ตอนที่ 3 เด็กมันน่าเอ็นดู

1407 คำ
"ลูกคนใช้อะไร ผู้ชายคนนี้พูดเรื่องอะไรเหรอบัว?" แพงเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนเอาแต่อ้ำอึ้ง หล่อนจ้องมองบุษบันเพื่อรอคำตอบไม่ต่างจากศุภเสกข์ "เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกแพง ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ เราแยกย้ายกันกลับบ้านเถอะ" หญิงสาวยังไม่อยากบอกความจริงกับว่าที่พี่เขย ทั้งที่จริงแล้วเรื่องเข้าใจผิดนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย เขาเองต่างหากที่กล่าวหาว่าตนเป็นคนรับใช้ จึงเออออไปตามน้ำก็เท่านั้น "อย่าเพิ่งกลับสิครับคุณบัว เมื่อกี้เพื่อนคุณหาว่าผมหูหนวกนะ ไม่คิดจะแนะนำเพื่อนๆ ให้รู้จักกันบ้างเหรอ?" ศุภเสกข์ยักคิ้วถาม "แต่เมื่อกี้มิรินแค่พูดหยอกนะคะ" "ถ้าพูดหยอกกันได้ขนาดนี้ก็แปลว่าเราเป็นเพื่อนกันได้สิ" เขายกยิ้มโปรยเสน่ห์ บุษบันเผลอยิ้มตอบเพราะเป็นคนอัธยาศัยดี และหากจะแนะนำเพื่อนให้รู้จักว่าที่พี่เขยก็คงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หญิงสาวจึงหันไปหาเพื่อนๆ ของตนเองพร้อมกับผายมือไปยังมิรินเป็นคนแรก "มิริน แพง แล้วก็มุกดา เป็นเพื่อนสนิทของบัวค่ะ ส่วนคุณคนนี้เขาเป็น..." ใบหน้าจิ้มลิ้มหันกลับมามองศุภเสกข์ราวกับเป็นโยนให้อีกฝ่ายแนะนำตัวเอง "ผมชื่อศุภเสกข์ครับ เป็นว่าที่เจ้าบ่าวของคุณสโรชา ลูกสาวเจ้าของบ้านที่บัวทำงานเป็นคนรับใช้อยู่น่ะครับ" ชายหนุ่มยังคงเน้นย้ำคำว่าคนรับใช้ เพราะชักเริ่มสงสัยมากเสียจนอยากจับโกหกให้ได้ "ผู้ชายคนนี้เขาพูดเรื่องอะไรเหรอบัว" มิรินถามย้ำ บุษบันจึงหมุนตัวหันหลังให้ศุภเสกข์ เธอขยิบตาข้างหนึ่งให้เพื่อนทั้งสามคนเป็นการส่งสัญลักษณ์ให้เงียบ จากนั้นจึงหมุนตัวหันกลับมาหาคนตัวโตอีกครั้ง "งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณศุภเสกข์ เอาเป็นว่าพวกเราตัวขอแยกย้ายกันกลับบ้านก่อนนะ การบ้านเต็มกระเป๋าเลยต้องรีบกลับไปทำ พรุ่งนี้เจอกันนะบัว" "กลับบ้านดีๆ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเช่นกัน" สามสาวส่งยิ้มให้ศุภเสกข์ จากนั้นมิรินจึงแยกย้ายกันไปคนละทางกับแพงและมุกดา ในขณะที่บุษบันยังคงยืนอยู่ที่เดิม "ดูเหมือนคุณเสกข์จะมาทำธุระ งั้นบัวขอตัวกลับก่อนดีกว่านะคะ" หญิงสาวทำท่าทางรีบร้อนจะเดินตรงไปเรียกรถแท็กซี่ ทว่าชายหนุ่มกลับขยับมือออกจากกระเป๋ากางเกงและรั้งข้อมือเล็กของบุษบันไว้เสียก่อน จังหวะเคลื่อนไหวร่างกายทำให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นกายหอมละมุน สาวแรกรุ่นที่กำลังคลี่แย้มดั่งดอกไม้ตูมช่างงดงามน่าหลงใหล ไหนจะผิวเนียนนุ่มบอบบางเสียจนไม่กล้าฉุดกระชากแรงยิ่งกว่านี้ "ปล่อยมือบัวนะคะ" มือเล็กกำลังพยายามสะบัดออกจากการโอบกุม ทั้งยังมองซ้ายมองขวาเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นจุดสนใจของนักเรียนคนอื่นๆ "อยู่ก่อนสิ ผมถึงจะยอมปล่อย" "ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยค่ะ" เธอเผลอทำเสียงดุ ศุภเสกข์จึงยอมปล่อยมือออกแต่โดยดี เขาจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มอีกครั้งพลันนึกไปถึงคนที่เป็นน้องสาวของสโรชา จำได้ว่าบิดามารดาเคยเล่าเรื่องสองพี่น้องให้ฟังบ้างแต่ตนไม่เคยใส่ใจ และอีกอย่างก็ไม่รู้สึกคุ้นชื่อบัวอีกต่างหาก หรือจะคิดมากไปเอง เพราะคงไม่มีเหตุผลอะไรที่บุษบันจะโกหกว่าเป็นคนรับใช้ "คุณช่วยพาผมไปเจออาจารย์วราห์ได้หรือเปล่า พอดีว่าเพิ่งย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย หมายเลขโทรศัพท์ของเพื่อนๆ ก็เลยหายหมด ติดต่อกันไม่ได้เลย" หญิงสาวรู้จักอาจารย์วราห์ ทว่าเขาไม่ได้เป็นอาจารย์สอนมัธยมศึกษาปีที่หก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากปฏิเสธความช่วยเหลือ เพราะถึงอย่างไรศุภเสกข์ก็คือว่าที่พี่เขยของตนเอง "ก็ได้ค่ะ แต่แค่ไปส่งคุณไว้แล้วบัวก็จะกลับเลยนะคะ" เธอตอบรับ จากนั้นจึงเดินนำหน้าชายหนุ่มตรงไปยังห้องพักอาจารย์ "แล้วกลับบ้านยังไง จากโรงเรียนไปถึงบ้านก็ไกลอยู่นะ ว่าแต่เป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ ทำไมถึงได้มาทำงานในบ้านคุณบงกช หรือว่าจะเป็นลูกของป้าดวง แต่เรียนโรงเรียนเอกชนที่นี่แม่ส่งเรียนไหวเหรอ ค่าเทอมแพงนะ หรือว่าจะเป็นคุณภวพลกับคุณบงกชที่ช่วยส่งเสียให้เรียน?" ศุภเสกข์ถามชนิดไม่เว้นช่องว่างให้ตอบระหว่างเดินตามหลังคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ บุษบันหยุดชะงักฝีเท้าและหมุนตัวหันกลับมาจ้องมองว่าที่พี่เขยด้วยแววตาเป็นประกาย "คุณรู้อะไรไหมคะว่าคุณชอบพูดเองเออเองไปซะทุกเรื่อง ทุกๆ เรื่องเลยจริงๆ" เธอเน้นย้ำประโยคท้าย ตั้งแต่ที่เขากล่าวหาว่าตนเป็นคนรับใช้ และตอนนี้ยังมาหาว่าตนเป็นลูกสาวของป้าดวงอีกต่างหาก "ก็ถามเพราะว่าอยากรู้จัก คุณน่าจะรู้แล้วว่าผมเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของสโรชา เพราะฉะนั้นอีกหน่อยเราก็น่าจะได้เจอกันบ่อยๆ" "ก็จริงค่ะ งั้นบัวขอถามคุณจริงๆ นะคะว่าคุณอยากแต่งงานกับพี่...หมายถึงอยากแต่งงานกับคุณหอมจริงๆ หรือเปล่า?" "ถามทำไม รู้เรื่องความรักด้วยเหรอ?" "ก็เพราะไม่ค่อยรู้นี่ไงถึงถาม คนที่ถามก็แปลว่าอยากรู้ไม่ใช่หรือคะ ถ้าไม่อยากรู้จะถามทำไม" ใบหน้าจิ้มลิ้มแสร้งเมินหนี "ยอกย้อนผู้ใหญ่" เขาว่าให้เสียงเบา น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูจริงจัง "ไม่ได้ยอกย้อนค่ะ อยากรู้จริงๆ" "เฮ้อ...ถามว่าอยากแต่งไหมก็ไม่ ความจริงแล้วมันไม่มีใครชอบให้โดนบังคับแต่งงานหรอก แต่ถ้าเห็นคุณสโรชาแล้วเกิดถูกใจ ไม่แน่ก็อาจจะเปลี่ยนใจอยากแต่งก็ได้นะ" "โห เปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้นเลยหรือคะ?" บุษบันหันกลับมาจ้องมองว่าที่พี่เขย "ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อพ่อแม่อยากให้แต่งก็คงจะต้องยอมทำตาม เพราะมันเป็นเรื่องของบุญคุณหรอกนะ ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ก็คงไม่มีทางแต่งหรอก" ศุภเสกข์พูดน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แม้ในใจลึกๆ แล้วจะยังไม่ได้ตัดสินใจเพราะไม่เคยพบสโรชาแม้แต่ครั้งเดียว "แล้วคุณเสกข์ไม่มีแฟนหรือคะ?" "ไม่มี หมายถึงไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนน่ะ ที่ผ่านมาก็เรื่อยๆ ใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก เพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือนนี้เอง" บุษบันได้แต่คลี่ยิ้มบางเบา อย่างน้อยก็รู้สึกเบาใจที่ชายหนุ่มไม่ได้มีแฟนอยู่แล้ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นพี่สาวของตนคงได้แต่เจ็บช้ำน้ำใจ "รีบไปหาอาจารย์วราห์เถอะค่ะ" เธอพูดเท่านั้นแล้วจึงเดินนำหน้าศุภเสกข์จนไปจนถึงห้องของอาจารย์วราห์ ทว่ากันกลับเห็นเพียงโต๊ะทำงานที่ว่างเปล่า เอกสารและหนังสือทุกอย่างถูกเก็บเข้าที่เรียบร้อย เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเขาคงกลับบ้านไปแล้ว "อาจารย์น่าจะกลับบ้านไปแล้วค่ะ แต่ว่าคุณลองถามหาหมายเลขโทรศัพท์ของอาจารย์วราห์จากอาจารย์ท่านอื่นๆ ดูสิคะ" "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวยังไงอีกหน่อยก็จะได้เจอกันอยู่แล้ว วันนี้บังเอิญผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะมาดู แล้วนี่ตกลงว่ากลับบ้านยังไงเราอ่ะ" "นั่งรถ เอ่อ...นั่งรถเมล์ค่ะ" บุษบันยอมโกหกเพราะไม่อยากโดนกล่าวหาว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย "ผมกำลังจะแวะไปที่บ้านของคุณบงกชพอดี มีนัดเจอกันกับว่าที่เจ้าสาวน่ะ ไม่รู้ว่าวันนี้จะได้เจอกันหรือเปล่า" หญิงสาวครุ่นคิด หากทั้งสองคนนี้จำเป็นที่จะต้องแต่งงานกันจริงเธอก็จำเป็นต้องช่วยให้พวกเขาได้พบกันเสียที จึงยอมตอบตกลงติดรถไปกับว่าที่พี่เขยอย่างว่าง่าย "ก็ได้ค่ะ วันนี้บัวจะได้ประหยัดเงินไปอีกหนึ่งวัน" ใบหน้าจิ้มลิ้มฉีกยิ้มกว้าง ศุภเสกข์ได้แต่จ้องมองรอยยิ้มนั้นด้วยความเอ็นดู จากนั้นจึงเดินนำหน้าหญิงสาวไปขึ้นรถของตนเองที่จอดอยู่บริเวณหน้าโรงเรียน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม