รอยยิ้มของคนที่เป็นต่อ

1594 คำ
มาร์ค !! เขาโผล่มาที่นี่ได้ยังไง ? ในหัวของฉันเต็มไปด้วยเครื่องหมายปรัศนี ??? “อารยา ฟานนี่ นี่คือคุณมาร์ค แบร์นาร์ด ผู้จัดการฝ่ายดีไซเนอร์ของบริษัทฯ ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานในฝ่ายออกแบบสินค้าบูติคของแอร์เมส อ้อ... มาร์คเป็นลูกชายคนโตของแคลร์ เจ้าของร้านฯ ที่อารยาเคยไปฝึกงานด้วย เธอจำเขาได้ไหม ? ” อลิเซียหันมาถามฉัน เธอกับแคลร์เป็นเพื่อนรักกัน แน่นอนว่าเธอจะต้องรู้จักสมาชิกทุกคนในครอบครัวแบร์นาร์ดเป็นอย่างดี “ค่ะ พอจำได้” ฉันฉีกยิ้มให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด สูดหายใจลึกเพื่อกอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในโพรงอก พยายามควบคุมสติไม่ให้ตื่นเตลิดไปมากกว่านี้ “ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ/ค่ะ” ฟานนี่ยื่นมือไปจับกับมาร์ค มาร์คยื่นมือมาทางฉัน สีหน้าของเขาดูสงบนิ่งจนทำให้ฉันเชื่อว่าเขาคงไม่หลงเหลือเยื่อใยให้กับฉันแล้ว เพราะคืนวันวาเลนไทน์ครั้งล่าสุดที่เราสองคนเจอกัน มาร์คเห็นกับตาว่าฉันเดินออกจากบาร์ไปพร้อมกับโทมัส “ยินดีที่ได้ร่วมงานกันค่ะ” ฉันจับมือเขากลับและโดนสัมผัสอบอุ่นที่คุ้นเคย โจมตีจิตใต้สำนึกเข้าอย่างจัง วิญญาณของฉันทรุดฮวบลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างหมดทางสู้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงและซีดสลับกันไปมาราวกับไฟกะพริบ... ได้แต่หวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น “เช่นกันครับ” น้ำเสียงของมาร์คแหบต่ำ ดูเหมือนว่าเขากลั้นหายใจด้วย ระหว่างที่พนักงานประจำฝ่ายแพทเทิร์นและดีไซเนอร์ทุกคนเข้าร่วมประชุมวางแผนงานในช่วงเช้าวันแรกของเดือนเมษายน ฉันกับฟานนี่ก็ได้รับมอบหมายให้ออกแบบผลงานชิ้นแรก อลิเซียตั้งโจทย์บังคับให้ใช้โทนสีโรสโกลด์ตามกระแสแฟชั่นของฤดูร้อนปีนี้ แต่ไม่กำหนดประเภทสินค้า การปรากฏตัวของมาร์คทำให้ฉันรู้สึกกดดันและเสียสมาธิมากเกินไป ฉันจำเป็นต้องกินยาลดเครียดปรับสมดุลทางอารมณ์ เพื่อให้ตัวเองจดจ่อกับงานตรงหน้า ฉันใช้เวลาครุ่นคิดนานเกือบชั่วโมง ก่อนจะตัดสินใจเลือกดีไซน์ผ้าคลุมไหล่ลวดลายกราฟฟิคขนาด1.50x1.50เมตร ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้เป็นเสื้อ, กระโปรง, เดรส หรือผ้าพันคอ ได้ตามความต้องการ เวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงพักกลางวัน ฉันรอให้จำนวนพนักงานในออฟฟิศบางตาลง หลังจากนั้นค่อยเดินไปที่ลิฟต์ส่วนกลาง เพราะไม่อยากเบียดเสียดกับใคร จังหวะที่ประตูอัตโนมัติเปิดออกจากกัน คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นมาร์คยืนอยู่ในลิฟต์ “ลงไหมครับ” มาร์คยกมือขวาขึ้นมากดปุ่มเปิดค้างไว้ มือซ้ายยังสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง “ลงค่ะ” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบเดินเข้าไปในลิฟต์อย่างเกรงอกเกรงใจ และยืนเว้นระยะห่างจากเขาไม่ให้ดูน่าเกลียดมากจนเกินไป “คุณจะไปกินข้าวที่ไหน” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบและฟังดูค่อนข้างเป็นทางการ แต่ก็ช่วยให้บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบผ่อนคลายลง “ไม่รู้ค่ะ” ฉันให้คำตอบที่รวบรัดและชัดเจน “อารยา... เลิกตั้งแง่เสียทีเถอะ” มาร์คถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “คุณควรจะทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้” ฉันหันไปมองเขาอย่างงุนงง กำลังอ้าปากจะถามถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองถูกเขากล่าวหา แต่เป็นจังหวะที่ประตูอัตโนมัติเปิดออก และมีคนหลายคนยืนรออยู่ด้านนอก มาร์คยื่นมือมากุมกระชับรอบข้อแขนของฉันอย่างถือวิสาสะ เขาใช้พละกำลังที่มากกว่าบังคับให้ฉันเดินออกไปจากลิฟต์พร้อมกัน ฉันพยายามระงับอารมณ์ฉุนเฉียว รอกระทั่งปลอดสายตาผู้คน ก่อนจะสะบัดแขนจนหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของอีกฝ่าย มาร์คเลิกคิ้วสูง นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายเจิดจ้าจ้องมองมาที่ฉันส่อแววท้าทาย แสงแดดกระจ่างในช่วงปลายฤดูหนาวที่อาบไล้เส้นผมสีน้ำตาลทองและโครงหน้าคมสันทำให้เขาดูหล่อเหลาโดดเด่นราวกับนายแบบที่หลุดออกมาจากโปสเตอร์โฆษณาน้ำหอมสุภาพบุรุษยี่ห้อดัง ฉันหน้าแดง...ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามรุนแรงเกินไป หัวใจของฉันเหลวละลายอย่างไม่เอาไหน ฉันถึงกับต้องกำหมัดจิกเล็บลงบนอุ้งมือเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา เกือบจะลืมไปเลยว่า ก่อนหน้านี้ฉันกับเขามีประเด็นโต้เถียงค้างคากันอยู่ “ฉันไม่เป็นผู้ใหญ่ตรงไหน” “ทุกตรงเลย” เขาตอบทันที ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่...หน้าชา...ร่างชา นึกอับอายในความอ่อนหัดของตัวเอง “ถ้าฉันไม่มีอะไรดี ทำไมคุณถึงต้องมายุ่งด้วยล่ะ” มาร์คถอนหายใจอย่างอับจนคำพูด เขาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ “เรามีเวลาไม่มาก รีบไปหาที่นั่งกินข้าวก่อน” “เชิญไปกินคนเดียวเถอะ” ฉันสะบัดหน้าเดินหนีไปทางอื่น แต่ต้องรีบกลับลำเพราะทิศทางนั้นคือลานจอดรถ ส่วนอีกด้านเป็นกำแพงคอนกรีต พอหันกลับมาทางเดิม ฉันก็ถูกเขาหัวเราะเยาะซ้ำเติมอย่างขบขัน “มีแต่คู่รักเท่านั้นแหละที่ทำท่าปั้นปึ่งใส่กัน” มาร์คพูดขึ้นลอย ๆ ระหว่างที่เดินนำหน้าไปยังถนนฝั่งตรงข้าม ฉันต้องตามเขาไปเพราะไม่มีทางเลือกอื่นตรงนั้นมีร้านขายขนมปังและพิซซ่า ถัดออกไปคือร้านขายอาหารฟาสต์ฟู้ด เรามีเวลาพักกลางวันเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงสามสิบนาที ซึ่งก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้ว “อารยา” มาร์คตะโกนและกวักมือเรียก ฉันไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาจึงเดินไปหาเขา บริเวณหน้าร้านทั้งสองแห่งมีลูกค้ายืนต่อแถวยาวออกไปจนถึงฟุตบาท พนักงานเร่งรีบทำงานตามออเดอร์จนมือเป็นระวิง “มีคนรอคิวเยอะ คุณอยากกินอะไร ผมจะได้สั่งทีเดียว” “ฉันเอาชุดออเรียนตอล” ฉันเอ่ยปากบอกมาร์คไปแต่โดยดี เริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อสาร ทุกวินาทีในชีวิตของคนทำงานคือความเร่งด่วน ถ้าหากฉันมัวแต่ถือทิฐิคงตามคนอื่นไม่ทัน...เหมือนอย่างตอนนี้ เราสองคนหิ้วถุงกระดาษใส่อาหารกลางวันมานั่งกินที่เก้าอี้ยาวในสวนสาธารณะตรงหัวมุมสี่แยกไฟแดงเพราะภายในร้านค้าแห่งนั้นไม่มีโต๊ะว่างสำหรับพวกเต่าคลาน บริษัทอิรอนเดลอยู่ในย่านเศรษฐกิจของเมืองอันซี พื้นที่ทุกตารางนิ้วถูกจัดสรรไว้เพื่อการทำธุรกิจ แม้กระทั่งบริเวณใต้ดินยังถูกขุดลึกลงไปถึง 5ชั้นเพื่อสร้างลานจอดรถ สภาพแวดล้อมรอบด้านบีบบังคับให้ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทีละน้อย ความคิดที่อยากจะตัดขาดกับมาร์ค ถูกยกเลิกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “คนอื่นไปกินข้าวกันที่ไหนคะ” ฉันคิดจะหาทางหนีหน้าเขา ในวันต่อๆ ไป “ส่วนใหญ่จะทำกับข้าวใส่เบนโตะมากินที่ห้องพักสำหรับพนักงาน ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าร้านฟาสต์ฟู้ดกับอูเบอร์อี้ต (Uber-eats) ถ้าอยากนั่งกินสบายๆ ในร้านอาหารต้องโทรจองล่วงหน้าอย่างน้อยสองสามวัน” ฉันสงสัยว่าที่ผ่านมาหนุ่มโสดอย่างมาร์คกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นมื้อเที่ยงแบบนี้ทุกวันหรือเปล่า และคาดเดาไปเองว่าผู้ชายที่แต่งตัวโก้เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคงจะไม่หิ้วเบนโตะมากินที่ทำงานแน่นอน “รู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนประเมินผลการฝึกงานให้คุณ” “ต้องเป็นอลิเซียอยู่แล้ว” ฉันตอบด้วยความมั่นใจ “ยังมีอีกหนึ่งคน” มาร์คเปิดขวดน้ำ ยกดื่ม เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าจะได้ยินข่าวร้าย... “หวังว่าจะไม่ใช่คุณนะ” วิญญาณของฉันลงไปคุกเข่าวิงวอนต่อพระเจ้า “เดาถูกเผงเลย” เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา อย่างผู้ที่กุมชัยชนะอยู่ในกำมือ เวรกรรม...ฉันไปทำบาปหนักที่ไม่สมควรได้รับการละเว้นโทษ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? “ผมรู้ว่าการฝึกงานครั้งนี้สำคัญกับคุณมาก” “อะไรที่มันผ่านมาแล้ว ถือว่าเราอโหสิกรรมให้กันเถอะนะคะ” ฉันฝืนยิ้มให้มาร์ค ทั้งที่ในใจอยากจะกรี๊ดใส่หน้าเขา “ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้ เราสองคนมีหลายสิ่งที่ติดค้างกันมากเกินไป” “ฉันไม่ใช่คนผิดสักหน่อย” บ้าที่สุด...ฉันเป็นฝ่ายที่โดนหลอกนะ ! “ไม่มีใครผิดทั้งนั้น ผมกับคุณแค่มีเรื่องราวที่ไม่เข้าใจกัน” ฉันเอนหลังพิงม้านั่งอย่างอ่อนล้ากำลังใจ แอบส่ายศีรษะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะโต้เถียงกับคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเอง “บอกมาตามตรงเถอะค่ะ ว่าคุณต้องการอะไร” มาร์คนั่งเหยียดหลังตรง ก่อนจะหันมามองด้วยสายตาที่เคยทำให้ฉันแทบจะลอยขึ้นไปอยู่บนอากาศ เพียงแต่เวลานี้ ฉันถูกเขาทำให้กลายเป็นผู้หญิงที่กร้านโลกมากกว่าในอดีต “ผมต้องการให้คุณช่วยเหลืออะไรบางอย่าง” “คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรมนะคะ” ฉันพูดดักคอเขาเอาไว้ก่อน มาร์คยังมีรอยยิ้มที่เป็นต่อ “ไม่ใช่แน่นอน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม