“เมื่อเช้าเจิ้งไท่เฟยมาเข้าเฝ้าหม่อมฉัน...” หลังกลับจากเรือ หยางมู่เฉินก็ตรงมาหาฮองเฮาที่ตำหนักทันที “...บอกว่าได้ข่าวเรื่องที่หลิวกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน เพราะเมื่อเช้าบ่าวที่ตำหนักยังมาขอโอสถกับแม่นมเจาอยู่เลย บอกว่าพระสนมอาการดีขึ้นแล้ว หม่อมฉันจึงให้ยาบำรุงไป”
“อืม ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเป็นธุระดูแลเรื่องในวังหลังนี้เป็นอย่างดี” หยางมู่เฉินเดินเข้าไปประคองฮองเฮาที่ช่วงนี้ป่วยบ่อยจนร่างกายไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงให้ลุกขึ้นเพื่อออกไปเดินเล่นกันที่สวนดอกไม้ด้านนอก
“ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มัวแต่ห่วงคนอื่น เจ้าเองก็ต้องดูแลตัวเองบ้างนะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงหม่อมฉัน ทว่าต่อให้หม่อมฉันป่วยเจียนตายก็คงไม่อาจละเลยเรื่องในวังได้ มิเช่นนั้นคงเป็นการละเลยหน้าที่ของฮองเฮาที่ดี” ริมฝีปากแดงระเรื่อแย้มยิ้มบาง ๆ ให้พระสวามี ท่าทางเยือกเย็นสุภาพอ่อนโยนนี้ทำให้หยางมู่เฉินรู้สึกสบายใจทุกครั้ง
“ใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดทำหน้าที่ฮองเฮาได้ดีเท่าเจ้าอีกแล้ว เยี่ยนฟาง มีแต่ข้าที่ละเลยเจ้ามาโดยตลอด ผิดต่อเจ้าแล้ว”
“หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ ฝ่าบาททรงงานหนักเพื่อราษฎร อย่าทรงโทษตัวเองเลยเพคะ”
ทั้งสองคนยังคงพากันเดินชมดอกไม้ไปเรื่อย ๆ เพื่อคุยเรื่องสัพเพเหระกับฮองเฮา หยางมู่เฉินทำเช่นนี้เสมอ แม้ว่าจะยุ่งกับงานราชการเพียงใด เพราะรู้สึกผิดที่เมื่อก่อนไม่อาจร่วมเตียงกับฮองเฮาได้ อีกทั้งตอนนี้ร่างกายพระนางก็ไม่สู้ดีนัก การตั้งครรภ์โอรสสวรรค์เพื่อสืบทอดอำนาจอาจต้องเลื่อนไปอีกจนกว่าฮองเฮาจะพร้อม และเมื่อถึงวันนั้นเขาก็จำต้องทำตามหน้าที่ แม้จะเป็นการฝืนใจตนเองก็ตาม
หลังจากจางอ้ายเหรินกลับมายังตำหนักก็นอนหลับยาวมาจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง หญิงสาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น แล้วก็พบว่าฉีฉี่กำลังวุ่นวายกับอะไรสักอย่างเช่นทุกทีอยู่ข้าง ๆ เตียง
“ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”
“อืม ข้าหลับไปนานเพียงใด”
“อืม...น่าจะเกือบสิบสองชั่วยามได้เพคะ”
“หา นี่ข้าหลับไปเป็นวันเลยหรือ”
ฉีฉี่พยักหน้ายิ้มอย่างดีใจที่เห็นใบหน้าพระสนมของนางสดใสขึ้นหลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
“ทรงรู้สึกหิวหรือยังเพคะ หม่อมฉันเตรียมน้ำแกงไว้ให้พระสนมตั้งแต่หัวค่ำ ป่านนี้คงชืดหมดแล้ว ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปอุ่นมาถวาย”
หิวสิ หิวมาก จางอ้ายเหรินตอบในใจ ตั้งแต่ฟื้นมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง แถมยังต้องมานอนหลับเป็นตายอีกรอบ หากมีวัวให้กินก็คงหมดไปเป็นตัว ๆ
“มาแล้วเพคะ เสวยสักหน่อย หม่อมฉันจะไปเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้”
จางอ้ายเหรินรับชามน้ำแกงจากฉีฉี่มาก่อนจะรีบยกขึ้นดื่มอย่างไว กระนั้นก็ไม่อาจยกชามขึ้นมาซดรวดเดียวหมดได้ เพราะนอกจากจะสำลักน้ำแกงตายได้แล้ว ฉีฉี่ก็คงจะตกใจจนตายตามไปด้วย
“ว่าแต่ตอนนี้ยามใดแล้ว”
“ประมาณยามเฉินได้เพคะ มีสิ่งใดต้องการอีกหรือไม่เพคะ” ฉีฉี่ตอบกลับมาจากด้านหลังม่านไม้ที่กั้นระหว่างอ่างอาบน้ำกับห้องนอน
“ข้าว่าจะไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ควรไปยามใด”
“ยามอู่น่าจะดีเพคะ”
“อื้ม ถ้าอย่างนั้นรีบแต่งตัว จะได้รีบไป”
ไม่นานจางอ้ายเหรินก็นั่งให้ฉีฉี่ช่วยสวมเสื้อผ้าและแต่งผมที่หน้ากระจก จึงได้เห็นใบหน้าของตัวเองในตอนนี้ชัด ๆ เป็นครั้งแรก หลิวเยว่ซิน ช่างงดงามสมคำเล่าลือเสียจริง ดวงหน้ารูปไข่วาดคิ้วเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจง โค้งไปตามดวงตากลมโต ประดับด้วยแพขนตายาวงอนงาม รับกับสันจมูกโด่งปลายรั้นนิด ๆ และริมฝีปากอวบอิ่มโดดเด่นน่าดึงดูด
จางอ้ายเหรินนั่งชมความงามของตนผ่านกระจกจนกระทั่งฉีฉี่แต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อย ใบหน้าที่งามพร้อมแทบไม่ต้องแต่งเติมสีสันมากมายก็ทำให้เทพธิดาอายได้แล้ว ยิ่งมีเครื่องทองประดับบนศีรษะก็ยิ่งเสริมให้ดวงหน้าหวานหยดดูสง่างามมากขึ้น
“พระสนมทรงงดงามเหลือเกินเพคะ” ฉีฉี่พูดด้วยแววตาที่ปลาบปลื้มพอกัน
“หลิวกุ้ยเฟยรับราชโองการ!!!” เสียงเล็กแหลมของขันทีมู่ดังขึ้นจากด้านนอก ทำให้ฉีฉี่กระตือรือร้นรีบพาพระสนมของนางออกมารับราชโองการทันที
“ฮ่องเต้ได้โปรดเกล้าให้หลิวกุ้ยเฟยเยว่ซินได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง นับจากนี้ไปอีกสามเดือน และได้ทรงอนุญาตให้พระสนมกลับไปอยู่ที่ตำหนักฉู่ชิวกงได้ตามเดิม จบราชโองการ”
จางอ้ายเหรินไม่รู้ว่าต้องรับคำอย่างไรจึงได้แต่ยืนเงียบ จนฉี่ฉี่ต้องคลานเข้ามากระซิบ
“ทรงรับราชโองการสิเพคะ”
“อ้อ หลิวเยว่ซินรับราชโองการเพคะ”
ขันทีเฒ่ายิ้มอย่างพอใจก่อนจะยื่นราชโอการในมือให้กับหลิวกุ้ยเฟย แล้วจึงเดินจากไป
จางอ้ายเหรินนึกแปลกใจไม่น้อยที่ฮ่องเต้เหมือนจะรู้ว่าวันนี้นางจะออกจากตำหนัก ถึงกระนั้นหากเขาไม่ทรงอนุญาต อย่างไรนางก็จะแอบไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอยู่ดี แม้การขัดราชโองการอาจต้องโทษร้ายแรงถึงขั้นประหาร แต่บุญคุณที่ฮองเฮาช่วยชีวิตครั้งนี้ก็ไม่อาจละเลยได้