“กลับมาแล้วววว”
เสียงมาก่อนตัว ผมผลักประตูเข้ามาในห้องเห็นไอ้คาลมันรีบเก็บกองเอกสารอะไรซักอย่างลงในลิ้นชักของมัน
“ทะ ทำไมวันนี้มาไวจังวะ”
ปกติแล้วผมจะออกไปเตะบอลกับพวกไอ้แคนก่อนค่อยกลับบ้าน แต่ช่วงนี้มันไม่ปกติแล้วน่ะสิครับพวกผมเลยงดกิจกรรมทุกอย่างไว้ชั่วคราว
“บ่ได้เตะบอลเลยมาไว แล้วมึงเฮ็ดหยังหนิ คือมีฮอดหนังสือตลาดหุ้น” (ไม่ได้เตะบอลเลยกลับไว แล้วมึงทำอะไรเนี่ยทำไมถึงมีหนังสือตลาดหุ้นด้วย)
ผมพยักพเยิดหน้าไปที่แฟ้มเอกสารสีดำที่มันวางอยู่ข้าง ๆ อีกฝั่งหนึ่ง ไอ้คาลเห็นดังนั้นก็รีบคว้าแฟ้มเอกสารยัดลงใส่ลิ้นชักมันทันที
“เอ่อ…กูก็ศึกษาไปงั้นแหละ เผื่อได้มีเงินกับเขาบ้าง”
“โอ้ หัวนักธุรกิจคักเนาะมึง สิมาเล่นหุ้นหยังมาเว่าแนวไกลโตแท้ มาเล่นเลขนำกูหนิ แนวมันซื้อง่ายขายคล่อง” (หัวนักธุรกิจจังเลยนะมึง จะมาเล่นหุ้นอะไรไกลตัวขนาดนั้น มาเล่นเลขกับกูนี่มา ซื้อง่ายขายคล่อง)
“เล่นเลข? อะไรคือเล่นเลขวะ”
“หวยแหมะ ฮู่จักอยู่เบาะ” (เล่นหวยน่ะ รู้จักไหม)
“อ๋อ~ หวย”
มันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้
“มืออื่นกูสิพาเล่น มือนี่ไปตลาดก่อนหนิ ของสดเบิดแล้ว” (พรุ่งนี้กูจะพาเล่น แต่วันนี้ไปตลาดก่อนของสดหมดแล้วเนี่ย)
ว่าแล้วผมก็ถอดชุดนักศึกษาออกเปลี่ยนเป็นชุดลำลองธรรมดา
“ปะ”
ผมหันไปสะกิดไอ้คาลที่มันเอาแต่นั่งนิ่งจ้องมองดูผม
“แนมหยังวะ ไปนำบ่หนิ” (มองอะไรวะ ไปด้วยไหมเนี่ย)
“ปะ ไปสิ”
มันว่าแล้วก็ลูบหน้าลูบตาลวก ๆ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นแล้วเดินตามผมลงมา
“เอ้าพี่เซียงสุดหล่อ วันนี้พาใครมาด้วยคะเนี่ย”
เสียงใสจากน้องแป้งแม่ค้าสาวขายผักสดร้องถามพร้อมกับบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย
“นี่หมู่อ้าย บักคาล” (นี่เพื่อนพี่ ชื่อคาล)
“แหมมม~ เคยอยากได้ผัวมาทั้งชีวิต แต่วันนี้เปลี่ยนใจแล้ว ไม่อยากได้ผัวเพราะว่าอยากขึ้นคาล อุ้ย! เขินจังเลยอะ”
เจ้าหล่อนบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย ตัดไปที่ไอ้คาล มันเดินเข้ามาหลบที่หลังผมอย่างหวาดกลัวในความแรงของหล่อนแต่ผมชินแล้วหล่ะครับ ไม่นานเดี๋ยวป้าแสงจันทร์ก็จะเดินเข้ามาสกัดดาวยั่ว เชื่อผมสิ
แป๊ะ!!
“โอ้ยยย!!! แม่ เจ็บนะ!”
เจ้าหล่อนลูบหัวปรอย ๆ เพราะโดนถาดตาชั่งฟาดเข้าที่หัวอย่างจัง
เป็นจังได๋ล่ะครับ เป็นคือคำผมเว่าบ่ (เป็นยังไงล่ะครับ เป็นเหมือนคำพูดผมไหมล่ะ)
“แรดจริง ๆ นะมึง ไปล้างผักหลังบ้านเลยไป”
“แม่อะ!!”
เจ้าหล่อนหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าเข้าไปในบ้านอย่างไม่สบอารมณ์
“อย่าถือสามันเลยนะพ่อหนุ่ม มันก็เป็นคนอย่างนี้แหละแรดได้พ่อมันไม่มีผิด”
ป้าแสงจันทร์ว่าขณะ ยื่นผักที่สั่งไปให้ผม
“จักบาทครับป้า” (เท่าไหร่ครับป้า)
“ทั้งหมดสามร้อยจ้ะ”
“ฮะ!? คือแพงแท้ครับ สุเทือมันสองร้อยบ่แมนติครับ” (ทำไมแพงจังเลยครับ ปกติมันสองร้อยไม่ใช่หรอ)
ผมเบิกตากว้าง เพราะอยู่ ๆ ราคาผักก็พุ่งสูงเกินกว่าปกติ
“ก็เมื่อสองวันก่อนน่ะสิ เจ๊เจ้าของที่แกปรับราคาค่าเช่าแผงขึ้น ของในตลาดเลยปรับขึ้นตามเกือบเท่าตัวเลย ลำบากกันไปหมด”
“ป๊าดดด!! เงินผมสิพอค่าเนี่ยบ่น้อบัดหนิ” (โห! แล้วตัวค์ผมจะพอค่าเนื้อหรือเปล่าเนี่ย)
“งั้นเอ็งเอาผักไปก่อนก็ได้ ไว้ขายได้ค่อยเอามาจ่ายป้า”
“เอาซั่นเบาะครับ ผมคึเกรงใจแท้ล่ะ” (เอาอย่างงั้นหรอครับ ผมเกรงใจจังเลย)
“ไม่ต้องเกรงใจ ๆ คนกันเองทั้งนั้น”
ป้าแสงจันทร์ยิ้มกว้างส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณหลาย ๆ เด้อครับป้า จังได๋มื้ออื่นผมสิฟ่าวเอาเงินมาจ่ายเด้อครับ ผมหัวก่อจ่ายค่าเทอมไป มันเลยบ่มีเงินสำรอง” (ขอบคุณมาก ๆ นะครับป้ายังไงพรุ่งนี้ผมจะรีบเอามาจ่ายให้นะครับพอดีผมเพิ่งจ่ายค่าเทอมไปไม่ได้สำรองเงินไว้เลย)
ผมก้มหัวขอบคุณป้าแสงจันทร์ยกใหญ่ รู้สึกเกรงใจแกไม่น้อย แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะครับผมไม่มีตังค์จริง ๆ นี่
“ถ้าตลาดตรงนี้ของแพงเราก็ไปซื้อที่ตลาดอื่นไม่ได้หรอวะ”
ไอ้คาลเอ่ยถามขณะเดินตามหลังถือของให้ผม
“ซื้อไสล่ะ ตลาดแถวนี้กะเป็นของเจ๊มานีเบิดนั่นล่ะ ยายอันนี้กะโคตรขี่ถี่ กูมาอุกอั่งแท้ล่ะ บ่แมนสิหลุบเบาะน้อกู” (ซื้อไหนวะตลาดแถวนี้ก็เป็นของเจ๊มานีหมดนั่นแหละ แกขี้เหนียวจะตาย กูโคตรหนักใจเลย สงสัยจะขาดทุนซะแล้วล่ะกู)
“อะไรคืออุกอั่งวะ”
“อุกอั่งกะหนักอกหนักใจนั่นล่ะ”
“แล้วหลุบล่ะ”
“เอ้า! บักห่าหนิ จังแมนมึงถามดุ ขาดทุนแหม ฮู่จักอยู่เบาะ” (ไอ้ห่า ถามมากจังวะ ขาดทุนน่ะรู้จักไหม)
“อ๋ออ~ ขาดทุน”
มันพยักหน้าหงึกหงัก แล้วหยิบสมุดพกเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจดยิก ๆ
“เฮ็ดหยังวะ” (ทำไรวะ)
“จดไว้ เดี๋ยวกูลืม”
“มึงอยากเว่าอีสานเป็นสั่นเบาะ” (มึงอยากพูดภาษาอีสานได้งั้นหรอ)
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก กูแค่อยากฟังมึงพูดรู้เรื่อง”
“หึหึ มีความพยายามเนาะมึง”
“อะไรที่มันเกี่ยวกับมึง ต่อให้ยากกว่านี้กูก็จะทำ”
มันว่าพร้อมกับจ้องมองผมด้วยสายตามุ่งมั่น ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก
บักห่าหนิ มันมักเว่าให้ผมขนคีงลุกสุเทือเลยวะ (ไอ้นี่ มันชอบพูดให้ผมขนลุกอยู่เรื่อยเลย)
“เมือปะ ได้ของครบแล้ว” (กลับปะ ได้ของครบแล้ว)
ผมหันไปบอกก่อนจะเดินนำออกมาจากตลาด โชคดีหน่อยที่ได้ไอคาลมาช่วยถือของให้ ไม่งั้นผมคงได้หอบคนเดียวจนพะรุงพะรังเหมือนทุกครั้งแน่
“เด็กพวกนี้ทำอะไรกันวะ”
ไอ้คาลเอ่ยถามขณะที่เรากำลังจะเดินผ่านหน้าวัด ผมมองตามที่มันชี้ก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังใช้หนังสติ๊กยิงอะไรบางอย่างอยู่บนต้นไม้
“แมนสูพากันเฮ็ดหยังน่ะ เขตวัดเด้หนิสู” (ทำอะไรกันน่ะ นี่มันเขตวัดนะเว่ย)
ทันทีที่ผมตะโกนบอกไอ้พวกเด็กหัวเกรียนทั้งหลายก็วงแตกกระเจิงวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ผมเดินเข้าไปที่โคนต้นไม้ก็พบกับถุงตาข่ายที่มีกิ้งก่าอยู่ด้านในเกือบสิบตัว
“โอ้ยน้อ! เด็กน้อยซุมห่านี่ จันไรไฟไหม้ตายแม่มึงแท้วะ ในวัดในวากะบ่เว้น” (ไอ้เด็กพวกนี้ โคตรจันไรเลยว่ะ ในเขตวัดก็ไม่เว้น)
“อะไรวะ”
ไอ้คาลชะโงกหน้าดูถุงตาข่ายในมือผมอย่างสนใจ
“ขี้กะปอม” (กิ้งก่า)
“อ๋ออ~”
มันพยักหน้าหงึกหนักรับรู้
“ตายเบิร์ดแล้วแม่นบ่หนิ โอ้ะ!! ยังโตนึงตั๊วหนิ” (ตายหมดแล้วมั้งเนี่ย เฮ้ย! รอดตัวหนึ่งนี่หว่า)
ผมเขย่าถุงตาข่ายก่อนจะแกะเชือกแล้วจับคอกิ้งก่าออกมา เพื่อให้มันได้วิ่งกลับไปบนต้นไม้ตามเดิม
“มันยังไม่ตายเหรอวะ กูขอจับบ้างดิ”
ไอ้คาลว่าอย่างตื่นเต้น
“เอาตี้ล่ะ” (เอาสิ)
ผมจับคอกิ้งก่ายื่นส่งให้มัน นึกว่ามันจะจับตรงคอกิ้งก่า แต่มันเสือกเอื้อมมือไปจับตรงด้านหน้า ไม่ต้องเดาก็พอที่จะรู้ครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“โอ้ยยย!!! เซียง มันกัดมือกู”
ไอ้คาลรีบชักมือออกไปสะบัดด้วยความเจ็บ
“ฮ่า ๆ ๆ โอ๊ยน้อออ! มึงคึปึกตายแม่มึงแท้ เอามือไปใส่ปากมันกะกัดตั๊ว” (ทำไมมึงโง่จังวะ เอามือไปใส่ปากมันก็กัดสิ)
ผมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น ไอ้นี่มันตลกจริง ๆ ผมไม่เคยเห็นใครโง่ได้ขนาดนี้มาก่อน อยู่กับมันนี่มีสีสันจริง ๆแต่ละวันสรรหาแต่อะไรก็ไม่รู้มาให้ผมได้หัวเราะอยู่เรื่อย
“โคตรเนรคุณเลย! กูเป็นคนช่วยชีวิตมันแท้ ๆ ยังจะแว้งมากัดกูได้ เอาลูกปืนกรอกปากเลยดีมั้ยเนี่ย”
มันด่าไล่หลังกิ้งก่าอย่างเดือดดาล แต่กิ้งก่าตัวนั้นก็ไม่อยู่ฟังแล้วล่ะครับ มันวิ่งหนีขึ้นบนต้นไม้สูงมองไม่ทันแล้ว
“แล้วพวกที่เหลือมึงจะทำไงเนี่ย ตายหมดแล้ว”
“ตายกะกินทอนั่นตั๊ว” (ตายก็กินน่ะสิ)
ไอ้คาลเบิกตากว้างพร้อมกับส่ายหน้าพัลวัน
“อย่าว่าบ่เคยกินเถอะ” (อย่าบอกนะว่ามึงไม่เคยกิน)
“เออ ดิกูไม่เคยกิน”
“ป๊าดดด บักห่าหนิ มึงพลาดของแซบได้จังได๋วะ ปิ้งแห่ม ๆ แกล้มเหล้าหนิคักแท้เด้ อาหารชั้นสูงมึงบ่ฮู่ติ พุ่น อยู่เทิงกกไม้” (โห!! มึงพลาดของอร่อยได้ไงวะ ย่างกรอบ ๆ แกล้มเหล้านี่โคตรสุดยอดเลยนะ อาหารชั้นสูงน่ะรู้จักไหม โน่นอยู่บนต้นไม้)
“ตามสบายเลย กูต้มมาม่ากินแล้วกัน เชิญมึงแซ่บคนเดียวเถอะ”
“ลองจักเทือหมอ แล้วมึงจะติดใจเซือกู กูสิก้อยสุดฝีมือเลย” (ลองสักทีแล้วมึงจะติดใจ เชื่อกู กูจะก้อยให้สุดฝีมือเลย)
ผมรบเร้าอยากให้มันได้ลองชิมจริง ๆ ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ นะครับกิ้งก่าเนี่ย ไอ้นี่ก็เหลือเกิน มีโอกาสได้กินของดีแท้ ๆยังจะเรื่องมากอีก มันน่าปล่อยให้อดตายไหมล่ะครับ