มาร์คัส ซามายาส อัครพรชัย บินจากกรีซมาถึงเมืองไทยช่วงบ่ายแก่ ๆ ของอีกวันหนึ่ง เขาลงจากเครื่องก็ขึ้นรถที่ลักษกรส่งมารับเดินทางไปยังคฤหาสน์ อัครพรชัย ทันที เขาอยากจะสะสางไอ้เรื่องบ้าบอ คอแตกนี่ให้จบ ๆ ไป จะได้กลับไปทำงานที่มีอยู่ล้นมือของตนเองเสียที
หนุ่มลูกครึ่งกรีซ - ไทย พ่นลมหายใจออกมา เมื่อรถลีมูซีนคันหรูสีดำวิ่งเข้ามาในเขตของคฤหาสน์อัครพรชัย ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าต้นไม้ ทางเดิน หรือแม้แต่สีของตัวตึก
เมื่อรถจอดสนิทเรือนร่างสูงใหญ่ของ มาร์คัส ก็ก้าวลงมาจากรถ ชายหนุ่มยืนเด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางคนรับใช้ที่ต่างพากันวิ่งออกมารับ
“สวัสดีค่ะคุณมาร์ส ป้านึกว่าคุณมาร์สจะไม่กลับมาหาป้าเสียแล้ว ป้าคิดถึงคุณมาร์สมากเลยค่ะ”
ป้าสร้อยแม่นมที่เคยเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กวิ่งเข้ามาสวมกอดด้วยความคิดถึง ชายหนุ่มกอดตอบ ก่อนจะกระซิบเสียงนุ่มกับหญิงชราที่ตนเองเคารพดุจแม่
“ผมก็คิดถึงป้าสร้อยครับ แต่งานทางนู้นยุ่งมาก ผมแทบไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากงาน”
ปลายจมูกโด่งฝังลงบนแก้มที่ตอบและเหี่ยวย่นตามกาลเวลาของป้าสร้อยด้วยความรักใคร่ และการกระทำของเขาก็เรียกเสียงกรี๊ดของสาวใช้หลายคนที่ยืนอยู่ข้างหลังป้าสร้อยให้ดังระงมขึ้น พวกนางต่างอิจฉาป้าสร้อยกันเป็นแถว
“มีอะไรก็ไปทำไป อย่ามายืนเสนอหน้าแถวนี้”
ป้าสร้อยหันไปดุแม่สาว ๆ ที่ยืนมองมาร์คัสตาเป็นมันอยู่ข้างหลังด้วยความไม่พอใจ
“ยังดุเหมือนเดิมนะครับเนี่ย” มาร์คัสแซวหญิงชรา ขณะประคองท่านให้เดินเข้าไปในคฤหาสน์
ห้องรับแขกกว้างขวาง ตกแต่งด้วยกระเบื้องและหินอ่อนชั้นดีที่ส่งมาจากต่างประเทศ แจ่มชัดอยู่ในสายตา บ้านของเขา บ้านที่เขากับแม่เคยอยู่ มาร์สแค่นหัวเราะอยู่ภายในใจ
ตอนนี้มันไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว... ไม่มีอะไรเป็นของเขาเลย แม้กระทั่งพ่อของตนเอง
หากไม่ได้รับปากมารดาไว้ก่อนตายล่ะก็ จ้างให้เขาก็ไม่มีวันมาเหยียบบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน
“เดี๋ยวป้าไปเอาน้ำมาให้ทานนะคะ คุณมาร์สเชิญนั่งก่อน”
ดวงตาที่กำลังกวาดมองไปทั่วห้องด้วยความแข็งกร้าว อ่อนแสงลงเมื่อเปลี่ยนมาจ้องมองป้าสร้อยแม่นมของตนเอง
“ครับป้าสร้อย... เอ่อ แล้วนี่ลักษกรไม่อยู่หรือครับ เขานัดผมไว้วันนี้นี่”
คิ้วเข้มสีดำสนิทยกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มุมปากหยักสวยจะยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน
“คำพูดของเขาเชื่อไม่ได้อยู่แล้วนี่ ผมไม่น่าคาดหวังอะไรกับเขาเลย”
มาร์คัสหมุนกายสูงใหญ่ของตนเองเดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาชั้นดีที่ท่าทางจะแพงหูฉี่
“คุณลักษกรไปหาคุณพรทิวา คู่หมั้นค่ะ” ป้าสร้อยอ้ำอึ้งตอบออกมาไม่เต็มเสียงนัก
ชายหนุ่มแค่นยิ้ม “แล้วแม่ของเขาล่ะ”
“ไปด้วยกันค่ะคุณมาร์ส” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะล้วงมือหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อดังรุ่นล่าสุดออกมากดเบอร์โทรออก
ป้าสร้อยเห็นชายหนุ่มที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะต้องการความเป็นส่วนตัว จึงรีบปลีกตัวออกไปอย่างรู้มารยาท
“นายอยู่ที่ไหน ลักษกร” มาร์คัสกรอกเสียงห้วนกับโทรศัพท์ทันทีเมื่อคู่สนทนาอีกฝากรับสาย
“หากนายไม่กลับมาภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ พี่จะกลับเอเธนส์” ชายหนุ่มกดปิดโทรศัพท์ทันที ดวงตาสีนิลวาวโรจน์ด้วยความเกรี้ยวกราด
สิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดในชีวิตรองจาก ผู้หญิง ก็คือ การไม่ซื่อสัตย์กับคำพูดตนเอง
ลำแสงสีแดงฉานของดวงตะวันยามอัสดงสะท้อนขึ้นมาเป็นลำเส้นสวยแต้มขอบฟ้า สายพระพายแผ่วพลิ้วนำความเย็นฉ่ำของอากาศยามสนธยามาต้องผิวกาย มือบางรีบยกขึ้นสวมกอดอกไว้ทันทีที่ความเหน็บหนาวแล่นตรงเข้าถึงหัวใจ
หล่อนกำลังจะกลับบ้าน...
บ้านหรือ? มันเหมือนบ้านที่ไหนกัน
ความอบอุ่น ความเอื้ออาทรมันไม่เคยมีอยู่เลยในบ้านเช่าหลังนี้
มีแต่คนใจร้าย... น้านารีใจร้าย!
เท้าบอบบางขาวสะอาดผิดกับรองเท้าเก่าแก่ที่ใส่ รีบก้าวเร็วขึ้น เมื่อนึกถึงคำพูดคาดโทษของนารีที่กรอกหูหล่อนไว้ตลอดคืนที่ผ่านมา
“รีบกลับมาเลยนะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะขายน้องแกจริง ๆ”
ความอำมหิตแล่นเข้าสู่หัวใจชอกช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า นารีไม่เคยมีเมตตากับหล่อนแม้แต่น้อย
“ยิหวาจะทนเป็นครั้งสุดท้าย...”
ให้คำมั่นกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่า น้ำตารื้นเต็มสองตา เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะต้องไปเผชิญหน้า
แบล็กเมล์!
คำนี้ฟังแล้วมันทำให้หล่อนรู้สึกขยะแขยงตัวเองเสียจริง ๆ
“ไปไหนมา จำไม่ได้หรือไง ว่าวันนี้เรามีนัดกับไอ้ลักษกรมันน่ะ”
เมื่อเหยียบย่างเข้ามาภายในบ้านเช่าหลังเล็ก น้ำเสียงแหลมปรี๊ดของนารีก็ทะลวงเข้ามาในโสตประสาท
“ยิหวาไปทำธุระมาค่ะ”
สาวน้อยหลบตา ขณะอ้อมแอ้มตอบออกไปไม่เต็มเสียงนัก หล่อนไม่ชอบโกหก เพราะโกหกทีไร ก็มักจะถูกจับได้ทุกที แต่ครั้งนี้หล่อนจำเป็นต้องทำ แม้ว่ามันจะทำได้ไม่ดีนักก็ตาม
“ธุระอะไร บอกมานะ”
นารีเดินทะมึนเข้ามาหา จ้องหน้าหลานสาวอย่างไม่ไว้ใจ หล่อนกลัวว่าดวงยิหวาจะไปตามหาน้องสาวทั้งสองคนของตนเอง
แต่ตามยังไงก็คงไม่เจอหรอก... นารีหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
“คือ... ยิหวาไปเดินเล่นมาค่ะ”
หญิงสาวรีบเก็บความจริงที่หล่อนออกไปตระเวนตามหาน้องทั้งสองคนใส่เซฟล็อกกุญแจเอาไว้อย่างรวดเร็ว ขณะเงยหน้าขึ้นจ้องมองนารี กลีบปากงามคลี่ออกจากกันเป็นรอยยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มเหี่ยวเฉาจนน่าเวทนา
“แต่ก็ช่างเถอะ รีบไปแต่งตัวซะ ฉันนัดไอ้หน้าจืดไว้ สองทุ่ม” นารียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้ามาหาหลานสาว
“แต่งตัวให้สวย ๆ ล่ะ ใส่ชุดที่ฉันพาดไว้บนเก้าอี้นะ ชุดนั้นรับรองแกจะดูเหมือนนางฟ้าเลยทีเดียว ต่อให้มันรักคู่หมั้นขนาดไหน มันก็ต้องเปลี่ยนใจ” หญิงวัยกลางคนฉีกยิ้มหวานกว้างอย่างถูกใจกับแผนที่ตนวางล่อเหยื่อเอาไว้
นางฟ้าเหรอ...
ดวงยิหวาเยาะหยันตัวเองอยู่ภายในใจ นางมารร้าย ต่างหากล่ะ ที่มันเหมาะเจาะคู่ควรกับผู้หญิงที่หลอกลวงผู้ชายไม่เลือกหน้าแบบหล่อน