ภาพคฤหาสน์หลังใหญ่ราวกับราชวังเด่นเต็มสองตา เมื่อรถแล่นมาจอดที่บริเวณหน้าตึกใหญ่ของตระกูลอัครพรชัย เสียงครางฮือด้วยความพึงพอใจของนารีดังเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้หญิงสาวจำต้องละสายตาจากภาพวิจิตรเบื้องหน้ามาจ้องมือบางที่ประสานกันอยู่ที่ตักแทน
เพราะเวลาที่หล่อนได้ยินเสียงของนารีแสดงความดีใจทีไร เมื่อนั้นหล่อนก็ต้องเผชิญหน้ากับการโกหกหลอกลวงทุกที แต่ครั้งนี้เหมือนมันจะเลวร้ายที่สุด เพราะหล่อนต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นแค่ผักปลาตามตลาด กินเสร็จก็ขว้างทิ้ง
“ลงมาสิ นั่งบื้อทำไมอยู่ ฉันบอกให้ลงมา”
นารีกระชากประตูรถฝั่งหลานสาวให้เปิด ก่อนจะก้มลงกระซิบเสียงห้วนด้วยความไม่พอใจ ที่ดวงยิหวายังคงนั่งก้มหน้านิ่งราวกับหุ่นยนต์ ไม่ยอมฉีกยิ้มหวาน ๆ เหมือนกับที่หล่อนกำลังทำอยู่ในขณะนี้
หญิงสาวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเท้าลงมาจากรถญี่ปุ่นคันงาม ที่นารีไปหาเช่ามาพร้อมกับวานคนแถวห้องให้มาเป็นคนขับรถให้
“และก็ยิ้มด้วย ยิ้มให้มันหวาน ๆ ไอ้หมอนั่นมันจะได้หลง จะได้รักง่าย ๆ” นารีหันมากำชับหลานสาวอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับสาวใช้ที่วิ่งออกมาต้อนรับ
“ฉันมาพบว่าที่ลูกเขย คุณลักษกร”
“เชิญทางนี้ค่ะ” สาวใช้ผายมือเชิญให้แขกทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านใน โดยไม่ถามอะไรราวกับล่วงรู้มาก่อน
ระหว่างทางเดินที่แสนจะโอ่อ่า นารีก็ยังพยายามกระซิบกระซาบสั่งให้ดวงยิหวาทำตามแผนการที่หล่อนวางไว้ไม่หยุดหย่อน หญิงสาวพูดไม่ออกได้แต่ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
หล่อนมีทางเลือกหรือ...
สาวใช้พามาหยุดที่หน้าห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ก่อนจะเคาะประตูเบา ๆ สองครั้ง และหันมาพูดกับหล่อนและนารี
“เชิญข้างในค่ะ” พูดจบแม่สาวใช้ในชุดฟอร์มน่ารักก็เดินจากไป
เมื่อเห็นว่าอยู่กันตามลำพังแล้ว นารีก็รีบขู่หลานสาวอีกครั้ง
“ทำตามที่ฉันบอก แล้วฉันจะปล่อยแกกับน้อง ๆ ของแก” ก็เพราะเหตุผลนี้เหตุผลเดียวนั่นแหละ หล่อนถึงได้ยอมทำชั่วอีกครั้ง
“ค่ะ น้ารี” ก้มหน้ารับปากเสียงแผ่ว ขณะก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในห้องพักที่ใหญ่โตตามหลังนารี
ห้องนี้กว้างใหญ่มาก ใหญ่กว่าบ้านเช่าของหล่อนทั้งหลังเสียอีก ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยสีดำและสีขาว ความอันตรายแฝงอยู่ตามซอกมุมเต็มไปหมด และมันก็ทำให้หล่อนขาสั่นเทา เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินไปให้ถึงเก้าอี้ที่นารีเดินไปทรุดตัวลงนั่งแทบไม่มีเหลือ
แต่นั่นก็หาใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดไม่... เพราะเมื่อสายตาของหล่อนแลไปเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ที่ก้าวออกมาจากอีกส่วนหนึ่งของห้อง สมองของหล่อนก็เหมือนถูกฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา ลมหายใจคล้ายถูกดูดกลืน
คำว่า ‘เทพบุตรชั้นฟ้า’ คงยังน้อยไปกว่าสิ่งที่หล่อนกำลังเห็นอยู่ตรงหน้า
