เมื่อยัดขนไก่เสร็จ หลีเริ่นหรานก็จัดการเย็บตะเข็บทั้งสองข้าง เมื่อเรียบร้อยแล้วร่างน้อยก็ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ แม้ว่ามันจะดูไม่งามเท่าไหร่ แถมฝีเข็มก็ไม่ได้เรียกว่าประณีต แต่ก็นั่นแหละ นางไม่ได้อยากได้ย่ามสวยๆ สักหน่อย นางแค่อยากได้ย่ามสักใบไว้ซ่อนเงินก็เท่านั้นเอง
ว่าแล้วหลีเริ่นหรานก็ลองสะพายย่ามที่เย็บด้วยฝีมือตนเองอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความพึงพอใจ
“ก็ไม่หนักเท่าไหร่ ถือว่าใช้ได้” หรือต่อให้หนักกว่านี้หลีเริ่นหรานก็ยินดีที่จะสะพายอยู่ดี
เพราะส่วนใหญ่น้ำหนักของย่ามใบนี้ล้วนมาจากก้อนทองที่นางเย็บใส่ไว้ต่างหาก หากใช่หนักเพราะผ้าป่านที่ใช้ทำไม่ ยิ่งขนไก่ป่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง ฆ่าไก่ถอนขนสักสิบตัวก็ไม่รู้ว่าขนของพวกมันจะหนักถึงหนึ่งจินรึเปล่า
แน่นอนว่า ต่อไปนี้นางก็จะมีเสื้อตัวในตัวโปรดหนึ่งตัวและย่ามสุดรักหนึ่งใบ และไม่ว่าจะไปที่ไหนนางก็จะพกทั้งสองสิ่งนี้ติดตัวไปด้วยเสมอ รวมทั้งก้อนหินสีขาวที่พี่สามของนางให้มาก้อนนั้นด้วย
ถึงจะเป็นก้อนหิน แต่ก็ก้อนเล็กนิดเดียว หลีเริ่นรานจึงเย็บถุงหอมมาถุงหนึ่งนอกจากสมุนไพรที่ช่วยให้สดชื่นแล้ว นางก็ยังใส่หินก้อนนั้นไว้ในถุงหอมถุงนั้นด้วย ก่อนจะนำมันไปเย็บติดสายสะพายของยามใบโปรด
เท่านั้นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปนางก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่ากลัวก้อนทองเหล่านั้นจะหายอีก ของแค่นางยังสวมใส่เสื้อตัวในตัวนั้น และพายย่ามใบนั้น เท่านี้ทางก็อุ่นใจ
วันที่เก้าเดือนสองยามอู่ หลีเริ่นหรานถูกปลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ยามอิ๋น ด้วยว่าวันนี้ผู้เป็นบิดาจะพานางและพี่ใหญ่พี่รองเข้าเมือง
เพราะวันนี้แตกต่างไปจากทุกวันคือวันนี้เป็นวันเกิดครบรอบหกขวบของนาง
ตอนนี้แม้จะเป็นปลายฤดูหนาว และหิมะก็ทิ้งช่วงตกไปนานแล้ว แต่สภาพอากาศโดยรวมก็ยังถือว่าหนาวเย็นอยู่มาก ร่างน้อยจึงเลือกสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้น โดยที่ไม่ลืมเสื้อตัวในตัวโปรดมาใส่ นางมักซักเสื้อตัวนี้ตากลมตอนกลางคืน ฉะนั้นพอตอนเช้านางก็จะนำมาใส่ เป็นเช่นนั้นทุกวัน
เมื่อแต่งตัวเสร็จ หลีเริ่นหรานก็ไม่ลืมที่จะหยิบเอายามใบโปรดมาพาย ก่อนจะเดินออกไปหาบิดาที่เรือน
เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของนาง บิดาจึงจะพานางไปในเมืองด้วยเพราะต้องการให้นางเลือกของขวัญที่อยากได้ด้วยตัวเอง และแม้จะมีก้อนทองที่นำไปให้มารดามาช่วยเจือจุนครอบครัว ทว่าผู้เป็นบิดาก็ยังคงพานางและพี่ๆ ขึ้นเขาหาสมุนไพร ดักสัตว์ป่าเช่นเดิม จึงทำให้ตอนนี้ครอบครัวของนางมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ยิ่งเมื่อเดือนก่อนพี่ใหญ่ของนางทำหลุมดักสัตว์แล้วโชคดีดักได้กวางป่าหนึ่งตัว แม้จะตัวไม่ใหญ่มากแต่ก็ขายได้ราคางามทีเดียว นั่นจึงทำให้ไม่มีใครสงสัยเรื่องสถานะของครอบครัวนาง ที่ดูเหมือนจะดีวันดีคืน
“พี่สาม ท่านไม่ไปด้วยกันจริงๆ เหรอ?” หลีเริ่นหรานเอ่ยถาม ขณะยืนรอรถม้าอยู่หน้าบ้าน โดยมีท่านแม่และพี่สามมายืนรอส่ง
“พี่ไปแล้วใครจะอยู่กับท่านแม่เล่า? อีกอย่างพี่นั้นได้เข้าเมืองบ่อยกว่าเจ้าอีกนะหรานเอ๋อร์”
“ท่านแม่ก็ไปด้วยกันสิเจ้าคะ” เด็กน้อยส่งสายตาออดอ้อนไปหามารดา
“หรานเอ๋อร์ แม่ไปแล้วใครจะอยู่เรือนเล่า อีกอย่างแม่ก็จะทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้รอเจ้าตอนกลับมา”
“เช่นนั้นหรานเอ๋อร์จะซื้อของมาฝากท่านแม่และพี่สามนะเจ้าคะ” พูดจบรถม้าของคนในหมู่บ้านก็มาถึงพอดี
หลีหยุนจ่ายเงินสิบสองอีแปะสำหรับสี่คนเป็นค่าเดินทาง ก่อนทั้งหมดจะมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองเซียงอู่ หลีเริ่นหรานหันหลังกลับไปมองมารดาและพี่สามของนางอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกลับเข้าไปในบ้านแล้วนางก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
ตั้งแต่คืนนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่นางก็ยังคงไม่ลืมความฝันนั้น แม้ว่าจะเลิกใส่ใจมันไปแล้ว ทว่าสมองกลับยังภาพเห็นการณ์นั้นได้ดี
รถม้าเดินทางมาเกือบสามชั่วยามก็เข้าเขตตัวเมือง ก่อนคนขับรถม้าจะจอดรถม้าไว้ตรงที่ฝากรถม้า แล้วให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง โดยนัดหมายกันว่าทุกคนต้องกลับมารวมตัวกันในยามเว่ย เพื่อที่ขากลับจะได้ไม่ถึงหมู่บ้านมืดค่ำจนเกินไป
สี่ชีวิตเดินตรงไปที่ร้านขายสมุนไพรก่อนเป็นอันดับแรก เพราะวันนี้พี่รองของนางตั้งใจมาขายต้นเซียนหยงที่เพิ่งเก็บได้เมื่อวานโดยเฉพาะ
ยืนรออยู่หน้าร้านราวหนึ่งเค่อ พี่ใหญ่กับพี่รองของนางก็ออกจากร้านยามา
“หรานเอ๋อร์! วันนี้เจ้าอยากจะกินอะไร อยากได้อะไรบอกพี่ได้เลย วันนี้พี่รองของเจ้ารวยนัก!” หลีหยางเอ่ยกับน้องสาวอย่างใจป้ำ เพราะวันนี้เขาขายต้นเซียนหยงที่ว่านั้นได้ถึงยี่สิบตำลึง
“ต้นเซียนหยงนั้นขายได้ราคาดีมากเลยหรือเจ้าคะ พี่รองของข้าถึงได้ดีใจปานนี้ แถมยังจะซื้อของให้ข้าอีก” หลีเริ่นหรานเอ่ยเย้าพี่ชายคนรอง
“ขายได้เท่าใดไม่สำคัญ ที่สำคัญคือวันนี้เป็นวันเกิดเจ้า พี่ย่อมต้องซื้อของให้เจ้าในวันที่พิเศษเช่นนี้อยู่แล้ว”
พูดจบก็จับจูงมือน้องน้อยเดินเข้าไปในตลาด โดยมีบิดาและพี่ใหญ่เดินตามหลัง ทั้งสี่เดินชมตลาดและซื้อของฝากของกินต่างๆ จนเต็มมือ จากนั้นทั้งสี่ก็พากันเดินไปรอยังจุดจอดรถม้า
“ฮึก!”
“หรานเอ๋อร์! หรานเอ๋อร์! เจ้าเป็นอันใด?”
หลีหยางร้องเรียกน้องสาวที่นั่งกินเซ่าปิ่งอยู่ข้างๆ ที่จู่ๆ นางก็ทำเซ่าปิ่งหลุดมือ เมื่อหันไปมอง เขาจึงได้เห็นว่าตอนนี้น้องสาวอยู่ในอาการนั่งนิ่งตาค้าง ในปากน้อยๆ ของนางยังมีเศษขนมติดอยู่
“หรานเอ๋อร์!” หลีหยางเอ่ยเรียกน้องสาวอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือทุบหลังนางเบาๆ เพราะคิดว่านางอาจจะลำสักขนมก็เป็นได้
“พะ...พี่รอง!” หลีเริ่นหรานรู้สึกตัว พลางหอบหายใจ อาการที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำเอานางแทบสิ้นสติ
“อาหยาง! หรานเอ๋อร์! มีเรื่องอันใด?” หลีหยุนกับหลีหลุนรีบรุดเข้ามาหาทั้งสองคนโดยไว
เมื่อครู่พวกเขาสองคนยืนคุยอยู่กับคนขับรถม้า จึงไม่ทันได้ยินเสียงของอาหยางที่ร้องเรียกน้องสาว กระทั่งครั้งล่าสุดเขาเรียกหรานเอ๋อร์เสียงดังมาก พวกเขาจึงได้ยินและรีบรุดมาดู
“ท่านพ่อ! เรากลับบ้านกันเถอะเจ้าคะ” หลีเริ่นหรานเอ่ยกับบิดาด้วยสีหน้าท่าทางร้อนรน
“หรานเอ๋อร์ คนอื่นๆ ยังมาไม่ครบ เราต้องรอพวกเขาก่อน เจ้าเป็นอันใด เหตุใดจึงดูร้อนรนนัก” หลีหยุนเอ่ยถามบุตรสาวที่โถมตัวเข้ามากอดเขาไว้แน่น
“ลูกอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาท่านแม่กับพี่สาม เราหารถม้าคันอื่นกลับก่อนไม่ได้หรือเจ้าคะ?”
เมื่อเห็นบุตรสาวร้อนใจอยากรีบกลับ หลีหยุนจึงได้เดินไปถามรถม้าคนอื่นๆ ว่ามีคันใดผ่านทางหมู่บ้านเฉียวเฮยหรือไม่
“ข้ามิผ่านทางนั้นหรอก แต่ก็น่าจะใกล้เคียงสุด” คนขับรถม้าคันหนึ่งที่กำลังจะออกเดินทางพอดีเอ่ยบอก เมื่อเขาได้ยินว่ามีคนถามหารถม้าผ่านทาง
ได้ยินดังนั้นหลีหยุนจึงขอให้รถม้าคันดังกล่าวช่วยรอ เพื่อที่เขาจะได้เดินกลับไปถามบุตรสาวก่อน โดยให้ค่ารอเป็นเงินหนึ่งอีแปะ
“นอกจากรถม้าคันที่เรามา ก็ไม่มีรถม้าคันใดผ่านหมู่บ้านเราอีกแล้ว คันที่ไปถึงใกล้ที่สุดก็ถึงเพียงแค่ทางสามแยก หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องเดินเท้ากันเกือบสี่ลี้”
“พี่ว่าเรารออีกหน่อยเถิด อีกไม่นานคนอื่นๆ ก็จะครบแล้ว” หลีหลุนเอ่ยกับน้องสาว ทว่านางกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ท่านพ่อ ต่อให้ถึงเพียงแค่ทางสามแยก แต่ก็ยังดีกว่าที่เรายังรออยู่ตรงนี้ ข้าไม่กลัวเหนื่อยที่จะเดิน ข้าอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด”
ในเมื่อหลีเริ่นหรานยืนกรานจะกลับให้ได้ ทั้งบิดาและพี่ชายก็คร้านที่จะขัด พวกเขาทั้งสี่จึงเดินไปบอกกับคนขับรถม้าที่นั่งมาเมื่อเช้าว่าจะขอกลับก่อน และรีบตรงไปขึ้นรถม้าอีกคันในทันที
ทั้งสี่นั่งรถม้ามาราวสองชั่วยามก็ถึงทางแยก จากนั้นทั้งสี่ชีวิตก็เดินเท้าต่อด้วยความเร่งรีบ โดยเฉพาะหลีเริ่นหราน นางเดินเร็วจนแทบจะวิ่งแต่ระยะทางสองลี้ที่ว่านั้นก็ช่างแสนไกลเหลือเกิน
ภาพบ้านไฟไหม้ที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นให้นางเห็นต่อหน้าต่อตาทั้งที่นางไม่ได้หลับ เหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกำลังเกิดอยู่ต่อหน้านาง ทั้งๆ ที่นางยังนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มารอรถม้า
ภาพบ้านไฟไหม้ภาพนั้น เป็นภาพเดียวกันกับที่เธอเคยฝันเห็นเมื่อหลายเดือนก่อนแน่นอน!
“ไม่เจอกันเสียนาน ท่านสบายดีรึหลีฮูหยิน!” น้ำเสียงแข็งกร้าวตะโกนเอ่ยถามไป๋ฮวาที่ยืนตัวสั่นกอดบุตรชายอยู่ตรงหน้า
“ท่าน! ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาบุกรุกบ้านข้า!”
ไป๋ฮวากอดหลีเฉิงไว้แนบอก แม้จะรู้สึกกลัวชายชุดดำทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่นางก็จะปกป้องบุตรชายให้ถึงที่สุด ภายในใจก็ภาวนาให้สามีกลับมาโดยเร็ว
“ไม่เจอกันเพียงหนึ่งปี ท่านความจำสั้นเพียงนี้รึ?”
“ข้ามิเคยรู้จักท่าน และไม่เคยทำอันใดขุ่นเคือง”
“เช่นนั้นหรือ หลีฮูหยินยืนยันเช่นนี้ดูจะรวดเร็วไปหรือไม่ เหตุใดไม่ถามสามีท่านดูเสียก่อนเล่า!”
ชายชุดดำผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น ก่อนจะก้าวสามขุมเข้าไปหาสองแม่ลูกด้วยท่าทีคุกคามรุนแรง
“ถอยไป! อย่าเข้ามานะ เจ้าจะทำอะไรท่านแม่ของข้า!” หลีเฉิงเอ่ยปากปกป้องมารดาพร้อมเอาร่างเล็กๆ ของตนก้าวมาข้างหน้าบังร่างของมารดาไว้
“เก่งจริงนะเด็กน้อย!” ชายชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสายตามหยามเหยียด เป็นแค่เด็กน้อยตัวสูงไม่ถึงอกเขา กล้าดีอย่างไรมาบังอาจสั่งไม่ให้เขาเข้าใกล้มารดาของมัน
“หลีกไป!”
ชายชุดดำตวาดไล่ ก่อนจะซัดฝ่ามือใส่ร่างของหลีเฉิง ชั่วพริบตาร่างน้อยก็กระเด็นไปไกล ห่างจากมารดาหลายฉื่อ
“อาเฉิง!” ไป๋ฮวารีบวิ่งไปดูอาการบุตรชายคนเล็ก ด้วยความร้อนรน
“เจ้า! เหตุใดจึงทำร้ายลูกข้า พวกข้ามิเคยทำอันใดให้พวกเจ้า ไยจึงทำร้ายกันเช่นนี้!”
“ใช่! พวกเจ้าไม่เคยทำอะไรให้พวกข้า แต่การที่หลีหยุนยังมีชีวิตอยู่ ทำให้พวกข้าร้อนใจจนต้องตามมากำจัดพวกเจ้าอย่างไรเล่า”
ชายชุดดำกล่าวด้วยความอำมหิต สายตาของเขาที่มองสองแม่ลูกมีแต่ความนิ่งเฉยและเลือดเย็น ก่อนจะส่งสายตาให้ลูกน้องอีกสามคนที่เหลือเข้าไปค้นทั่วทั้งบ้าน เพื่อหาตัวหลีหยุนและลูกๆ ของมันที่เหลือ