อันนี่ล่ะขี้กะปอม

1730 คำ
“กลับมาแล้วววว” เสียงมาก่อนตัว ผมผลักประตูเข้ามาในห้องเห็นไอ้คาลมันรีบเก็บกองเอกสารอะไรซักอย่างลงในลิ้นชักของมัน “ทะ ทำไมวันนี้มาไวจังวะ” ปกติแล้วผมจะออกไปเตะบอลกับพวกไอ้แคนก่อนค่อยกลับบ้าน แต่ช่วงนี้มันไม่ปกติแล้วน่ะสิครับพวกผมเลยงดกิจกรรมทุกอย่างไว้ชั่วคราว “บ่ได้เตะบอลเลยมาไว แล้วมึงเฮ็ดหยังหนิ คือมีฮอดหนังสือตลาดหุ้น” (ไม่ได้เตะบอลเลยกลับไว แล้วมึงทำอะไรเนี่ยทำไมถึงมีหนังสือตลาดหุ้นด้วย) ผมพยักพเยิดหน้าไปที่แฟ้มเอกสารสีดำที่มันวางอยู่ข้าง ๆ อีกฝั่งหนึ่ง ไอ้คาลเห็นดังนั้นก็รีบคว้าแฟ้มเอกสารยัดลงใส่ลิ้นชักมันทันที “เอ่อ…กูก็ศึกษาไปงั้นแหละ เผื่อได้มีเงินกับเขาบ้าง” “โอ้ หัวนักธุรกิจคักเนาะมึง สิมาเล่นหุ้นหยังมาเว่าแนวไกลโตแท้ มาเล่นเลขนำกูหนิ แนวมันซื้อง่ายขายคล่อง” (หัวนักธุรกิจจังเลยนะมึง จะมาเล่นหุ้นอะไรไกลตัวขนาดนั้น มาเล่นเลขกับกูนี่มา ซื้อง่ายขายคล่อง) “เล่นเลข? อะไรคือเล่นเลขวะ” “หวยแหมะ ฮู่จักอยู่เบาะ” (เล่นหวยน่ะ รู้จักไหม) “อ๋อ~ หวย” มันพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ “มืออื่นกูสิพาเล่น มือนี่ไปตลาดก่อนหนิ ของสดเบิดแล้ว” (พรุ่งนี้กูจะพาเล่น แต่วันนี้ไปตลาดก่อนของสดหมดแล้วเนี่ย) ว่าแล้วผมก็ถอดชุดนักศึกษาออกเปลี่ยนเป็นชุดลำลองธรรมดา “ปะ” ผมหันไปสะกิดไอ้คาลที่มันเอาแต่นั่งนิ่งจ้องมองดูผม “แนมหยังวะ ไปนำบ่หนิ” (มองอะไรวะ ไปด้วยไหมเนี่ย) “ปะ ไปสิ” มันว่าแล้วก็ลูบหน้าลูบตาลวก ๆ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นแล้วเดินตามผมลงมา “เอ้าพี่เซียงสุดหล่อ วันนี้พาใครมาด้วยคะเนี่ย” เสียงใสจากน้องแป้งแม่ค้าสาวขายผักสดร้องถามพร้อมกับบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย “นี่หมู่อ้าย บักคาล” (นี่เพื่อนพี่ ชื่อคาล) “แหมมม~ เคยอยากได้ผัวมาทั้งชีวิต แต่วันนี้เปลี่ยนใจแล้ว ไม่อยากได้ผัวเพราะว่าอยากขึ้นคาล อุ้ย! เขินจังเลยอะ” เจ้าหล่อนบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย ตัดไปที่ไอ้คาล มันเดินเข้ามาหลบที่หลังผมอย่างหวาดกลัวในความแรงของหล่อนแต่ผมชินแล้วหล่ะครับ ไม่นานเดี๋ยวป้าแสงจันทร์ก็จะเดินเข้ามาสกัดดาวยั่ว เชื่อผมสิ แป๊ะ!! “โอ้ยยย!!! แม่ เจ็บนะ!” เจ้าหล่อนลูบหัวปรอย ๆ เพราะโดนถาดตาชั่งฟาดเข้าที่หัวอย่างจัง เป็นจังได๋ล่ะครับ เป็นคือคำผมเว่าบ่ (เป็นยังไงล่ะครับ เป็นเหมือนคำพูดผมไหมล่ะ) “แรดจริง ๆ นะมึง ไปล้างผักหลังบ้านเลยไป” “แม่อะ!!” เจ้าหล่อนหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าเข้าไปในบ้านอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าถือสามันเลยนะพ่อหนุ่ม มันก็เป็นคนอย่างนี้แหละแรดได้พ่อมันไม่มีผิด” ป้าแสงจันทร์ว่าขณะ ยื่นผักที่สั่งไปให้ผม “จักบาทครับป้า” (เท่าไหร่ครับป้า) “ทั้งหมดสามร้อยจ้ะ” “ฮะ!? คือแพงแท้ครับ สุเทือมันสองร้อยบ่แมนติครับ” (ทำไมแพงจังเลยครับ ปกติมันสองร้อยไม่ใช่หรอ) ผมเบิกตากว้าง เพราะอยู่ ๆ ราคาผักก็พุ่งสูงเกินกว่าปกติ “ก็เมื่อสองวันก่อนน่ะสิ เจ๊เจ้าของที่แกปรับราคาค่าเช่าแผงขึ้น ของในตลาดเลยปรับขึ้นตามเกือบเท่าตัวเลย ลำบากกันไปหมด” “ป๊าดดด!! เงินผมสิพอค่าเนี่ยบ่น้อบัดหนิ” (โห! แล้วตัวค์ผมจะพอค่าเนื้อหรือเปล่าเนี่ย) “งั้นเอ็งเอาผักไปก่อนก็ได้ ไว้ขายได้ค่อยเอามาจ่ายป้า” “เอาซั่นเบาะครับ ผมคึเกรงใจแท้ล่ะ” (เอาอย่างงั้นหรอครับ ผมเกรงใจจังเลย) “ไม่ต้องเกรงใจ ๆ คนกันเองทั้งนั้น” ป้าแสงจันทร์ยิ้มกว้างส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณหลาย ๆ เด้อครับป้า จังได๋มื้ออื่นผมสิฟ่าวเอาเงินมาจ่ายเด้อครับ ผมหัวก่อจ่ายค่าเทอมไป มันเลยบ่มีเงินสำรอง” (ขอบคุณมาก ๆ นะครับป้ายังไงพรุ่งนี้ผมจะรีบเอามาจ่ายให้นะครับพอดีผมเพิ่งจ่ายค่าเทอมไปไม่ได้สำรองเงินไว้เลย) ผมก้มหัวขอบคุณป้าแสงจันทร์ยกใหญ่ รู้สึกเกรงใจแกไม่น้อย แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะครับผมไม่มีตังค์จริง ๆ นี่ “ถ้าตลาดตรงนี้ของแพงเราก็ไปซื้อที่ตลาดอื่นไม่ได้หรอวะ” ไอ้คาลเอ่ยถามขณะเดินตามหลังถือของให้ผม “ซื้อไสล่ะ ตลาดแถวนี้กะเป็นของเจ๊มานีเบิดนั่นล่ะ ยายอันนี้กะโคตรขี่ถี่ กูมาอุกอั่งแท้ล่ะ บ่แมนสิหลุบเบาะน้อกู” (ซื้อไหนวะตลาดแถวนี้ก็เป็นของเจ๊มานีหมดนั่นแหละ แกขี้เหนียวจะตาย กูโคตรหนักใจเลย สงสัยจะขาดทุนซะแล้วล่ะกู) “อะไรคืออุกอั่งวะ” “อุกอั่งกะหนักอกหนักใจนั่นล่ะ” “แล้วหลุบล่ะ” “เอ้า! บักห่าหนิ จังแมนมึงถามดุ ขาดทุนแหม ฮู่จักอยู่เบาะ” (ไอ้ห่า ถามมากจังวะ ขาดทุนน่ะรู้จักไหม) “อ๋ออ~ ขาดทุน” มันพยักหน้าหงึกหงัก แล้วหยิบสมุดพกเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจดยิก ๆ “เฮ็ดหยังวะ” (ทำไรวะ) “จดไว้ เดี๋ยวกูลืม” “มึงอยากเว่าอีสานเป็นสั่นเบาะ” (มึงอยากพูดภาษาอีสานได้งั้นหรอ) “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก กูแค่อยากฟังมึงพูดรู้เรื่อง” “หึหึ มีความพยายามเนาะมึง” “อะไรที่มันเกี่ยวกับมึง ต่อให้ยากกว่านี้กูก็จะทำ” มันว่าพร้อมกับจ้องมองผมด้วยสายตามุ่งมั่น ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก บักห่าหนิ มันมักเว่าให้ผมขนคีงลุกสุเทือเลยวะ (ไอ้นี่ มันชอบพูดให้ผมขนลุกอยู่เรื่อยเลย) “เมือปะ ได้ของครบแล้ว” (กลับปะ ได้ของครบแล้ว) ผมหันไปบอกก่อนจะเดินนำออกมาจากตลาด โชคดีหน่อยที่ได้ไอคาลมาช่วยถือของให้ ไม่งั้นผมคงได้หอบคนเดียวจนพะรุงพะรังเหมือนทุกครั้งแน่ “เด็กพวกนี้ทำอะไรกันวะ” ไอ้คาลเอ่ยถามขณะที่เรากำลังจะเดินผ่านหน้าวัด ผมมองตามที่มันชี้ก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังใช้หนังสติ๊กยิงอะไรบางอย่างอยู่บนต้นไม้ “แมนสูพากันเฮ็ดหยังน่ะ เขตวัดเด้หนิสู” (ทำอะไรกันน่ะ นี่มันเขตวัดนะเว่ย) ทันทีที่ผมตะโกนบอกไอ้พวกเด็กหัวเกรียนทั้งหลายก็วงแตกกระเจิงวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ผมเดินเข้าไปที่โคนต้นไม้ก็พบกับถุงตาข่ายที่มีกิ้งก่าอยู่ด้านในเกือบสิบตัว “โอ้ยน้อ! เด็กน้อยซุมห่านี่ จันไรไฟไหม้ตายแม่มึงแท้วะ ในวัดในวากะบ่เว้น” (ไอ้เด็กพวกนี้ โคตรจันไรเลยว่ะ ในเขตวัดก็ไม่เว้น) “อะไรวะ” ไอ้คาลชะโงกหน้าดูถุงตาข่ายในมือผมอย่างสนใจ “ขี้กะปอม” (กิ้งก่า) “อ๋ออ~” มันพยักหน้าหงึกหนักรับรู้ “ตายเบิร์ดแล้วแม่นบ่หนิ โอ้ะ!! ยังโตนึงตั๊วหนิ” (ตายหมดแล้วมั้งเนี่ย เฮ้ย! รอดตัวหนึ่งนี่หว่า) ผมเขย่าถุงตาข่ายก่อนจะแกะเชือกแล้วจับคอกิ้งก่าออกมา เพื่อให้มันได้วิ่งกลับไปบนต้นไม้ตามเดิม “มันยังไม่ตายเหรอวะ กูขอจับบ้างดิ” ไอ้คาลว่าอย่างตื่นเต้น “เอาตี้ล่ะ” (เอาสิ) ผมจับคอกิ้งก่ายื่นส่งให้มัน นึกว่ามันจะจับตรงคอกิ้งก่า แต่มันเสือกเอื้อมมือไปจับตรงด้านหน้า ไม่ต้องเดาก็พอที่จะรู้ครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น “โอ้ยยย!!! เซียง มันกัดมือกู” ไอ้คาลรีบชักมือออกไปสะบัดด้วยความเจ็บ “ฮ่า ๆ ๆ โอ๊ยน้อออ! มึงคึปึกตายแม่มึงแท้ เอามือไปใส่ปากมันกะกัดตั๊ว” (ทำไมมึงโง่จังวะ เอามือไปใส่ปากมันก็กัดสิ) ผมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น ไอ้นี่มันตลกจริง ๆ ผมไม่เคยเห็นใครโง่ได้ขนาดนี้มาก่อน อยู่กับมันนี่มีสีสันจริง ๆแต่ละวันสรรหาแต่อะไรก็ไม่รู้มาให้ผมได้หัวเราะอยู่เรื่อย “โคตรเนรคุณเลย! กูเป็นคนช่วยชีวิตมันแท้ ๆ ยังจะแว้งมากัดกูได้ เอาลูกปืนกรอกปากเลยดีมั้ยเนี่ย” มันด่าไล่หลังกิ้งก่าอย่างเดือดดาล แต่กิ้งก่าตัวนั้นก็ไม่อยู่ฟังแล้วล่ะครับ มันวิ่งหนีขึ้นบนต้นไม้สูงมองไม่ทันแล้ว “แล้วพวกที่เหลือมึงจะทำไงเนี่ย ตายหมดแล้ว” “ตายกะกินทอนั่นตั๊ว” (ตายก็กินน่ะสิ) ไอ้คาลเบิกตากว้างพร้อมกับส่ายหน้าพัลวัน “อย่าว่าบ่เคยกินเถอะ” (อย่าบอกนะว่ามึงไม่เคยกิน) “เออ ดิกูไม่เคยกิน” “ป๊าดดด บักห่าหนิ มึงพลาดของแซบได้จังได๋วะ ปิ้งแห่ม ๆ แกล้มเหล้าหนิคักแท้เด้ อาหารชั้นสูงมึงบ่ฮู่ติ พุ่น อยู่เทิงกกไม้” (โห!! มึงพลาดของอร่อยได้ไงวะ ย่างกรอบ ๆ แกล้มเหล้านี่โคตรสุดยอดเลยนะ อาหารชั้นสูงน่ะรู้จักไหม โน่นอยู่บนต้นไม้) “ตามสบายเลย กูต้มมาม่ากินแล้วกัน เชิญมึงแซ่บคนเดียวเถอะ” “ลองจักเทือหมอ แล้วมึงจะติดใจเซือกู กูสิก้อยสุดฝีมือเลย” (ลองสักทีแล้วมึงจะติดใจ เชื่อกู กูจะก้อยให้สุดฝีมือเลย) ผมรบเร้าอยากให้มันได้ลองชิมจริง ๆ ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ นะครับกิ้งก่าเนี่ย ไอ้นี่ก็เหลือเกิน มีโอกาสได้กินของดีแท้ ๆยังจะเรื่องมากอีก มันน่าปล่อยให้อดตายไหมล่ะครับ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม