จางอ้ายเหรินเดินมานั่งลงข้าง ๆ ที่ประทับของฮ่องเต้สูงสุด ถัดไปเป็นชินอ๋องที่นั่งอยู่กับสตรีอีกสองคน คาดว่าคงเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ เพราะหากเป็นสตรีทั่วไปคงได้ถูกแยกไปนั่งที่อื่นเฉกเช่นสตรีจวนต่าง ๆ ด้านนั้น
“เอาละ เริ่มได้!” สิ้นเสียงหยางมู่เฉิน คนทั้งสนามก็ลุกฮือส่งเสียงตะโกนโห่ร้องให้บุตรชายของแต่ละจวนที่เข้ามาร่วมแข่งขันขี่ม้ายิงธนูในวันนี้
งานคัดเลือกองครักษ์ประจำพระองค์ของฮ่องเต้จะถูกจัดขึ้นในช่วงหน้าร้อนของทุกปี ต่างมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ที่มีคะแนนเต็มเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปสอบในด่านสุดท้าย ทว่าหลายปีมานี้ไม่เคยมีใครทำคะแนนได้เต็มเลยสักคน
ว่าที่ทหารกล้านับสิบต่างควบม้าของตนพร้อมกับคันธนูคู่ใจวิ่งวนเสารอบสนาม แต่ละคนต้องวนยิงธนูให้เข้าเป้าตรงกลางครบทั้งสิบเสา ห้ามหลุดแม้แต่เสาเดียว
เวลาล่วงเลยมาได้ไม่นานก็จบการแข่งขันในรอบแรก มีเพียงผู้กล้าเพียงห้าคนเท่านั้นที่ทำการยิงธนูเข้าเป้าทุกดอก ต่อด้วยการแข่งขี่ม้ายิงเป้าเคลื่อนที่ การทดสอบนี้เหลือเพียงสามคนที่ผ่านการทดสอบ และในด่านสุดท้ายผู้กล้าทั้งสามได้เข้ามารายงานตัวต่อหน้าพระพักตร์เพื่อขอประทานพระอนุญาตเข้าสู่ด่านต่อไป
“กระหม่อม ลี่มู่จง จากฮวาซูพ่ะย่ะค่ะ” ชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำคุกเข่าพูดขึ้นคนแรก ตามด้วยชายรูปร่างท้วมเล็กน้อยที่มีสีหน้าฉลาดเฉลียว
“กระม่อม เยว่หนาน จากทางเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อม เซียวจินฝาน จากฮวาหยวนพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงคนสุดท้าย หยางมู่เฉินคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
จางอ้ายเหรินมองพิธีการเหล่านี้ด้วยความไม่เข้าใจนัก ปกติมิใช่ว่าเลือกเอาคนที่สอบจอหงวนได้มาฝึกหรอกหรือ เหตุใดจะต้องจัดงานแข่งขันให้วุ่นวายด้วย หรือแท้จริงแล้วฮ่องเต้ทำเพียงเพื่อสนองความสำราญของตนเท่านั้น
“อืม ไปได้ ใครนำเหยี่ยวตาทองมาให้ข้าได้ ครั้งนี้ข้าจะละเว้นการสอบรอบสุดท้าย”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทันใดนั้น ทั้งสามก็รีบกลับไปขึ้นม้าของตนแล้วควบทะยานหายเข้าไปในป่า
“เหยี่ยวตาทอง...ฮ่องเต้ช่างมีความคิดลึกล้ำยากคาดเดายิ่งนัก ตั้งแต่ข้าเกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็นเหยี่ยวตาทองสักครั้ง” ชินอ๋องเอ่ยขึ้น ต่อหน้าทุกคนเขายอมเรียกหยางมู่เฉินว่าฮ่องเต้ เพื่อไม่ให้เป็นข้อครหา และส่วนหนึ่งก็เพราะคำสั่งของมารดา
“เจิ้นก็แค่ได้ยินข่าวลือมาว่าช่วงนี้มีกลิ่นแปลก ๆ ของสัตว์ต่างถิ่น แถมยังมีรายงานเรื่องมีคนพบเห็นเหยี่ยวตาทอง เลยอยากจะลองดูสักครั้ง ชินอ๋อง ท่านไม่อยากเห็นหรือ เห็นว่าวันก่อนท่านยังส่งคนไปป้วนเปี้ยนแถวนั้นอยู่เลยนี่”
“ต่อหน้าเหล่าขุนนางมากมาย พระองค์จะกล่าวหากระหม่อมโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
จางอ้ายเหรินเริ่มได้กลิ่นไม่ดีจากคำพูดของชินอ๋องกับหยางมู่เฉิน อีกทั้งเหล่าขุนนางยังแอบป้องปากนินทากันใหญ่ ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ข้างใคร ส่วนนางตอนนี้อยากลงไปจากตรงนี้มาก ๆ เพราะทั้งคู่เล่นปะทะคารมกันข้ามหัวนางไปมาอยู่ได้
“เมื่อไม่ได้ทำท่านก็ไม่ต้องร้อนตัว เจิ้นพูดเช่นนี้มีใครคิดหรือไม่ว่าท่านทำอะไรไม่ดีอย่างที่ท่านว่า” หยางมู่เฉินหันไปมองเหล่าขุนนาง แทบไม่มีใครกล้าสบตาเขาเลยแม้แต่คนเดียว “มีใครคิดว่าชินอ๋องทำอะไรไม่ดีเช่นนั้นบ้าง”
“นี่เจ้า!!”
“ต่อหน้าพระพักตร์ ชินอ๋องโปรดสำรวมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีมู่เอ่ยตักเตือน
หยางมู่เฉินยิ้มเยาะ ก่อนจะเบนสายตามาทางกุ้ยเฟยของตนที่กำลังมองเขาตาปริบ ๆ
“หลิวกุ้ยเฟยล่ะ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“หา พะ เพคะ?”
หยางมู่เฉินคิดจะหาเรื่องนาง เอาคืนที่นางเคยออกโรงปกป้องชินอ๋องครานั้น จนทำให้ตนเองต้องแปดเปื้อนมลทิน ถูกครหาว่าคบชู้กับท่านอ๋องหยางอู่เฉิน โดยไม่สนตำแหน่งที่ฮ่องเต้นั้นตั้งใจแต่งตั้งให้เลยสักนิด
“เหตุใดจึงมาถามหม่อมฉันเล่าเพคะ เรื่องของบุรุษหม่อมฉันจะไปทราบได้อย่างไร”
“เจิ้นเห็นพวกเจ้าสนิทกัน”
“นี่ฝ่าบาทตั้งใจหาเรื่องหม่อมฉันใช่หรือไม่ กระทั่งต่อหน้าทุกคนก็ไม่ไว้หน้าหม่อมฉัน ไม่ไว้หน้าชินอ๋อง” จางอ้ายเหรินเบือนหน้าหนีด้วยความขุ่นเคือง
“เช่นนั้นก็พูดมาสิ”
“พระองค์ต้องการคำตอบเช่นไร ต่อให้หม่อมฉันตอบไป หากไม่ถูกพระทัย พระองค์จะทรงเชื่อหม่อมฉันหรือไม่เล่าเพคะ ไม่เอาแล้ว งานของบุรุษช่างน่าเบื่อ คนที่อยู่แถวนี้ก็น่าเบื่อพอกัน ไปกันเถอะฉีฉี่”