เขาหล่อได้อย่างน่าใจหาย หล่อเหลาไร้ที่ติ แม้เขาจะอยู่ในชุดลำลองสีฟ้าสบาย ๆ แต่กระนั้นรูปร่างเพรียว แข็งแกร่งก็ยังเต็มไปด้วยความสง่างาม หญิงสาวหัวใจเต้นกระหน่ำอยู่ภายในอก ดวงตาสีนิลระยับที่จับจ้องมองมาที่หล่อนนั้นช่างเต็มไปด้วยความชิงชัง เหยียดหยาม ดูหมิ่นและอะไรที่ไม่ดีอีกมากมายที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
หญิงสาวปากคอสั่น พยายามบังคับให้สายตาของตนเองละจากเรือนกายกำยำของบุรุษตรงหน้าอย่างเต็มกำลัง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีอะไรบางอย่างที่สามารถดึงดูดผู้คนที่พบเห็นได้
สาวน้อยจ้องเขม็งสำรวจไปทั่วใบหน้าหล่อเหลาแต่แสนจะบึ้งตึงตรงหน้าอย่างหลุดหลง ไล่ตั้งแต่ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมดุดันที่ช่างเข้ากันกับเครื่องหน้าอย่างเหมาะเจาะ ไม่ว่าจะเป็นเส้นคิ้วดกดำพาดเฉียงอยู่เหนือดวงตาคมกล้าสีนิลที่อยู่ท่ามกลางขนตายาวงอนราวกับอิสตรี แล้วไหนจะจมูกโด่งเป็นสันสวยงามที่อยู่เหนือริมฝีปากหยักบางเฉียบได้รูปอีก
เห็นแล้วหัวใจก็แทบละลาย อยากจะตายแทบเท้าของผู้ชายคนนี้นัก
หญิงสาวคิดอย่างอ่อนเพลียหัวใจ... แต่ไม่ใช่แค่หล่อนคนเดียวที่กำลังติดกับดักของเขา แม้แต่นารีน้าของหล่อนก็เผลอมองผู้ชายตรงหน้าอย่างตกตะลึงเช่นกัน
คนอะไร... ทั้งหล่อ ทั้งเท่ และแถมด้วยความดิบเถื่อนที่มันสะท้อนออกมาจากเรือนกายแกร่ง กำยำ ที่น่าจะสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเมตรตรงหน้าจนแสบตาไปหมด
และเหมือนเขาจะรู้ว่าหล่อนรู้สึกยังไง... เมื่อเห็นเขา เพราะรอยยิ้มหยันที่ระบายอยู่บนใบหน้าหล่อขั้นเทพนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจทันที
“หยุดอ่อยผมได้แล้ว! เพราะผมไม่ใช่ลักษกร”
ความชิงชังก่อเกิดเต็มกระแสเสียง ขณะที่มือหนาผายออกอย่างไม่เต็มใจนัก ให้หล่อนกับน้านั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้า
แม้จะรู้สึกตื่นตะลึงไม่น้อยที่แม่สาวนิสัยแพศยาคนที่ลักษกรเล่าจะงดงามราวกับเทพธิดาเช่นนี้
ใบหน้ารูปไข่ไก่ขาวเนียนตกแต่งด้วยเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบน่ามอง โดยเฉพาะดวงตากลมโตที่หวานฉ่ำน่าพิสมัยคู่นั้น มันถึงกับทำให้เขาหลุดหลงเลยทีเดียว ไหนจะเจ้าเรียวปากอิ่มเต็มสีแดงระเรื่อที่อยู่ภายใต้จมูกโด่งเชิดน้อย ๆ ของเจ้าหล่อนอีก
อยากจะรู้นักว่า... เจ้าปากอิ่มคู่นั้นจะให้ความรู้สึกหวานล้ำแค่ไหน
มาร์คัสพยายามสลัดเจ้าความคิด ที่อยากจะครอบครองเรียวปากนั้นให้กระเด็นออกจากสมองอย่างรวดเร็ว ความชั่วช้าเลวทรามของหล่อนนั้นมีมากกว่าเจ้าความสวยงามจอมปลอมนั่นอีก
กรามแกร่งขบกันเป็นสันนูนตลอดแนวขากรรไกร มือหนากำเข้าหากันแน่น ความขยะแขยงที่มีต่อหล่อนทำให้เขาแทบอาเจียน
ดวงยิหวารู้สึกอับอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
“แกเป็นใครไม่ทราบ ที่ฉันมานี่ก็เพราะต้องการมาพบกับว่าที่ลูกเขยของฉัน”
เมื่อได้สตินารีก็ตวาดออกไปด้วยชั้นเชิงที่คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า มาร์คัสจ้องมองผู้หญิงสองคนตรงหน้าด้วยสายตากระด้าง
“ผมคือมาร์คัสพี่ชายของลักษกร ผมจะตกลงกับพวกคุณแทนเขาเอง”