ผมกับไอ้คาลเดินมาถึงร้านก็จัดการเปิดร้านทันที วันนี้ลูกค้าแน่นร้านเหมือนเดิม ผมกับไอ้คาลเราต่างช่วยกันทำลาบจนหัวหมุน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเกือบถึงตีสอง ผู้คนที่แน่นร้านเริ่มบางตาลงไปมาก
“เหนื่อยไหม”
ไอ้คาลเอ่ยถามขณะยื่นน้ำส่งมาให้ผม
“บ่เมื่อยดอก มึงเด้” (ไม่เหนื่อยหรอก มึงล่ะ)
“ไม่เหนื่อยหรอก กูชินแล้ว”
มันซอยงานผมได้หลายอีหลีครับ ผมได้เงินมากะแบ่งมันเทือละสองสามร้อยพอให้ได้ใช้ซื้อของส่วนโต (มันช่วยงานผมได้เยอะจริง ๆ ครับ ผมได้เงินมาก็แบ่งมันครั้งละสองสามร้อย พอได้ใช้จ่ายซื้อของส่วนตัว)
“เดี๋ยวกูไปล้างจานก่อนเด้อ”
ไม่ทันที่ผมจะได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ รถตู้สีดำเกือบสิบคันก็มาจอดเทียบที่หน้าร้าน
ไม่กี่อึดใจชายชุดสูทสีดำดูท่าทางน่าเกรงขามจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบคนก็เดินเข้ามาภายในร้าน ผมจำหน้าผู้ชายคนนี้ได้แม่นเขาคือคนที่แวะมาซื้อลาบกับผมบ่อย ๆ แถมยังให้แบงค์พันไม่ต้องทอนอีก ส่วนคนที่เดินนำเข้ามาแต่งตัวดูดีมีชาติตระกูลดวงตาเฉี่ยวคม ผมสีดำขลับลับกับสันจมูกโด่ง เขาคงเป็นเจ้านายของคนที่มาซื้อลาบทุกวันสินะ มองดูเผิน ๆ ผมก็คุ้นหน้าเขาเหมือนกันนะ หน้าเขาเหมือนใครบางคนที่ผมรู้จัก
ใช่แล้ว! หน้าเขาเหมือนไอ้คาลนี่เอง
“สวัสดีครับ”
คนที่เข้ามาใหม่เอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท
“สวัสดีครับ”
ผมยกมือสวัสดีตอบรับอย่างเป็นมิตร
“ผมชื่อคิลนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเซียง”
เขาส่งยิ้มบาง ๆ พร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าทำผมงุนงง เขารู้จักผมได้ยังไงกัน!?
“พอดีว่าภรรยาแล้วก็น้องชายผมเนี่ยเขาติดใจฝีมือ ลาบของคุณมากเลย ผมก็เลยอยากจะเห็นหน้าคนทำลาบกับตาตัวเอง”
อ๋ออ~ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
“โดยเฉพาะน้องชายผมนะครับ ดูท่าเขาจะติดใจจนลืมกลับบ้านกลับช่องไปเลยล่ะ”
ฟังดูแปลก ๆ แฮะ ลาบฝีมือผมมันอร่อยแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับที่น้องชายเขาไม่กลับบ้านด้วยล่ะ
“ที่นี่มีเมนูอะไรแนะนำบ้างไหมครับ”
“กะมีลาบนี่ล่ะครับ แซบสุดแล้ว” (ก็ลาบนี่แหละครับ อร่อยสุดแล้ว)
“งั้นขอลาบแบบพิเศษที่หนึ่งครับ”
“ได้เลยครับ นั่งรอจักคาวเด้อ คาล ๆ มึงไปตักน้ำให้ลูกค้าแน” (ได้เลยครับ นั่งรอสักครู่นะ คาล ๆ มึงไปตักน้ำให้ลูกค้าหน่อย)
ผมหันไปบอกไอ้คาลที่มันยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ มันจึงรีบพยักหน้าแล้วทำตามที่ผมสั่งอย่างว่องไว ผมเองก็รีบจัดการฟักลาบสูตรพิเศษให้เขาอย่างบรรจง ไม่ถึงสิบนาทีลาบสูตรพิเศษก็ถูกวางลงตรงหน้าลูกค้าวีไอพีของผม
“ลองซิมเบิ่งครับ ถืกปากบ่” (ลองชิมดูครับ ถูกปากหรือเปล่า)
ผมฉีกยิ้มกว้างส่งให้ รอให้คนตรงหน้าจ้วงตักลาบเข้าปากก่อนจะค่อย ๆ เคี้ยวในปากช้า ๆ
“อร่อยสมกับที่น้องชายผมติดงอมแงมจริง ๆ ด้วย”
เขาพูดกับผมแต่กลับหันไปมองไอ้คาลแปลก ๆ ไอ้คาลเองมันก็เอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร
“เท่าไหร่ครับ”
เขายันตัวลุกขึ้นยืนแล้วล้วงกระเป๋าตังค์ขึ้นมาเตรียมจ่ายทั้งที่กินเข้าไปได้แค่คำเดียวเท่านั้น
“คือกินหน่อยแท้ครับ มันบ่แซ่บเบาะ” (ทำไมกินน้อยจังเลยครับ มันไม่อร่อยหรอ)
ผมหน้าถอดสี รู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา
“เปล่าครับ มันอร่อยและผมก็ชอบมาก รสชาติดีกว่าที่คิดซะอีก แต่ผมไม่ค่อยมีเวลา แค่แวะมาทำธุระให้น้องชายแถวนี้นะครับ”
“อ๋อ จังซั่นให้ผมห่อให้บ่ครับ” (ถ้างั้นให้ผมห่อให้ไหมครับ)
“ได้ก็ดีครับ รบกวนด้วยนะ”
เขาฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับส่งลาบมาให้ ผมจึงยื่นมือเข้าไปรับไว้แล้วส่งต่อให้ไอ้คาลเอาไปใส่ถุงให้เรียบร้อย
“หกสิบบาทครับ”
ผมหันไปบอกราคาอาหาร เขาจึงรีบควักตังค์ขึ้นมาจ่ายอย่างรวดเร็ว
“นี่ครับ ไม่ต้องทอน”
“โอ๋ ให้หลายแท้ครับ ผมบ่เอาหลายปานนี้ดอก” (ให้เยอะจังครับ ผมไม่เอาเยอะขนาดนี้หรอก)
ผมรีบยกมือขึ้นโบกเบา ๆ เพื่อเป็นการปฏิเสธเมื่อคนตรงหน้าหยิบแบงค์สีเทาออกมาส่งให้ผม มองดูไม่น่าจะต่ำกว่าสิบใบเห็นจะได้
“รับไปเถอะครับ เงินน้องชายผมน่ะ มันฝากมา”
“มันหลายโพดครับ ผมรับไว้บ่ได้อีหลี” (มันเยอะไป ผมรับไว้ไม่ได้จริง ๆ ครับ)
ถึงผมจะเห็นแก่เงิน แต่จะให้รับเงินจำนวนมากขนาดนี้แลกกับลาบแค่จานเดียว ผมทำไม่ได้หรอกนะ
“น้องชายผมมันรวยน่ะครับ เงินแค่นี้ไม่กระเตื้องกระเป๋าตังค์มันหรอก นี่ผมก็เพิ่งกลับมาจากซื้อตลาดให้น้องชายนะครับราคาตั้งเกือบสิบล้านแหนะ ผมไม่เห็นมันบ่นซักคำ สงสัยจะชอบที่ตรงนั้นมาก”
โอ้คือสิรวยแท้อีหลีล่ะซั่นน่ะ (โห!! สงสัยจะรวยจริง ๆ นั่นแหละ)
“รับไปเถอะ”
ไอ้คาลเดินเข้ามาสะกิดไหล่ผมเบา ๆ พร้อมกับยื่นถุงลาบให้ลูกค้า
“จังซั่นกะฝากขอบคุณเพินหลาย ๆ เด้อครับ” (ถ้างั้นก็ฝากขอบคุณเขาด้วยนะครับ)
ผมยกมือขอบคุณยกใหญ่ แล้วยื่นมือเข้าไปรับเงินมาถือไว้อย่างเกรงใจ
“หวังว่าเราคงมีโอกาสได้เจอกันมากขึ้นนะครับ สู้ ๆ นะ”
เหมือนประโยคหลังเขาจะหันไปบอกกับไอ้คาลมากกว่านะ หรือว่าผมคิดไปเอง?
ผมกับไอ้คาลยืนมองดูขบวนรถตู้เคลื่อนไปจนสุดสายตา ขณะที่ผมก็ได้แต่จ้องมองท้ายรถด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไมทำหน้าอย่างงั้นวะ ไม่ดีใจหรอ”
ไอ้คาลเอ่ยถามแล้วเดินไปปิดประตูร้านลง
“อันดีใจมันกะดีใจอยู่ แต่กูว่ามันคือแปลกแท้วะ” (ไอ้ดีใจมันก็ดีใจอยู่หรอก แต่กูว่ามันแปลก ๆ นะ)
“แปลกยังไงวะ”
“คนอีหยังสิซื้อลาบกินจานละหมื่น กูบ่เคยพ้อ” (คนอะไรจะซื้อลาบจานละหมื่น กูไม่เคยเจอ)
“ก็คนที่เขาชอบจริง ๆ ไง ไม่เห็นแปลกเลย ถ้ากูรวยกูก็จะซื้อลาบจานละหมื่นจากมึงเหมือนกัน”
“เป็นหยังวะ” (ทำไมวะ)
“ก็เพราะว่ากูชอบไง”
“เว่าโพดอีหลี ประสามักลาบกะสิจ่ายฮอดหมื่นพุ่นติ” (พูดเวอร์จริงนะมึง กะอีแค่ชอบกินลาบถึงกับต้องจ่ายเป็นหมื่นเลยเหรอวะ)
ผมสายหน้าพัลวันขณะที่กำลังใช้ผ้าสีขาวเช็ดช้อนในตะกร้า
“เปล่า กูไม่ได้บอกว่ากูชอบลาบ… กูชอบมึง”
แกร๊ง!!!
ทันทีที่จบประโยค ช้อนที่ถือเอาไว้ในมือก็ร่วงลงสู่พื้นทันที
ผมนิ่งอึ้งไม่อยากจะเชื่อหู เมื่อกี้ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม อยู่ ๆ หัวใจผมก็เริ่มเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวจนควบคุมไม่อยู่ เหมือนภาพเหตุการณ์ถูกหยุดไว้ชั่วขณะ
“กูล้อเล่นน่ะ”
ไอ้คาลว่าแล้วก็ก้มลงเก็บช้อนที่กระเด็นกระดอนตกตามพื้นขึ้นมาวางบนโต๊ะตามเดิม
“ห่ามึง กูตื่นเบิด” (ไอ้ห่า! กูตกใจหมด)
ถึงปากจะบอกแบบนั้นแต่ทำไมผมกลับรู้สึกเสียดายที่มันเป็นแค่คำล้อเล่นก็ไม่รู้ นี่ผมกำลังคาดหวังอะไรอยู่ อยากให้มันชอบผมจริง ๆ อย่างนั้นหรอ ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