“เมย์ตาถึง” ปานดวงใจหยิบจี้ขึ้นมาลูบคลำ
เขาพินิจเรือนร่างสาวแว่น ตัวเล็กแต่ก็ไม่ได้เตี้ย สูงประมาณร้อยหกสิบห้า ผิวขาวอมชมพูมีน้ำมีนวล ลำคอระหง มีไฝเม็ดเล็กๆ ข้างลำคอสะดุดตา แต่ดูยังไงก็เฉิ่มเพราะแว่นกรอบเชยๆ
“เครื่องแบบก็ดูดี แต่ใส่เครื่องประดับแบบนี้ไม่ให้เกียรติคนมองเลยรู้ไหม”
ปานดวงใจเอียงคอยักไหล่อย่างไม่แคร์ “เมย์มองว่าสวยคนเดียวก็พอ”
“อกหักแรงเลยเหรอเรา” เขายิงคำถาม
“อือ เมย์ร้องไห้โฮลั่นสนามบินเลยรู้เปล่า ขึ้นเครื่องมาก็ร้องตลอด”
“ผู้ชายนอกใจเหรอ หรือเขามีคู่หมั้น” ประเด็นหลังสะท้อนจุดเปลี่ยนของตัวเองมากกว่า
“เขาบอกว่าเมย์เอาไม่มัน” ปานดวงใจโพล่งออกมาทื่อๆ
พรวด!!!
ค็อกเทลในปากของพยัคฆ์ถูกพ่นออกมากระจายเป็นฝอยเต็มโต๊ะ ปานดวงใจลุกพรวด วิ่งปรู๊ดเดียวก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด เธอฉีดน้ำยาไปบนโต๊ะ ปาดผ้าไปบนพื้นกระจกสองสามครั้ง ฉีดน้ำยาซ้ำอีก และใช้ผ้าอีกผืนเช็ดอีกรอบ
“เฮียตลกอะไร” เก็บอุปกรณ์เสร็จก็กลับมานั่งที่เก่าพร้อมกับค็อกเทลแก้วใหม่
“เป็นผู้หญิงอย่าพูดแบบนี้อีกนะรู้ไหม” พยัคฆ์เตือน แต่ยังขำอยู่
“ก็ได้ แต่เมย์บอกให้นะเฮียว่าตัดใจเถอะ คนเรากว่าจะบอกเลิก ความคิดมันผ่านการตกผลึกมาแล้วละ ไม่ต้องไปมีคำถามหรอกว่าทำไมไม่ยังงั้น ไม่ยังงี้ แล้วก็ไม่ต้องมีความหวังด้วย เชื่อเมย์เถอะ เมย์ผ่านมาแล้ว สรุปง่ายๆ คือเราไม่ดีพอ ปี้ไม่มัน”
พยัคฆ์หยุดขำไม่ได้ “เลิกร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว?”
“อือ ร้องทีเดียวให้หนักๆ แบบไม่อายใคร ตะโกนให้ลั่นไปเลย” ปานดวงใจหันไปมองรอบร้าน ลูกค้าออกไปหมดแล้ว เหลือแต่เพื่อนร่วมงานที่กำลังเก็บกวาดเตรียมปิดร้าน เธอจึงตะโกนออกมาดังๆ “ไอ้เฮงซวย ไอ้หอกหัก ไอ้หำเล็ก กูนี่ทั้งร่อนทั้งแอ่นจนสะโพกแทบพัง ใครกันแน่ที่เอาไม่มัน มึงแหละไอ้สัส”
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมเธอโดนทิ้ง ปากเหม็นแบบนี้ไง” พยัคฆ์หัวเราะไม่หยุด
“เฮีย มันไม่ใช่แบบนั้นไง มันโกหก ตอนเอากันอะ มันร้องเหมือนควายโดนเชือด ทึ้งผมเมย์จนหน้าหงาย เมย์ก็ร้องสู้จนผนังบ้านสั่น มันไม่มันตรงไหน” ปานดวงใจเมาหมัด ทึ้งผมตัวเองประกอบจนแว่นกระเดิด
“เขาแกล้งร้องหรือเปล่า” พยัคฆ์ประเมินจากประเภทวีซ่าและการพูดจาคร่าวๆ ว่าปานดวงใจน่าจะเรียนอยู่ปีสามขึ้นปีสี่
“ไม่นะ ไม่งั้นมันไม่แตกใส่จนที่นอนชุ่มหรอก มันเรียลมากนะเฮีย ถึงจวยเล็กแต่ซอยเก่ง แต่ช่างเถอะ ถือว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ พูดเรื่องเฮียดีกว่า สเปกเฮียแบบพี่มารีเหรอ” ปานดวงใจขยับเข้ามาใกล้ๆ แทบจะเบียดสีข้างเขา
“เห็นแล้วชอบก็คือใช่ แบบนี้เรียกว่าสเปกปะ”
“งั้นมั้ง เมย์ล่ะ เฮียชอบปะ เมย์ว่างนะ เอวหวานฉ่ำเลยละ” ปานดวงใจขายขำให้เขาอารมณ์ดี
“ฮ่าๆๆๆๆ” พยัคฆ์หัวเราะจนน้ำตาไหล
“ทำเป็นขำนะ เฮียก็ไม่ใช่สเปกเมย์เหมือนกันแหละ ถึงคนบนโลกออนไลน์จะอยากเป็นเมียเฮีย แต่เมย์ไม่ชอบคนแก่ เพราะมันหมดสมรรถภาพเร็ว เมย์กลัวไม่เสร็จ ผัวเด็กกับผัวฝรั่งนั้นคือนิพพาน แล้วยิ่งเสืออกเดาะจนแปรสภาพเป็นแมวป่วยแบบนี้นะ บรึ๋ย” เธอทำท่าขนลุก
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ขอบใจนะสำหรับเรื่องโจ๊กก่อนนอน ฉันไปละ มีคนเรียกใช้บริการอูเบอร์แก่ๆ ละ” เขาลุกขึ้นยืน เขาวางเงินค่าเครื่องดื่มรวมทั้งทิปก้อนใหญ่ไว้บนโต๊ะ และลุกเดินออกจากร้านไปดื้อๆ แต่ก็ยังได้ยินเสียงปานดวงใจดังไล่หลัง เขาขำจนต้องเดินค้อมไหล่
“ไอ้เฮีย มันไม่โจ๊กนะ มันเรื่องจริง”
*********
วันรุ่งขึ้นในช่วงเวลาเดิม โต๊ะเดิม โซนเดิม มีป้ายจองไว้สำหรับลูกค้าคนเดิม
“เฮีย สูบบุหรี่มาก เดี๋ยวไข่อักเสบนะ” ปานดวงใจวางแมนฮัตตันลงบนโต๊ะ ไม่ต้องถามกลับก็รู้ว่าเธอหมายถึงมะเร็งต่อมลูกหมาก
“ตรงไหนเนื้อร้ายก็ตัดตรงนั้นทิ้ง” เขาพ่นควันระหว่างพูด ส่ายหัวไปมาให้ควันลอยเป็นรูปหัวใจ
“ตัดไข่ทิ้งเฮียก็ไม่มีลูกไว้สืบทอดธุรกิจขายหมูเห็ดเป็ดไก่นะ” ปานดวงใจเตือน เอามือโบกควันที่ลอยขึ้นมาตรงหน้าเธอ
“ขอบคุณที่เป็นห่วงไข่ฉัน” เขาดับบุหรี่ หยิบเครื่องดื่มมาจิบ
สาวน้อยยิ้มเบาๆ “ไม่ใช่อะไร ถ้าเฮียต้องตัดไข่ทิ้ง สาวๆ ก็อดอมน่ะสิ” ปานดวงใจก้มลงมากระซิบด้วยเสียงหัวเราะ อีกฝ่ายแทบสำลักแบบเมื่อวานแต่กลั้นไว้ได้ทัน
“ทะลึ่งไม่หยุดหย่อน”
“เฮีย เมย์อยากรู้ ถามได้เปล่า”
“ว่ามาสิ” พยัคฆ์ตั้งรับคำถาม
“เลิกกับพี่มารีแล้วเฮียไปนวดกะปู๋ที่ไหนอะ”
“ใครใช้ให้มาถาม”
“โอ๊ย เฮียไม่ต้องหวังว่าพี่มารีจะฝากมาถามหรอก เมย์นี่แหละอยากรู้” เธอก็แค่ชวนคุยไปเรื่อย
“ทั่วๆ ไป” เขาก็แค่ตอบไปส่งๆ
“คิกๆๆๆ เมย์ไปทำงานต่อนะเฮีย วันนี้เฮียดูชิลแล้วนะ” ปานดวงใจกลั้นหัวเราะไม่ไหว
“เดี๋ยวเมย์” เขาเรียกไล่หลังหญิงสาว
“คะ” สาวเนิร์ดวิ่งกลับมา
“ฉันอยากกินข้าวผัดปู บอกมารีที”
“ฮะ มาไม้ไหนเนี่ยเฮีย มันไม่มีในเมนูของร้านนะ ถ้าเฮียจะกินข้าวผัดปู เฮียต้องมากินที่ร้านอาหารไทยของโรงแรมในช่วงกลางวัน หรือไม่ก็ถ้าจะให้อร่อยจัดๆ ก็กลับไปกินที่ประเทศไทยเลย” ปานดวงใจขยับแว่นไปพลาง อธิบายในสิ่งที่พยัคฆ์รู้อยู่แล้วไปด้วย
“พูดมากจริงๆ มีข้าวหอมมะลิไหม”
“มี”
“มีปูไหม”
“มี”
“ไข่ล่ะ”
“มีสิ นั่นน่ะสองใบ” ปานดวงใจใช้สายตามองไปยังหว่างขาของเขา
“เป็นอะไรกับไข่ฉันมากไหม ไปบอกมารีได้แล้ว” พยัคฆ์โบกมือไล่
ปานดวงใจส่ายหัวให้คนเอาแต่ใจ สิบห้านาทีผ่านไปเธอก็กลับมาพร้อมอาหารไทยหน้าตาไม่คุ้น
“ข้าวแห้งทะเล” ปานดวงใจบอกชื่ออาหาร “ไม่มีอยู่ในเมนูเหมือนกัน เมย์ทำเอง มันเหมือนข้าวต้มทะเล แต่ข้าวไม่เละและไม่มีน้ำ”
“ฉันไม่ได้สั่ง ใครใช้ให้เปลี่ยนเมนู ฉันจะกินข้าวผัดปู” เขาดันชามออกไปไกลๆ
“เฮีย มันไม่มีประโยชน์หรอกที่จะไปรำลึกถึงรสชาติเดิมๆ หรือสิ่งเดิมๆ ที่เคยทำร่วมกัน” ปานดวงใจยืนค้อมตัวปลอบเขา
“แล้วเธอทำได้? ไม่เคยมีสักวูบหนึ่งเลยเหรอที่เธอเคยนึกถึงเรื่องเก่าๆ” เขาท้าทาย ค้นหาความจริงภายใต้กรอบแว่นอันโต
“เมย์ก็ไม่ใช่พระอรหันต์เนาะ แต่เมย์ก็ไม่ฟูมฟายแบบเฮีย”
“ฉันดูฟูมฟายเหรอ ฉันแค่อยากกินข้าวผัดปู แล้วที่ต้องบอกมารีเพราะเขาเป็นผู้จัดการร้าน ลูกค้าจะกินอาหารนอกเมนูก็ต้องบอกเขาไม่ใช่เหรอ”
“โอเคๆ เมย์ผิดเองที่คิดไปไกล เฮียรอแป๊บนะ ถือว่าลูกจ้างทำกินกันเอง ไม่ต้องบอกพี่มารีหรอก” ปานดวงใจเดินส่ายหัวกลับไปที่ครัว
“เป็นไงมั่งเมย์” หมิง เพื่อนร่วมงานในครัวที่วิ่งวุ่นหยิบจับจานชามใส่สเต๊กร้องถาม
“เวรกรรมอะไรของเมย์ก็ไม่รู้อะ เอาแต่ใจ แบบนี้มั้งพี่มารีเลยตัดใจง่าย ความหล่อความแซ่บทะลุทะลวงไม่ช่วยอะไร ถ้าเป็นคนเอาแต่ใจ” ปานดวงใจว่าพลางเปิดตู้แช่แข็ง หยิบเนื้อปูม้าแกะออกมา
“อีบ้า พี่มารีเขามีคู่หมั้นต่างหาก ว่าแต่แกคนบ้านเดียวกัน รู้จักคู่หมั้นพี่มารีไหมวะ” เตยหอมเงยหน้าขึ้นจากการแต่งจานล็อบสเตอร์อบชีสถาม
“ใครเขาจะไปรู้ลึกขนาดนั้น เมย์ก็รู้พร้อมๆ กับพวกพี่นี่แหละ ไม่ต้องถามเยอะ เมย์ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว พี่มารีจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่เขาดีกับเมย์มาก ช่วยเหลือเมย์มาตั้งแต่ตอนเรียน เรื่องติว สอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือแม้แต่เดินเรื่องจนเมย์ได้มาที่นี่” ปานดวงใจตัดบท
“ว่าแต่ดูคุณเสือพักนี้เขาจะเข้ากับแกได้ดีแล้วนะ” ถึงหมิงจะทำงานอยู่ก้นครัว แต่พวกพนักงานเสิร์ฟก็เอามาเล่าต่อ
“คนอกหักกับคนอกหักอะ” ปานดวงใจเทส่วนผสมลงกระทะพลางถอนหายใจ
“นี่แกยังไม่โอเคอีกเหรอ ที่ผ่านมาฉันเห็นแกยิ้ม ไอ้ฉันก็ดีใจ” เตยหอมจับไหล่เพื่อนร่วมงาน ปานดวงใจนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่มือยังผัดข้าวไม่หยุด
“เมย์พยายามจะเข้มแข็ง” คำตอบมาพร้อมกับมือเรียวเล็กที่วางตะหลิวและยกแว่นขึ้นปาดน้ำตา “ขอโทษทีตะกี้หั่นหัวหอม”
เตยหอมกับหมิงมองไปยังส่วนผสมที่ไม่มีทั้งหอมแดงและหอมใหญ่ แล้วส่ายหน้าให้คนที่พยายามซ่อนความอ่อนแอไว้ใต้รอยยิ้ม