“วันนี้พี่หญิงมีอารมณ์ขันนัก ล้อหม่อมฉันเล่นด้วย ปกติไม่เห็นจะพูดจากับหม่อมฉันเกินสามคำ ขนาดหัวเกือบหลุดจากบ่ายังไม่ยอมเปิดปากเรื่องที่แอบเป็นชู้กับชินอ๋อง หม่อมฉันละนับถือใจพี่หญิงจริง ๆ แต่ดูเหมือนการผ่านความเป็นความตายครานั้นจะทำให้พี่หญิงดูฉลาดขึ้นเยอะ” คำพูดเหน็บแนมนี้หมายความว่าอะไร แม้จางอ้ายเหรินจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็พอดูออกว่าคนตรงหน้ากำลังด่าว่านางโง่อยู่
“ขอบคุณน้องหญิงที่ชม หากหมดธุระแล้วเปิ่นกงขอตัวก่อน”
เจิ้งหนิงเอ๋อไม่คิดจะรามือง่าย ๆ นางส่งสายตาไปมองนางกำนัลข้างหลังจางอ้ายเหรินก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางไม่เคารพใครเลยเช่นเดิม
“จะไปเข้าเฝ้าฮองเฮาหรือเพคะ”
จางอ้ายเหรินหันไปมองเครื่องบรรณาการของตนก่อนจะเอ่ย
“ใช่ น้องหญิงจะไปด้วยกันไหมเล่า”
“ไม่ดีกว่าเพคะ พอดีฮ่องเต้เรียกพวกเราไปเข้าเฝ้า เห็นพี่หญิงดูรีบร้อนเดินไปก็เลยทักทาย เช่นนั้นขอตัวก่อน” เจิ้งหนิงเอ๋อจงใจพูดยั่วยุให้หลิวเยว่ซินเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนเช่นทุกที ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเลยสักนิด
“เชิญ”
จางอ้ายเหรินมองแผ่นหลังหญิงสูงศักดิ์สองคนเดินจากไปก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นึกว่าจะถูกจับได้แล้วเสียอีก กลัวแทบตาย
“สองคนนั้นก็คือพระสนมของฮ่องเต้เช่นกันใช่หรือไม่...” จางอ้ายเหรินถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ ในวังนี้กับฉีฉี่อีกมาก และนางก็ตอบได้ทุกคำถามทำเอาจางอ้ายเหรินอึ้งไปไม่น้อย นี่ฉีฉี่ได้อยู่แค่ที่ตำหนักจริง ๆ หรือเปล่า เหตุใดจึงรู้ไปหมดทุกเรื่องได้ขนาดนี้
“ซินซิน” เสียงเรียกทำเอาบ่าวที่ติดตามมาสะดุ้งพร้อมกัน เพราะรู้ว่าเจ้าของเสียงนี้เคยทำให้ตำหนักของพวกนางเกือบจะไร้ผู้ปกครอง
“ซินซิน เจ้าไม่เห็นข้าหรือ ข้าเรียกตั้งหลายครั้ง” บุรุษในชุดผ้าแพรล้ำค่าที่ตัดเย็บอย่างประณีตเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ข้าหลวงในวังเป็นแน่
“เห็นเพคะ แต่หม่อมฉันไม่ทราบว่าบุรุษเพียบพร้อมเช่นท่านคือใคร” คำตอบนั้นทำเอาชินอ๋องอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบกลับมาด้วยอารมณ์ขัน
“เจ้าเข้าใจล้อข้าเล่นจริง ๆ”
“หม่อมฉันไม่ได้ล้อเล่นเพคะ”
“นี่ชินอ๋องเพคะ...ชินอ๋อง” ฉีฉี่เดินเข้ามากระซิบจากด้านหลัง
ตายแล้ว!! ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาเร็วเพียงนี้ จางอ้ายเหรินตกใจแต่ก็รีบทำความเคารพอีกฝ่ายทันที
“เอ่อ ขออภัยที่หม่อมฉันบังอาจล่วงเกินชินอ๋อง ขอชินอ๋องโปรดลงโทษ” นางมัวแต่คิดเรื่องที่จะเอาอกเอาใจฮองเฮาจนลืมเตรียมการรับมือกับตัวปัญหาใหญ่นี้ไปเสียสนิท
เขานั่นเอง คือคนที่ทำให้นางเกือบตาย
“ไม่ต้องทำความเคารพข้าหรอก คนกันเอง เรียกข้าเช่นเดิมเถอะ”
ดูจากท่าทางของชินอ๋องที่ยังคิดจะเข้าวุ่นวายกับหลิวเยว่ซินอีก ครั้งที่แล้วคงมีแค่หลิวเยว่ซินที่ถูกทำโทษกระมัง ในเมื่อหากทำผิดด้วยกันเหตุใดอ๋องผู้นี้จึงได้เดินลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ อีกทั้งยังไม่ได้มีความสำนึกผิดที่ทำให้ชีวิตของพระสนมผู้นี้ตกต่ำเลยแม้แต่น้อย
ช่างชั่วช้าเสียยิ่งกว่าอะไร
“ถ้าชินอ๋องไม่มีธุระอันใด หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ”
“เอ่อ เดี๋ยวสิ!”
ชินอ๋องเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของหลิวเยว่ซินเอาไว้ก่อนที่นางจะรีบชักมือออกแล้วถอยห่างจากอ๋องร้ายกาจผู้นี้อย่างไว้ท่าที
“ชินอ๋องโปรดสำรวมด้วย อย่างไรหม่อมฉันก็เป็นถึงพระสนมของฝ่าบาท ทำเช่นนี้ผู้อื่นจะคิดได้ว่าพวกเราสนิทกันเกินงาม”
“จะจริงจังอะไรเล่า เมื่อก่อนพวกเราสามคนก็นั่งเรียน วิ่งเล่น หัดยิงธนู ขี่ม้าด้วยกันออกจะบ่อย น้องรองคงไม่ว่าหรอกหากเพื่อนเก่าจะคุยเล่นกัน”
เหตุใดเขาจึงไม่เรียกหยางมู่เฉินว่าฮ่องเต้ แบบนี้จะไม่เป็นการลบหลู่เบื้องสูงหรืออย่างไร จางอ้ายเหรินทำได้เพียงคิดสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม กลัวว่าชินอ๋องผู้นี้จะล่วงรู้เรื่องที่นางไม่ใช่กุ้ยเฟยตัวจริง
“อย่างไรก็มิควรเพคะ ชินอ๋องอย่าทรงทำให้หม่อมฉันลำบากใจเลย ถ้าท่านไม่มีอะไรแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน” จางอ้ายเหรินรีบตัดบทจบแล้วขอตัวออกมาทันทีก่อนที่จะเผลอทำอะไรให้ผิดสังเกตเข้า
หลิวกุ้ยเฟยเดินมาได้สักพักก็มาหยุดอยู่ที่หน้าตำหนักเจียวเจี้ยของฮองเฮา หน้าประตูไม้บานใหญ่มีทหารสองนายเฝ้าอยู่ ทั้งสองทำความเคารพหลิวเยว่ซินทันที ก่อนจะมีนางกำนัลชราวิ่งออกมาต้อนรับ
“เปิ่นกงมาขอเข้าเฝ้าฮองเฮา”
“ทรงรอหม่อมฉันไปกราบทูลฮองเฮาสักประเดี๋ยวนะเพคะ หลิวกุ้ยเฟย” กล่าวจบ นางก็รีบวิ่งหายเข้าไปในตำหนัก ครู่หนึ่งจึงวิ่งออกมาพร้อมกับเสียงหอบที่ดังพอ ๆ กับเสียงฝีเท้า
“เชิญเสด็จทางนี้เพคะ”
ทั้งหมดเดินผ่านเรือนรับรองมายังในห้องเครื่องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรโอสถ แทนที่จะมีกลิ่นอาหาร
“ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” จางอ้ายเหรินทำความเคารพสตรีสูงศักดิ์ที่กำลังนั่งดูนางกำนัลทำอะไรสักอย่างในหม้อดินอยู่ ก่อนหน้านี้นางได้ฝึกวิธีทักทายและวิธีปฏิบัติตัวในวังจากฉีฉี่มาพอสมควร จึงกล่าวทักทายฮองเฮาได้อย่างไม่เคอะเขิน
“ไม่ต้องมากพิธีน้องหญิง มานั่งก่อนสิ ได้ข่าวว่าเพิ่งหายป่วยไข้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฮองเฮาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน