ผ่านมาแล้วกว่าเจ็ดวันหลังจากที่หลีเริ่นหรานนำก้อนทองไปให้มารดา หลังจากคืนนั้นที่บิดามารดามานอนกับนางที่ห้องติดต่อกันกว่าสามคืน ทว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีก้อนทองผุดออกมาจากที่นอนของนางแล้ว
และแม้จะไม่มีก้อนทองผุดขึ้นมาอีก ทว่าบิดามารดาก็กำชับนางหนักหนาว่าห้ามบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครเด็ดขาด แม้แต่พี่ชายทั้งสามของนาง เหตุเพราะกลัวว่าพวกเขานั้นอาจจะเผลอหลุดปากบอกกับผู้อื่น โดยเฉพาะหลีเฉิง ที่พักหลังๆ นี้เขามักจะไปเล่นกับเด็กวัยเดียวกันในหมู่บ้านบ่อยๆ ซึ่งเด็กเหล่านั้นก็มักเจอกันในระหว่างทางไปหาสมุนไพรบ้าง เจอกันบนเขาบ้าง กระทั่งเริ่มคุ้นเคยกันในที่สุด
และถ้าหากว่าเรื่องนี้รู้ถึงหูผู้อื่น ครอบครัวของนางก็อาจจะพบเจอกับปัญหาวุ่นวายอื่นๆ ตามมา เบาสุดคืออาจมีโจรมาปล้นบ้าน หนักสุดคืออาจจะถูกใส่ร้ายจากคนที่คอยอิจฉาริษยาอยู่ในมุมมืด และถ้าหากว่าพวกเขารวมหัวกันใส่ร้ายว่าหลีเริ่นหรานไปขโมยก้อนทองของพวกเขามา นั่นจะทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลงไปอีก บางทีอาจจะถึงขั้นต้องย้ายไปหาที่อยู่ใหม่เลยก็ว่าได้
ซึ่งหลังจากได้ฟังบิดาอธิบายเสียยืดยาวนานหลายเค่อ หลีเริ่นหรานก็รับปากอย่างเป็นมั่นเหมาะ ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่บิดามารดาหวั่นใจกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นซ้ำอีกนั้นก็คือการถูกใส่ร้ายจากเพื่อนบ้านและคนรอบข้าง
ด้วยเคยถูกกระทำแบบนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงเกิดความกลัวและหวาดระแวงขึ้นในใจ ซึ่งนางเองก็เข้าใจดีและไม่มีคำคัดค้านแต่อย่างใด ซ้ำยังคิดว่าดีเสียอีกที่ไม่ต้องบอกใคร ของแบบนี้นับเป็นเรื่องของบุญวาสนา ครั้นจะมาถกเถียงกับคนอื่นเรื่องวาสนาของตัวเองเมื่อถูกผู้อื่นฉกฉวยไปแล้วก็ใช่ที่ ฉะนั้นอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เป็นดีที่สุด
เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกมีความเห็นแก่ตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่แล้ว อีกอย่างหลีเริ่นหรานก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นคนดีอะไร นางก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ฉะนั้นจึงขอตัดปัญหาด้วยการเก็บเรื่องก้อนทองนั่นเป็นความลับ รวมถึงเรื่องที่นางพบก้อนทองเพิ่มอีกสิบสองด้วย
ใช่! นางพบก้อนทองเพิ่มอีกสิบสองก้อน!
ทว่าครั้งนี้แปลกไปจากครั้งที่แล้ว เพราะจุดที่นางพบก้อนทองครั้งที่สองนั้นคือตรงมุมเสาใต้หัวเตียงของนาง แต่สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือมีนางเห็นก้อนทองกลุ่มนั้นเพียงผู้เดียว!
ทั้งที่ก้อนทองพวกนั้นกองอยู่ที่พื้นไร้สิ่งใดปกปิด แถมยังส่องสว่างสีทองอร่ามเย้ายวนใจ แต่ไฉนไม่มีผู้ใดเห็นทั้งที่มารดาของนางก็เดินกลับไปกลับมาตรงหัวเตียงข้างเสาต้นนั้นหลายรอบ ทั้งยังเกือบเหยียบมันด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นอยู่ดี สรุปคือคืนนั้นนางนอนไม่หลับทั้งคืน อยากจะลุกไปเก็บก้อนทองพวกนั้นใส่หีบจะแย่ แต่ติดตรงที่ถูกบิดามารดานอนขนาบข้างทั้งซ้ายขวา ขืนลุกออกจากที่นอนไปมีหวังพวกท่านทั้งสองได้ตื่นขึ้นมาซักไซ้นางแน่ๆ
จนรุ่งเช้าบิดามารดากลับไปยังห้องนอนของพวกท่าน หลีเริ่นหรานที่เผลอหลับไปได้ประมาณสองชั่วยามก็รู้สึกตัวตื่น เด็กน้อยลนลานลงจากเตียงนอนเพื่อไปดูว่าก้อนทองพวกนั้นยังอยู่หรือไม่ แต่แล้วนางก็แทบน้ำตาไหลเพราะความดีใจ เมื่อก้อนทองพวกนั้นยังอยู่ที่เดิมไม่ได้หายไปไหนอย่างที่นางกลัว
และหลังจากที่นั่งคิดอยู่ราวครึ่งชั่วยามว่านางจะจัดการกับเจ้าก้อนทองพวกนั้นอย่างไร ในเมื่อบิดามารดากังวลเกี่ยวกับที่มาที่ไปของก้อนทองพวกนั้นนัก ต่างจากนางที่ไม่สนใจว่ามันจะมาจากที่ใด ในเมื่อมันมาอยู่ในห้องของนาง มันก็ต้องเป็นของนาง คิดได้ดังนั้นแล้วหลีเริ่นหรานก็คิดว่าจะเก็บก้อนทองพวกนั้นไว้เก็บตนเอง และเมื่อถึงคราวจำเป็นค่อยเอาออกมาใช้ อย่างไรเสียนางก็คงไม่ได้ไปไหน นอกจากอยู่บ้านปักผ้ากับมารดา และขึ้นเขาไปหาสมุนไพรบ้างเป็นบางวัน
“ไฟไหม้! ไฟไหม้!”
เฮือกกกก!
หลีเริ่นหรานสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยสภาพเหงื่อกาฬท่วมกาย หน้าอกเล็กๆ กระเพื่อมไหวตามแรงหายใจที่กระชั้นถี่ขึ้นรวดเร็วจนนางแทบจะหายใจไม่ทัน
ฝัน.......
“ที่แท้ก็เป็นความฝัน” ร่างเล็กเอ่ยกับตนเองเมื่อระดับการหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ
เพราะความฝันที่เสมือนจริงเมื่อครู่ทำให้นางตกใจจนสติหายไปชั่วขณะ นางฝัน ฝันว่าบ้านของนางที่กำลังอยู่ในตอนนี้ถูกไฟไหม้ เปลวเพลิงสีแดงลุกลามไปทั่วทั้งพื้นที่ แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจกลับเป็นร่างของบิดามารดาที่นอนแน่นิ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งสองจับมือกันแน่นแม้ดวงตาจะปิดสนิท ห่างไปไม่ไกลนางก็เห็นร่างของพี่สามของนางนอนอยู่ ร่างเล็กๆ ของพี่ชายคนเล็กของนางนั้นนอนแน่นิ่ง มีเลือดไหลออกที่ปากและจมูก นับว่าเป็นภาพที่สะเทือนขวัญยิ่ง
กระทั่งนางได้ยินเสียงร้องของใครคนหนึ่งที่ดังขึ้นท่ามกลางกองเพลิง เสียงนั้นร้องบอกว่า ไป! แล้วนางก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่หลีเริ่นหรานที่จิตวิญญาณเป็นหญิงสาววัยยี่สิบห้าปีรู้ว่านั่นอาจไม่ใช่ความฝันธรรมดาๆ
“หรานเอ๋อร์!”
หลีหยุนและไป๋ฮวาผลักประตูเข้ามาอย่างร้อนใจ ด้วยห้องของนางนั้นอยู่ติดกับห้องของบิดามารดา ไม่แน่ว่าที่นางฝันร้ายและเผลอละเมอออกมาเมื่อครู่ บิดามารดาของนางอาจจะได้ยิน
“เป็นอะไรหรือไม่หรานเอ๋อร์ลูกแม่ แม่ได้ยินเสียงเจ้าร้อง” ไป๋ฮวากอดบุตรสาวแนบอก พร้อมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ลูกมิเป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกแค่ฝันร้ายเจ้าค่ะ”
เอ่ยตอบมารดาพร้อมซุกเข้าหาความอบอุ่น ความฝันเมื่อครู่ทำนางใจเสียได้จริงๆ แม้จิตวิญญาณจะเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ร่างตอนนี้ก็ยังเล็กนัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บิดามารดาจะสังเกตความวิตกกังวลและความกลัวจากฝันร้ายผ่านร่างกายของนางได้
เพราะนางในยามนี้นั้นทั้งเหงื่อแตก ทั้งตัวสั่น ยิ่งเมื่อก่อนเคยหลับใหลไม่ได้สติไปนานหลายเดือน แม้ตอนนี้จะเรียกได้ว่าหายเป็นปกติ แต่บิดามารดาก็ยังไม่เคยวางใจ
“โถ...ลูกแม่ ฝันร้ายอันใดจึงได้ทำเจ้าร้องลั่นห้อง แม่นี่แทบหัวใจหักเมื่อได้ยินเสียงเจ้าร้อง”
“พ่อก็กลัวว่าจะมีใครเข้ามาทำร้ายเจ้าเสียอีก” หลีหยุนลูบหัวปลอบโยนบุตรสาว
ตัวเขานั้นยังคงระแวงเรื่องที่มาที่ไปของก้อนทองพวกนั้นอยู่ แม้จะเอาไปแลกเป็นก้อนเงินและเงินตำลึงมาเก็บไว้บ้างแล้ว แต่ด้วยจำนวนเงินที่ค่อนข้างมาก เขาจึงไม่อาจวางใจได้ ทั้งกลัวโจรปล้นบ้าน ทั้งกลัวคนลอบเข้ามาสร้างหลักฐานใส่ความ อีกทั้งหลายๆ อย่างปนเปกันไปหมด
“ลูกขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
“มิเป็นไร รู้ว่าเจ้าเพียงแต่ฝันร้ายเท่านั้นพ่อก็โล่งใจ เช่นนั้นคืนนี้พ่อกับแม่จะนอนเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ หรานเอ๋อร์ของพ่อจะได้ไม่ฝันร้ายอีก”
เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างไว พร้อมกับซุกเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นของมารดา
ด้วยความที่เมื่อคืนนางฝันร้าย เช้าวันนี้หลีเริ่นหรานจึงได้ตื่นสายกว่าทุกวัน และเมื่อตื่นขึ้นมานางก็พบว่านอกจากมารดาและพี่สามแล้ว ก็ไม่มีใครอยู่บ้านอีก ท่านพ่อและพี่ใหญ่พี่รองขึ้นเขาไปหาสมุนไพรและดักสัตว์ป่าตั้งแต่ยามเหม่าแล้ว
ตอนนี้ใกล้เข้าหน้าหนาวเต็มที อีกไม่เกินสองเดือนหิมะก็คงจะตก บิดากับพี่ใหญ่พี่รองคงพากันไปหาฟืนมาไว้ก่อไว้เพื่อคลายหนาวด้วย
คิดไปถึงตรงนี้ ภาพความฝันเมื่อคืนก็ย้อนเข้ามาในหัว หลีเริ่นหรานเงยหน้ามองไปรอบๆ บ้าน ก่อนจะก้าวเดินเร็วๆ ไปที่ลานหน้าบ้าน ที่ที่มีร่างบิดามารดาและหลีเฉิงนอนสิ้นใจอยู่ในความฝัน
มือน้อยๆ ยกขึ้นมากุมไว้ที่อกตรงตำแหน่งหัวใจก็พบว่าตอนนี้นางกำลังใจสั่น ความฝันนั่นรุนแรงกับนางเกินไป
หลีเริ่นหรานส่ายหัวไปมาเรียกคืนสติ นางจะหวั่นไหวจนอ่อนแอลงเพียงเพราะความฝันไม่ได้ บางที...ที่นางฝันเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าคิดมากเกินไป
“หรานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใด” หลีเฉิงที่กลับมาจากตักน้ำตรงลำธารไม่ไกลนักรีบวิ่งเข้ามาหาน้องสาว เมื่อเห็นนางยืนส่ายหน้าส่ายหัวอยู่ตรงลานหน้าเรือน
“ข้ามิเป็นอันใด” เอ่ยตอบเสียงเบาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อพยายามลบภาพร่างของหลีเฉิงที่นอนแน่นิ่งเลือดออกปากออกจมูกไปจากหัว
ในเมื่อมันเป็นแค่ความฝัน แล้วท่านพ่อท่านแม่และพี่สามของนางก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ ย่อมไม่มีเหตุผลอันใดให้วิตกกังวลใจไปก่อนหน้า เพราะมันเป็นแค่ความฝัน ฉะนั้นนางก็จะขออยู่กับปัจจุบันจะดีกว่า
“พี่สามไปตักน้ำมาหรือเจ้าคะ” เมื่อคิดได้ หลีเริ่นหรานก็พูดคุยกับพี่ชายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แจ่มใสขึ้น
“อื้อ พี่ไปตักน้ำมา” พูดจบหลีเฉิงก็เดินเอาน้ำไปเทลงยังตุ่มที่มีไว้สำหรับทำอาหาร และล้างผัก ล้างถ้วยจาน
“หรานเอ๋อร์ ดูสิพี่มีอะไรมาให้เจ้า” พูดจบหลีเฉิงก็ยื่นก้อนหินสีขาวก้อนเล็กก้อนหนึ่งให้นาง
“อะไรหรือเจ้าคะ...ก้อนหิน?” หลีเริ่นหรานเพ่งมองหินก้อนเล็กสีขาวในมือด้วยความตั้งใจ
แม้จะเป็นเพียงก้อนหินสีขาวธรรมดาก้อนหนึ่ง แต่เนื้อผิวของมันก็ละเอียดมาก ทั้งยังเปล่งประกายยามต้องแสงแดดอีกด้วย
“พี่สามให้ข้าหรือเจ้าคะ”
“อื้อ พี่เห็นว่ามันสวยดี แถมยังแปลกกว่าหินก้อนอื่นเลยเก็บมาให้เจ้า”
แม้ความแปลกที่หลีเฉิงว่าจะเป็นเพียงแค่ยามต้องแสงแดดแล้วคล้ายมีประกายเปล่งออกมาเล็กน้อย ทว่าหลีเริ่นหรานก็รับเอาหินก้อนนั้นไว้ด้วยรอยยิ้มและความเต็มใจ
ตกเย็นวันนั้นนางรีบเข้าห้องนอนทันทีที่เสร็จมื้อเย็น ด้วยว่าตั้งใจจะเย็บย่ามเก็บสมบัติด้วยตนเอง ซึ่งสมบัติที่ว่านั้นก็คือบรรดาก้อนทองที่ได้มาในครั้งที่สอง
ตอนที่นางยังอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในชาติก่อน และยังไม่มีผู้ใจบุญรับอุปถัมภ์ สิ่งที่นางทำเป็นประจำแทบทุกวันนอกจากการเรียนนั่นก็คือการเย็บปักถักร้อย และประดิษฐ์สิ่งต่างๆ จากของเหลือใช้ ไม่ว่าจะเอากล่องนมมาเย็บเป็นหมวก หรือแม้กระทั่งงานจักสาน ลลิลวัยสิบขวบก็ล้วนแล้วแต่เคยทำมาหมด
นางตอนนี้นางก็กำลังจะเย็บย่ามเก็บเงินด้วยตัวเอง!
เริ่มต้นด้วยการเอาผ้าป่านหยาบสีซีดที่นางขอมาจากมารดาขนาดไม่ใหญ่นัก มาพับทบกันหนึ่งครั้ง ก่อนจะใช้ก้อนถ่ายสีดำลากเส้นคล้ายเป็นรูปย่าม ด้วยเพราะไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือเหมือนชาติก่อน หลีเริ่นหรานจึงทำไปตามมีตามเกิด เท่าที่จะหาอุปกรณ์ได้
เมื่อลากเส้นรูปย่ามเสร็จ มือเล็กๆ จึงค่อยๆ ใช้กรรไกรตัดตามเส้นที่ลากไว้ เมื่อตัดเสร็จนางก็จะได้ย่ามที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จากนั้นหลีเริ่นหรานก็เอาเศษผ้าที่เหลือมาเย็บต่อเป็นซับใน ทว่าก่อนเย็บปิดตาย นางก็เอาขนไก่ป่าที่ถูกฆ่าทำเป็นอาหารยัดใส่ไว้ทั้งสองข้างแล้วเย็บปิด
จากนั้นนางก็นำก้อนทองมาวางลงไปทีละก้อน ก่อนจะตัดเศษผ้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ มาวางทับแล้วเย็บปิดไว้ โดนเว้นระยะให้ห่างกันราวครึ่งฉื่อต่อก้อนทองหนึ่งก้อน ไม่เว้นแม้กระทั่งตรงสายสะพาย
และเมื่อเย็บก้อนทองติดกับด้านในของตัวย่ามเสร็จ นางก็เอาผ้าที่เหลือมาเย็บปิดก้อนทองไว้อีกครั้ง ก่อนจะเอาขนไก่ป่ายัดใส่เข้าไปเช่นเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นที่ล้วงย่ามของนางรู้สึกถึงความผิดปกติของย่ามใบนี้หนัก แม้ในใจจะคิดว่านางจะไม่มีวันให้ผู้ใดยืมหรือล้วงย่ามของนางก็ตาม