ตอนที่ 2 คนจะได้แต่งงาน

1588 คำ
วันถัดมา เรือนร่างอรชรเดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน ใบหน้าซีดเผือดราวกับนอนไม่เต็มอิ่ม เมื่อคืนสโรชากลับจากเที่ยวไนต์คลับเวลาตีสอง ผู้เป็นมารดาเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของบุตรสาวคนโตเต็มประดา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากต่อว่าอะไร เพราะรับรู้ได้ว่าเธอคงกดดันเรื่องภาระครอบครัว ไหนจะถูกบังคับแต่งงานกับชายที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นอีกต่างหาก "ข้าวต้มอีกแล้วหรือคะ ป้าดวงไม่รู้จะทำอะไรให้พวกเราทานกันแล้วหรือยังไงถึงได้เอาแต่ทำข้าวต้มทุกเช้าแบบนี้" คำต่อว่าทำให้แม่บ้านรู้สึกเสียใจ คุณบงกชค้อนบุตรสาวด้วยสายตา ป้าดวงจ้องมองหญิงสาวรุ่นลูกและหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องครัว "อย่าพูดแบบนี้กับแม่บ้านอีก ดีแค่ไหนแล้วที่เขาตื่นแต่เช้ามาทำอาหารให้กิน" "ก็เราจ่ายเงินจ้างเขามาทำงานนี่คะ จะให้ว่าอะไรไม่ได้เลยหรือยังไง" สโรชาชอบพูดจาโผงผาง ซ้ำยังมีนิสัยดื้อรั้นมาแต่เด็กจนเคยตัว หากโดนต่อว่าก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนให้คนรอบข้างเอือมระอา "ทีหอมเอาแต่เที่ยวเตร่แล้วก็ใช้เงินสิ้นเปลืองแม่ยังไม่เคยว่าอะไรลูกเลย" "ก็หอมเป็นลูกคุณแม่นี่คะ" "ใช่ หอมเป็นลูกแม่ และตอนนี้หอมก็น่าจะรู้ดีว่าสถานการณ์ด้านการเงินของครอบครัวเราเป็นยังไง เพราะฉะนั้นเรื่องที่แม่กำลังจะพูดต่อไปนี้ หอมจะต้องทำตามคำสั่งของแม่" "อย่าบอกนะคะว่าคุณแม่จะคุยเรื่องแต่งงานอีก หอมบอกเป็นร้อยครั้งแล้วว่าหอมไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่หอมไม่รู้จัก พวกเศรษฐีใหม่มันจะดีสักเท่าไหร่กันคะ" คำพูดของหญิงสาวทำให้คุณบงกชถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางเหนื่อยใจเหลือเกิน เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ต้องบังคับบุตรสาวเช่นนี้ ในจังหวะนี้บุษบันกำลังเดินลงมาจากชั้นสองพอดี "อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแม่ พี่หอม" เสียงเล็กเอ่ยทักทายมารดาและพี่สาวด้วยรอยยิ้ม "หนูบัว มาทานมื้อเช้าก่อนสิลูก เดี๋ยวแม่ให้ลุงถงขับรถไปส่งที่โรงเรียน แต่ช่วงบ่ายแม่ต้องให้ลุงแกพาออกไปทำธุระ ยังไม่รู้เลยว่าจะกลับมาทันเวลาเลิกเรียนของลูกหรือเปล่า" คุณบงกชหันมาพูดกับบุตรสาวคนเล็กในขณะที่เธอกำลังทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งทานมื้อเช้าเป็นประจำทุกทุกวัน "บัวอยู่มอหกแล้วนะคะคุณแม่ อีกอย่างเดือนหน้าก็เรียนจบแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงบัวหรอกค่ะ" เธอพูดพลางตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย สโรชามองน้องแล้วจึงเบ้ปากเล็กน้อย "ก็ยายบัวนี่ไงคะคุณแม่ เรียนจบมอหกแล้วไม่เห็นต้องเรียนต่อเลย