายลง สามีที่เคยรักใคร่ มาตอนนี้ไม่แม้แต่จะไยดี บุตรชายต้องพิษจนจะไปปรโลกอยู่ไม่กี่อึดใจเขาก็ไม่คิดหาทางช่วย ไม่แม้แต่จะสืบหาคนร้าย กลับมาต่อว่านางที่ไม่สามารถดูแลบุตรได้ ซ้ำร้ายยังประคองอนุเดินออกไปอย่างไม่ชายตาแลบุตรทั้งสองที่นอนหน้าเขี้ยวคล้ำเพราะพิษ
สองมือของฝู่หลงฮวากำแน่นเข้าหากันจนเล็บทิ่มแทงเนื้อจนได้เลือด กลางดึกคืนวันนั้นนางจึงให้คนงานที่ซื่อสัตย์กับนางช่วยพาร่างบอบช้ำของบุตรชายทั้งสองออกจากจนตระกูลซ่ง มุ่งหน้าไปสู่หน้าด่านทางทิศตะวันตกอันเป็นที่อยู่ที่นางติดต่อบิดาได้ครั้งล่าสุด โดยไม่รู้ตัวเลยว่าในท้องของนางนั้นได้มีอีกหนึ่งชีวิตก่อเกิดโดยที่นางไม่รู้ตัว
แต่ว่านางจะมาถึงบิดาร่างบอบช้ำของลูกชายที่นอนอยู่ในรถม้าก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว....
ฝู่หลงฮวาให้เงินคนงานคนดังกล่าวไป ก่อนจะขับรถม้าต่อด้วยตัวเองด้วยหัวใจที่แหลกสลาย กระทั่งนางมาถึงหมู่บ้านที่บิดาอยู่ในที่สุด สภาพตอนนั้นของนางก็ไม่ต่างอะไรกับคนไร้สติ
ฝู่เหมาเมื่อเห็นบุตรสาวด้วยสภาพร่างไร้วิญญาณก็ให้หัวใจสลาย เขาพาบุตรสาวลงจากรถม้าก่อนจะเข้าไปดูในรถม้าก็พบว่าเป็นศพของหลานชายสองคนของเขาในสภาพบวมอืดและเริ่มส่งกลิ่น
แม้อยากจะสอบถามจะบุตรสาวใจจะขาด ทว่าตอนนั้นนางไร้สติยิ่งกว่าคนบ้า วันๆ เอาแต่ร้องไห้และด่าทอสามี...
แต่ต่อให้ยังไม่รู้เรื่องราวอะไร ด้วยความเป็นหมอเขาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้รางๆ เพราะก่อนฝังศพหลานชายทั้งสอง เขาได้ตรวจดูตามร่างกายแล้วพบว่าหลานชายต้องพิษ แต่เป็นชนิดที่ไม่ได้ร้ายแรงมาก หากหายาถอนพิษได้ภายในสี่วันก็หายเป็นปกติ
แต่ที่น่าสงสัยคือ ทั้งที่เป็นพิษไม่ร้ายแรงถึงชีวิต หากไม่ปล่อยไว้นาน แต่ทำไมหลานชายเขาถึงตายได้ นอกเสียจากว่าไม่ได้ทำการรักษาใดๆ เลย
กระทั่งวันหนึ่งฝู่หลงฮวาเหมือนได้คืนสติ นางร้องไห้อยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้บิดาฟัง
ฝู่เหมาฟังแล้วก็ให้เกิดความคับแค้นใจยิ่ง เพียงแค่พิษที่เรียกได้ว่าเป็นพิษธรรมดา คนตระกูลซ่งยังปล่อยให้หลานชายของเขาตาย ทั้งยังทำร้ายจิตใจบุตรสาวเขาอย่างไม่ไยดี กระทั่งนางพาลูกสองคนที่ป่วยเพราะพิษร้ายออกจากจวนมาเกือบเดือนยังไม่มีกะจิตกะใจจะตามหา
ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!
แต่ฝู่เหมาก็ได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ เมื่ออยู่ๆ ฝู่หลงฮวาก็กรีดร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด นางบิดกายไปมาด้วยความทุรนทุราย เมื่อจับชีพจรบุตรสาวดู เขาถึงได้รู้ว่านางตั้งครรภ์ แต่นั่นก็สายเกินไปเสียแล้ว
สายเกินไปที่เขาจะช่วยชีวิตหลานสาวเอาไว้ได้!
สุดท้ายเขาก็เลยได้กลายเป็นท่านตาที่ได้ฝังศพหลานชายหลานสาวถึงสามคน
หลังจากนั้นฝู่หลงฮวาก็กลายเป็นคนกึ่งบ้ากึ่งมีสติ ยามนางมีสตินางก็เหมือนคนอื่นๆ ทุกอย่าง แต่เมื่อใดที่จิตใจนางเฝ้าคำนึงถึงบุตรทั้งสามที่ตายไป สติของนางก็จะค่อยๆ เลือนหายไป บางครั้งก็สามสี่วันนางจึงกลับมามีสติอีกครั้ง บางครั้งก็เกือบเดือน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ฝู่เหมาเป็นทุกข์ใจอย่างมาก เพราะเขานั้นรักษคนป่วยได้ แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่อาจรักษาคนบ้าได้
กระทั่งสี่ปีให้หลัง ขณะที่เขากำลังตามหาบุตรสาว โดยวันนั้นเป็นช่วงที่นางไม่ได้สติ นางก็จะชอบเดินไปที่น้ำตกในป่าท้ายหมู่บ้าน เพราะตรงนั้นเป็นบริเวณที่เขาฝังหลานทั้งสามเอาไว้
แต่เมื่อไปถึง ฝู่เหมาก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะบุตรสาวของเขากำลังถูกเด็กสองคนหามขึ้นจากน้ำ เขาเร่งเดินตรงไปด้วยความร้อนใจ ทว่าพอไปถึงบุตรสาวของเขาก็พลันได้สติขึ้นมา
นางมองเด็กชายที่ใกล้เข้าสู่วัยหนุ่มสองคนไปมา พร้อมกับหันมามองเด็กหญิงตัวน้อยที่น่าจะมีอายุไม่เกินหกหนาวด้วยสายตาซาบซึ้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า...ลูกแม่
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนมีสติคืนมา หลังจากได้พบสามพี่น้องอย่างอาหลุน อาหยาง และเสี่ยวหรานน้อย เขาผู้เป็นบิดาจึงได้ขอร้องให้พวกเขาสามพี่น้องอยู่ด้วยกันเพื่อรักษาอาการขาดสติของฝู่หลงฮวา
กระทั่งเวลาผ่านไปนานเป็นปี ฝู่หลงฮวาก็หายจากอาการขาดสติ กลับมาเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ทุกประการ เขาจึงได้เล่าความจริงให้นางฟังทุกอย่างเกี่ยวกับสามพี่น้อง
และเมื่อรู้ว่าสามพี่น้องเองก็ไร้หนทางไป เพราะพ่อแม่ถูกโจรป่าฆ่าตาย ทั้งบ้านก็ถูกเผาไม่เหลือซาก ฝู่หลงฮวาจึงได้รับพี่น้องทั้งสามเป็นบุตรบุญธรรม
ห้าชีวิตอยู่ด้วยกันนับจากนั้นมาอย่างมีความสุข แต่ไม่ว่าจะมีความสุขสบายใจมากเท่าใด ฝู่หลงฮวาก็ไม่เคยลืมความเจ็บช้ำและความทุกข์ทนที่คนตระกูลซ่งมอบให้
แม้ว่านางอาจจะไม่ดิ้นรนเพื่อหาทางแก้แค้น แต่ถ้าหากวันข้างหน้ามีโอกาส นางย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยออกจากมือไปแน่!
สิบปีที่นางต้องทนทุกข์ หากว่าชีวิตนี้นางไม่เจอกับเด็กน้อยทั้งสามคนในวันนั้น ชีวิตนี้ของนางก็คงไม่แคล้วต้องการเป็นคนวิกลจริตไปตลอดชีวิต แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ฝู่หลงฮวาจึงเผลอกำมือแน่น สติที่มีจมดิ่งไปกับความโกรธแค้นที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ จนนางไม่ทันได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาของบุตรสาว
“ท่านแม่!” หลีเริ่นหราน หรือที่ตอนนี้นางคือซ่งหานหนี่ว์ บุตรสาวคนเล็กของฝู่หลงฮวา เอ่ยเรียกมารดาบุญธรรมซ้ำๆ เมื่อเห็นมารดานั่งเหม่อใจลอย จนไม่รู้สึกตัวแม้กระทั่งตอนนางเปิดประตูเข้าห้องมา
“ท่านแม่!” เด็กน้อยเอ่ยเรียกอีกครั้ง ก่อนมือน้อยๆ จะเอื้อมไปสัมผัสมือข้างหนึ่งของมารดาให้นางรู้สึกตัว
“หนี่ว์เอ๋อร์” เมื่อสติกลับมา ฝู่หลงฮวาก็คว้าตัวบุตรสาวเข้ามากอด
“ท่านแม่ใจลอยอีกแล้วหรือเจ้าคะ ท่านแม่คิดถึงผู้ชายคนนั้นหรือเจ้าคะ?” เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่นางเห็นมารดาอยู่ในสภาพใจลอยเช่นนี้ บางครั้งนางก็เรียกมารดานานกว่านี้ด้วยซ้ำไป กว่านางจะได้สติคืนกลับมา
ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมานานถึงสี่ปี เด็กน้อยจึงกลัวเหลือเกินว่ามารดาบุญธรรมนั้นจะกลับไปเป็นอย่างเมื่อก่อนอีก ด้วยความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างกัน เด็กน้อยจึงอดเป็นห่วงไม่ได้
ยามนั้นฝู่หลงฮวากลายเป็นคนดีก็ไม่ใช่ คนบ้าก็ไม่เชิง ด้วยเหตุที่นางสูญเสียลูกชายไปถึงสองคนในคราวเดียวกัน อีกทั้งในเวลาต่อมาเพียงไม่ถึงสองเดือน นางก็ต้องมาสูญเสียลูกสาวในท้องไปอีก ทำให้เป็นที่น่าสงสารนัก
และถ้าหากนางในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กสาววัยหกขวบจริงๆ ที่เพิ่งผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่มา นางก็คงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของฝู่หลงฮวาในตอนนั้นได้ เพราะจิตใจของนางก็คงยังจมดิ่งกับการสูญเสียที่เพิ่งได้รับ คงไม่มีใจจะแบ่งปันความทุกข์ใจจากใครได้
แต่เพราะดวงวิญญาณภายในร่างของนางนั้นไม่ใช่เด็กน้อยวัยหกขวบที่แท้จริง แต่เป็นวิญญาณสาวที่ใช้ชีวิตมาแล้วกว่ายี่สิบห้าปี นางจึงรู้จักการทำใจได้เป็นอย่างดีและเก็บเอาความเสียใจนั้นมาเป็นความแค้นที่รอวันชำระ
และถ้าจิตใจนางไม่เข้มแข็งปานเหล็กกล้า ไหนเลยจะฟื้นฟูจากความเศร้าโศกเสียใจได้ภายในเวลาแรมเดือนที่ร่อนเร่อยู่ป่า ทั้งที่ภาพการตายของบิดามารดาและพี่ชายคนเล็ก ยังตราตรึงอยู่ในทุกช่วงความทรงจำ
สามปีก่อนนางก้าวผ่านวันคล้ายวันเกิดของตัวเองมาได้เพราะมีพี่ชายทั้งสองอยู่เคียงข้าง อีกทั้งยังมีมารดาบุญธรรมอย่างฝู่หลงฮวาและท่านตาอย่างฝู่เหมาคอยเป็นกำลังให้ และในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นางก็จะผ่านมันไปได้เช่นเดียวกัน
“หนี่ว์เอ๋อร์” ฝู่หลงฮวาปล่อยบุตรสาวให้เป็นอิสระ ก่อนร่างเล็กจะค่อยๆ เดินไปนั่งตรงข้างกายมารดา
“ท่านแม่คิดเรื่องอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” ชาติก่อนที่นางเป็นลลิล นางก็โชคดีที่มีคนรับไปเลี้ยงและได้มีแม่บุญธรรม มาชาตินี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ฉะนั้นนางจึงรู้สึกรักและผูกพันกับฝู่หลงฮวามากเป็นพิเศษ
เพราะระหว่างคนทั้งสอง เหมือนต่างคนก็มาช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของกันและกัน ยามนั้นนางเป็นเด็กน้อยกำพร้าแม่ ส่วนฝู่หลงฮวาก็สูญเสียลูก เมื่อได้มาพบกันจึงเหมือนต่างคนต่างได้ของรับที่สูญหายไปกลับคืนมา
“หนี่ว์เอ๋อร์” ฝู่หลงฮวาเรียกบุตรสาวเสียงอ่อน ก่อนจะยกมือลูบผมนางที่เริ่มยาวมากขึ้นกว่าเดิมมากเบาๆ ผมนางยาวขึ้นอีกแล้ว อีกไม่นานนางก็จะเป็นสาวเต็มตัวแล้ว
“แม่รู้ว่ามันไม่ดี แต่...แต่แม่ลืมสิ่งเหล่านั้นไม่ได้” สิ่งเหล่านั้นที่ฝู่หลงฮวาหมายถึงก็คือเรื่องราวที่ผ่านเมื่อสิบปีก่อน
หลีเริ่นหรานรู้ดีว่า เป็นใครก็ไม่สามารถที่จะลืมเรื่องเลวร้ายที่ทำร้ายจิตใจตัวเองมากถึงเพียงนั้นไปได้ง่ายๆ ขนาดนางยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนางเลย
“ท่านแม่ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเราแก้ไขมันไม่ได้นะเจ้าคะ และที่ท่านแม่ลืมสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มันก็ไม่ใช่ความผิดของท่านแม่”
ยิ่งเรื่องใดที่เราคิดว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรม เราก็จะยิ่งไม่มีวันลืม และถ้าหากสิ่งนั้นไม่ได้รับการแก้ไข มันก็จะติดค้างอยู่ในใจเราไปจนกระทั่งวันตาย
“แม่รู้ หนี่ว์เอ๋อร์ แต่แม่ก็ยัง...ก็ยังทำใจลืมมันไปไม่ได้ แม่อยากลืม แต่แม่ทำไม่ได้” พูดจบน้ำตาใสๆ ก็ไหลรินออกมาอาบแก้ม
หลีเริ่นหรานมองมารดาบุญธรรมด้วยความสงสาร ก่อนมือน้อยๆ จะยื่นไปซับน้ำตาให้มารดาอย่างแผ่วเบา
“ท่านแม่ยังรักผู้ชายคนนั้นอยู่หรือเจ้าคะ?” คนฟังหันหน้ามอง ก่อนหลบสายตาบุตรสาวที่นางรู้ดีแก่ใจว่าบุตรสาวคนนี้นั้นฉลาดล้ำเพียงใด
นางอ่านสีหน้าคนเป็น บางครั้งก็เหมือนกับอ่านใจคนออก จึงไม่มีเรื่องไหนเลยที่ฝู่หลงฮวาจะปิดบังบุตรสาวได้ บางครานางก็หลงคิดไปแล้วว่าบุตรสาวตนเหมือนคนรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะบางครั้งนางก็ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริงมาก
“เขาเป็นรักแรกของแม่” พูดจบฝู่หลงฮวาก็น้ำตาไหลลงมาอีกระลอก
อ่า....ความรักนี่เอง ความรักนี่ช่างร้ายกาจเสียจริง...
“แล้วท่านแม่อยากให้ผู้ชายคนนั้นกลับมารักท่านแม่ หรืออยากเห็นเขาย่อยยับลงต่อหน้าเจ้าคะ?”
ฝู่หลงฮวาเผลอเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู นี่คือคำพูดที่ออกมาจากปากเด็กวัยสิบขวบปีหรือนี่ เหตุใดจึงดูกร้านโลกนัก
“ในเมื่อท่านแม่ยังรักผู้ชายคนนั้น ท่านแม่ก็ตัดสินใจเถอะเจ้าคะ ว่าอยากให้เขากลับมารักท่าน หรืออยากเห็นเขาย่อยยับ ทุกข์ใจและเจ็บปวดเหมือนอย่างที่ท่านแม่เคยได้รับ” เพราะนางเองก็ตัดสินใจแล้วเช่นเดียวกัน!
“แม่ยังรักเขา ในขณะเดียวกันแม่ก็อยากให้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวด เหมือนที่แม่ได้รับ”
ได้ยินคำตอบดังนั้นเด็กน้อยก็ยิ้มกว้าง นับว่าสิ่งที่มารดาคิดคล้ายกับนางอยู่ไม่น้อย เพราะความรักก็อยู่ส่วนความรัก และความแค้นก็อยู่ส่วนความแค้น
คนเราเมื่อถูกกระทำจากคนที่เรารักมากๆ มีสองสิ่งเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป หนึ่งคือความรักที่มีต่อคนคนนั้น สองคือความแค้นที่มีต่อคนคนนั้น ในโลกก่อนที่นางจากมา อาจไม่ได้มีแค่สองสิ่งนี้ที่ทำให้คนเราอยากมีชีวิตอยู่ต่อ โลกแห่งนั้นเต็มไปด้วยปัจจัยมากมายหลายอย่าง ทั้งที่เราเลือกได้เลือกไม่ได้ ทั้งที่เราต้องและไม่ต้องการ
แต่สำหรับโลกใบนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำและการแบ่งแยกชายหญิงที่ชัดเจนและเคร่งครัดเกินไป นอกจากปากท้องที่ทำให้คนเราต้องดิ้นรนให้มีชีวิตอยู่รอดแล้ว ก็เห็นจะมีแต่ความรักกับความแค้นนี่แหละ ที่เป็นแรงจูงใจขั้นสุดในการอยากมีชีวิตอยู่ต่อของคนส่วนใหญ่ และคนที่ปราศจากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างหมดจด นางก็เห็นจะมีแต่เพียงนักบวชเท่านั้น
แต่ในเมื่อพี่ชายทั้งสองของนางและท่านตาฝู่เหมาไม่ได้เป็นนักบวช นางและท่านแม่ก็ไม่ได้มีจิตใจฝักใฝ่ในรสพระธรรม ฉะนั้นเรื่องจะปล่อยวางจากไฟแค้นที่สุมอกนั้นคงจะเป็นไปได้ยาก
และก่อนที่นางจะได้กลับแคว้นตงฟู่เพื่อแก้แค้นคนโฉดชั่วพวกนั้น นางก็จะขอตอบแทนบุญคุณมารดาบุญธรรมด้วยการแก้แค้นคนเหล่านั้นให้!
ถือซะว่าเป็นการซ้อมรบไปในตัว อีกอย่างนางได้ยินมาว่าตระกูลซ่งนั้นเป็นตระกูลแม่ทัพ รับใช้ราชสำนักหนานไห่มานานหลายสิบรุ่น เป็นตระกูลเก่าแก่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสะพานที่ไม่เลวนักในการข้ามฝั่งกลับไปแคว้นตงฟู่
หลีเริ่นหรานวางแผนในใจ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก ในเมื่อตอนนี้นางคือซ่งหานหนี่ว์ นางก็จะกลับไปแคว้นตงฟู่ในนามของซ่งหานหนี่ว์ เพราะคนพวกนั้นคงจะคิดว่านางและพี่ชายได้พากันตายไปแล้วในป่าเขาเมื่อสี่ปีก่อน
และนับต่อจากนี้ไป หลีหลุน หลีหยางและหลีเริ่นหรานก็จะตายไปจากโลกนี้จริงๆ และจนกว่าการแก้แค้นนี้จะสำเร็จ ใครก็ตามจะไม่มีวันหาพวกนางสามพี่น้องเจอ
“เช่นนั้นข้าจะทำให้ท่านแม่สมหวังนะเจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสให้ผู้เป็นมารดา
“เจ้าจะทำอะไรหรือหนี่ว์เอ๋อร์?”
“ท่านแม่จะทราบเองในภายหลังเจ้าค่ะ แต่ต้องสัญญากับหนี่ว์เอ๋อร์นะเจ้าคะ ว่าท่านแม่จะต้องรักษาตัวเองให้ดีๆ หนี่ว์เอ๋อร์ไม่อยากเห็นท่านแม่เป็นอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว”
ร่างน้อยๆ ของนางโผเข้ากอดมารดาด้วยอาการออดอ้อน จนคนถูกอ้อนต้องรับปากอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อเจอลูกอ้อนลูกนี้เข้าไป
“ได้ๆ แม่สัญญา แม่จะไม่จมอยู่กับความเสียใจอีกแล้ว”