"บัวไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกับคุณ แล้วที่บอกว่าตั้งใจมาหาบัวที่นี่ก็เลิกมาซะเถอะนะคะ" บุษบันพูดเท่านั้นแล้วจึงหมุนตัวเดินหนี ศุภเสกข์จึงสืบท้าวยาวเดินตามหลังร่างบางไปติดๆ เขาแปลกใจกับคำพูดคำจาที่เปลี่ยนไป ต่างจากเด็กสาวแสนน่ารักคนเมื่อวานราวกับคนละคน
"เดี๋ยวสิบัว ที่ผมมาวันนี้เพราะว่ามีผมธุระสำคัญที่จะคุยด้วยนะ"
"แปลกจังเลยนะคะที่คุณเสกข์มีธุระกับสาวใช้อย่างบัว" เรียวเท้าเล็กหยุดเดิน จากนั้นจึงหมุนตัวหันกลับมาสบตากับชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
"ผมไม่เข้าใจนะครับว่าทำไมบัวพูดแบบนี้ แต่ผมคิดว่าเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกันไม่ใช่หรือครับ"
"นั่นน่ะสิคะ มันไม่ควรที่จะเป็นปัญหาซะด้วยซ้ำ ว่าแต่มีอะไรก็พูดมาสิคะ อีกไม่เกินยี่สิบนาทีบัวก็จะเข้าห้องเรียนแล้ว" ใบหน้าหวานยังคงบึ้งตึง บุษบันไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังรู้สึกขุ่นเคืองว่าที่พี่เขยเรื่องอะไรกันแน่
"ทำไมถึงทำหน้าบึ้งแบบนี้ล่ะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?" เขาถามด้วยความเป็นห่วง สายตาจับจ้องดวงตากลมโตคู่สวยอยู่เนิ่นนาน
"ถ้าจะไม่สบายใจก็คงไม่สบายใจเรื่องของคุณเสกข์กับคุณอรน่ะค่ะ"
"ทำไมต้องไม่สบายใจเรื่องนี้ด้วยครับ?" คิ้วเข้มขมวดยุ่ง
"ก็คุณกำลังจะแต่งงานกับคุณหอมไม่ใช่หรือคะ แล้วทำไมคุณอรเธอถึงบอกว่าเธอเป็นแฟนคุณ" ศุภเสกข์แค่นหัวเราะ คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะกำลังกลัดกลุ้มใจเรื่องนี้
"เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้านายจังเลยนะ ดูบัวจะรักคุณหอมมากจริงๆ"
"บัวแค่สงสารทุกฝ่ายค่ะ หากคุณเสกข์จะต้องแต่งงานกับคุณหอมโดยที่ไม่ได้รัก ก็แปลว่าทุกคนน่าสงสารทั้งนั้น" เธอตอบตามความเป็นจริง
"แต่ผมกับอรไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ นะ เราไม่ได้รักกันเสียด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่ผมจะแต่งงานกับหอมหรือเปล่านั้นดูเหมือนว่าบัวจะคิดมากไปเอง เพราะว่าผมยังไม่ได้ตอบตกลงกับใครเลยว่าจะแต่งงานกับหอม" เขาอธิบาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บุษบันรู้สึกดีขึ้น
"แล้วคุณขัดใจคุณพ่อคุณแม่ได้ด้วยหรือคะ?"
"ขัดใจได้สิครับถ้าผมไม่อยากแต่ง ไม่มีใครบังคับได้อยู่แล้ว" เธอจ้องมองใบหน้าคมคายด้วยแววตาครุ่นคิด
"แล้ว... ในใจลึกๆ แล้วคุณเสกข์อยากแต่งงานกับพี่หอม เอ่อ...คุณหอมหรือเปล่าคะ?"
"ถ้าให้พูดตรงๆ ก็ตอบว่าไม่อยากแต่ง แต่ถ้าเหตุผลของการแต่งงานนั้นมันสามารถที่จะช่วยครอบครัวของคุณหอมได้ผมก็อาจจะต้องแต่งตามคำขอของพ่อแม่" น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูหนักอกหนักใจ ทว่านั่นกลับแสดงออกให้บุษบันได้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว
"เข้าใจแล้วค่ะ งั้นก็พูดธุระของคุณมาสิคะ"
"อ้อ ลืมไปเลย ผมจำได้ว่าช่วงใกล้ปิดเทอมปีสุดท้ายแบบนี้จะไม่ค่อยได้เรียนหนังสือใช่ไหมครับ?"
"ใช่ค่ะ ก็รอแค่วันปิดเทอมอีกไม่กี่วัน ส่วนเรื่องเรียนต่อเรื่องอะไรก็จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว"
"ว่าแต่นี่เรียนต่อที่ไหนเหรอ สอบเข้าคณะอะไร?" ศุภเสกข์หาเรื่องชวนคุย ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินตรงไปยังห้องเรียนของหญิงสาว
"สอบติดสองที่ค่ะ แต่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจ ก็เลยยังตอบไม่ได้ว่าจะเรียนที่ไหนดี" เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
"พอจะบอกได้ไหมครับว่าสอบติดที่ไหนบ้าง เผื่อผมสามารถช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น" บุษบันครุ่นคิดด้วยสีหน้าหนักใจ เพราะตนสอบติดมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ ส่วนอีกที่หนึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของอเมริกาที่ค่าเทอมแพงแสนแพง กอปรกับยังไม่ตัดสินใจ จึงเลือกที่เลี่ยงตอบคำถามโดยการเฉไฉพูดไปเรื่องอื่น
"คุณเสกข์ไม่ยอมพูดธุระของตัวเองเลยนะคะ เอาแต่ถามเรื่องของบัวอยู่นั่นแหละ"
"นั่นน่ะสิครับ เพราะผมรู้ว่าช่วงนี้บัวไม่มีเรียนอยู่แล้วจนถึงปิดเทอม เลยมีเรื่องจะรบกวนซะหน่อย"
"เรื่องอะไรคะ?"
"ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก อย่างที่เคยบอกว่าผมเพิ่งย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย แล้วก็ไม่ค่อยสะดวกที่จะอยู่บ้านกับพ่อแม่ ผมดูคอนโดไว้สองที่แต่ว่ายังตัดสินใจเลือกไม่ได้"
"นี่อย่าบอกนะคะว่าจะมาถามบัว?"
"ครับ หลังจากไปดูคอนโดมาแล้วผมก็คิดถึงบัวเป็นคนแรกเลยนะ อยากให้ไปช่วยเลือกซะหน่อย" บุษบันจ้องมองใบหน้าคมคายด้วยความรู้สึกแปลกใจ
"ให้บัวเนี่ยนะคะไปช่วยเลือกคอนโด มันไม่ใช่เรื่องเล็กนะเนี่ย บัวไม่มีความรู้เรื่องอะไรพวกนี้หรอกค่ะ"
"ก็ไม่ได้จะให้ใช้ความรู้อะไรนี่ครับ แค่อยากให้บัวไปดูให้ว่าชอบโทนห้องสีไหน ชอบบรรยากาศแบบไหนก็แค่นั้นเอง" หญิงสาวคลี่ยิ้มน้อยๆ คิดในใจแทนที่เขาจะไปถามสโรชาซึ่งเป็นว่าที่เจ้าสาว
"งั้นบัวขอคิดดูก่อนได้ไหมคะ?"
"ไม่ได้ครับ ผมนัดดูห้องอีกครั้งตอนสิบโมงเช้า ซึ่งก็แปลว่าเรามีเวลาเหลืออีกประมาณสองชั่วโมงที่จะขับรถไปถึงที่นั่น"
"คุณเสกข์ แบบนี้มัดมือชกกันชัดๆ นี่คะ"
"จะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ถึงยังไงก็ต้องช่วยนะ แล้วเดี๋ยวผมจะเลี้ยงมื้อเที่ยงเป็นการตอบแทน" บุษบันครุ่นคิด ทว่าศุภเสกข์กลับถือวิสาสะรั้งข้อมือเล็กให้เดินตามตนไปขึ้นรถ เธอจึงไม่อยากขัดขืนจนกลายเป็นจุดสนใจเพราะอยู่ในสถานศึกษา