จับแต่งงานกับเศรษฐีใหม่ของคุณแม่ไปเลยซะสิคะ" "หอม! แต่น้องอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีเลยนะ" คุณบงกชทำเสียงดุ "อาทิตย์หน้าก็อายุครบสิบแปดแล้วค่ะ คุณแม่อย่าลืมสิคะว่าเราไม่มีเงินส่งบัวเรียนมหาวิทยาลัย" "แต่บัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วนะคะ อีกอย่างบัวก็พอรู้ว่าบ้านเราไม่มีเงินมากเหมือนเมื่อก่อน แต่บัวมีเงินเก็บของบัวที่พอส่งตัวเองเรียนได้ค่ะ" บุษบันพูดกับพี่สาว เพราะเธอมีเงินก้อนซึ่งเป็นเงินของขวัญวันเกิดจากบิดาที่มอบให้ตนทุกปี ตอนนี้มันมากพอที่จะอยู่ได้สบายจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย "เห็นแก่ตัว คิดจะใช้เงินก้อนนั้นคนเดียวหรือยังไง?" สโรชาโวยวายท "หอมว่าน้องเห็นแก่ตัวได้ยังไง เงินของน้องก็คือเงินที่คุณพ่อให้เป็นของขวัญวันเกิดในทุกๆ ปีเหมือนกับที่หอมได้ แต่เงินพวกนั้นหอมเอาไปใช้เที่ยวจนหมดเอง" "คุณแม่ก็เอาแต่เข้าข้างยายบัว ผลักภาระทั้งหมดมาให้หอมคนเดียวได้ยังไงกัน" "แม่ไม่ได้ผลักภาระให้หอม แม่กำลังหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของหอม ลูกเรียนจบปริญญาตรีได้หลายเดือนแล้วแต่ก็ยังเอาแต่เที่ยวแบบนี้ แม่ไม่มีเงินให้หอมแบมือขอแล้วนะ" "สิ่งที่ดีที่สุดคือการขายลูกให้ไปแต่งงานกับผู้ชายรวยๆ แล้วก็เอาเงินมาให้คุณแม่อย่างนั้นหรือคะ อีกอย่างหอมก็มีคนรักอยู่แล้ว หอมไม่มีวันแต่งกับคุณศุภเสกข์อะไรนั่นหรอกค่ะ" "ถ้าหอมยังไม่คิดจะหางานทำ หอมก็ต้องยอมแต่งงานกับคุณศุภเสกข์" คุณบงกชยื่นคำขาด น้ำเสียงฟังดูเป็นคำสั่งมากกว่าการขอร้อง ทำให้สโรชาโกรธเคืองจนเนื้อตัวสั่น หล่อนหยัดกายลุกขึ้นยืนและกระทืบเท้าปึงปังเดินกลับขึ้นไปยังชั้นสองด้วยความโมโห มีหรือคนดื้อรั้นจะยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย สงสัยนางคงได้หาหนทางใหม่ หรือไม่คงต้องยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ไปเสียให้สิ้นเรื่อง "คุณแม่คะ บ้านเราติดหนี้มากขนาดหรือคะ ทำไมถึงจะต้องบังคับให้พี่หอมแต่งงานด้วย" บุษบันรู้ดีว่าครอบครัวเป็นหนี้สินแต่ไม่เคยรู้ถึงตัวเลขที่ชัดเจน คุณบงกชไตร่ตรองคำถามของบุตรสาวคนเล็กดูอยู่ครู่ใหญ่ จึงคิดได้ว่าบุษบันเองก็เติบโตพอที่จะรับรู้เรื่องพวกนี้แล้ว นางจึงตัดสินใจที่จะบอกความจริง "เราติดหนี้ธนาคารอยู่สี่สิบล้าน พ่อกับแม่กู้เงินมาประคับประคองธุรกิจแต่ในที่สุดมันก็ไปไม่รอด ครอบครัวคุณเสกข์เขาเลยอยากช่วยโดยการให้ค่าสินสอดห้าสิบล้านบาท" "โอ้โห ตั้งสี่สิบล้านเลยหรือคะ บัวไม่รู้มาก่อนเลย" ดวงตากลมโตเศร้าหมองลงเมื่อได้รู้ความจริง "แต่มันไม่ใช่แค่เพราะว่าแม่อยากจะใช้หนี้ให้หมดนะบัว ครอบครัวเราและครอบครัวคุณเสกข์รู้จักกันมานานมากแล้ว เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด ตอนนี้เราลำบากเขาก็อยากช่วยเหลือบ้าง และที่สำคัญคุณสรวงสุดาเขาอยากได้พี่สาวเราเป็นลูกสะใภ้" "แต่ดูแล้วคุณเสกข์เองเขาก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับพี่หอมนะคะ" บุษบันนึกถึงคำพูดของศุภกรตอนที่เจอกันเมื่อวานนี้ "หนูเคยเจอคุณเสกข์แล้วหรือจ๊ะ?" "ค่ะ เจอทั้งคุณศุภเสกข์แล้วก็คุณศุภกรที่หน้าบ้านเมื่อวาน คุณศุภกรบอกว่าพี่ชายของเขาไม่อยากเจอว่าที่เจ้าสาว" คุณบงกชฟังแล้วยิ่งหนักใจ เพราะรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างบังคับลูกๆ ของตนนั่นเอง "คุณเสกข์เขาเป็นหนุ่มสังคมที่หน้าตาหล่อเหลา สาวๆ คนไหนก็อยากรู้จักอยากคบหา แม่เองยังคิดอยู่เลยว่าถ้าหอมยอมเจอพี่เขา ป่านนี้คงตกหลุมรักและไม่มีทางเอาแต่ค้านหัวชนฝาอยู่แบบนี้แน่นอน" "ถ้างั้นคุณแม่ก็ต้องหาวิธีทำให้พี่หอมเจอกับคุณเสกข์ให้ได้ บัวต้องไปโรงเรียนแล้วค่ะ จะสายแล้ว" บุษบันพูดพลางขยับใบหน้าสวยจิ้มลิ้มเข้าหามารดา เธอหอมแก้มนางฟอดใหญ่แล้วจึงหยัดกายลุกขึ้นยืน "ไม่ต้องเก็บเรื่องหนี้สินไปคิดนะหนูบัว เดี๋ยวแม่จะจัดการทุกอย่างเอง" "ค่ะคุณแม่ ตอนเย็นเจอกันนะคะ" เมื่อเรียวยกขึ้นไหว้มารดา แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปหน้าบ้านซึ่งลุงถงรอไปส่งอยู่แล้ว @โรงเรียน เวลาบ่ายสามโมงตรง บุษบันเดินออกมาบริเวณหน้าโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ หลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้าย ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่าศุภเสกข์กำลังเดินตรงเข้ามาหาตน ท่ามกลางสายตาและเสียงฮือฮาของนักเรียนคนอื่นๆ ที่กำลังจับจ้องมายังเขาราวกับไม่เคยพบเคยเห็นคนหล่อเหลาเช่นนี้มาก่อน "สวัสดีครับ คุณ..." ศุภเสกข์เอ่ยทักหญิงสาว ลืมไปว่ายังไม่รู้ชื่อของเธอเสียด้วยซ้ำ แม้เมื่อวานบุษบันจะพูดชื่อเล่นของตนเองอยู่ก็ตาม "ชื่อบัวค่ะ ว่าแต่คุณเสกข์มาทำอะไรที่โรงเรียนหรือคะ?" ความงามของสตรีทำให้ชายหนุ่มถึงขั้นหูตึงเลยหรืออย่างไร ดวงตาเป็นประกายยังคงจ้องมองใบหน้าหวานจิ้มลิ้มไม่วางตา ซ้ำยังคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยพร้อมทั้งขยับมือขึ้นมาล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง "ก็หล่อดีนะ แต่เขาหูหนวกหรือบัว?" มิรินถามพลางสะกิดแขนเพื่อนสนิท ศุภเสกข์ได้ยินเสียงคนอื่นที่แปลกไปจึงตวัดหางตามองไปยังเจ้าของคำพูดเมื่อครู่ รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายนั้นจางหายไปเสียแล้ว "ผมไม่ได้หูหนวก แค่กำลังแปลกใจว่าทำไมคนรับใช้ถึงเข้าโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมแพงขนาดนี้ครับ" เขาตอบเสียงเข้มค่อนไปทางดุ และหันกลับมามองบุษบันอีกครั้งด้วยความสงสัย คิ้วเข้มขมวดยุ่งพร้อมกับจ้องมองหญิงสาวราวกับกำลังรอคำตอบ ในขณะที่คนโดนจับผิดเอาแต่อ้ำอึ้ง เพราะไม่เคยโกหกใครเลยไม่รู้ว่าควรจะโกหกต่ออย่างไร จึงได้แต่แกล้งทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม