"เหรอ...เหอะ ๆ... แม่จะยกแกให้กับพระเจ้าเงินตรานั่นเสียแล้ว แกขายวิญญาณไปหรือยังล่ะ" คุณม่านฟ้าหัวเราะเยาะหยันในความรู้สึก
"รอให้ฉันตายก่อนแล้วกันนะค่อยกลับมาเผาแม่"
"แม่......" ภรินทรเรียกมารดาด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ แต่ผู้เป็นแม่ก็ตัดสายไปก่อนแล้ว คุณม่านฟ้าน้ำตาไหลด้วยความสงสารหลานชาย
ใบหน้าเซียว ๆ ที่ทำว่านอนหลับอยู่บนเตียง ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด ทุกคำพูดเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจ
คุณยายหันกลับมาดูหลาน พอเห็นว่าเขาลืมตาก็ยิ้มกว้างทั้งน้ำตา
"ขวัญเอ๊ยขวัญมาลูก" นางกอดหลานชายด้วยความรัก
"ป้าเจียม ผมหิว.....หิวมาก...."
กำแหงแหกปากลั่นตั้งแต่ก้าวขาเข้าบ้านมา
"อะไรกันคะคุณเต้น ที่ขับรถผ่านถนนมาไม่มีตลาดหรือไง เซเว่นน่ะแวะสิคะถ้าหิว" เจียมเดินยิ้มปากกว้างมาพร้อมกับถาดผลไม้ใบใหญ่ มีทั้งส้ม และองุ่น
กำแหงเดินเข้าไปหาป้าเจียม พร้อมกับเอานิ้วมือทั้งสองข้างจิ้มที่เอวของนาง
"ว้าย อีหก อีหล่น" ถาดในมือแทบเทกระจาด ดีว่าเขารีบฉวยมันไว้
ป้าเจียมตีเปรี๊ยะไปที่แขนของเขา ก่อนจะต่อว่าทำตาประหลับประเหลือกให้
"ป้าเจียม ชมพูขอโทษแทนเต้นด้วยนะคะ"
"คุณชมพูไม่ต้องมาขอทงขอโทษแทนกันหรอกค่ะ เด็กอะไรไม่รู้จักโต" นางเท้าสะเอวมองหน้ากำแหงแบบไม่พออกพอใจ
พิมพ์เพชรเดินเข้าไปหา กอดเอวป้าเจียมไว้หลวม ๆ หอมแก้มนางฟอดใหญ่ เจียมยิ้มออกมาทันที
กำแหงยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปของทั้งคู่เอาไว้
"ตาย...คุณเต้น ห้ามเอารูปป้าไปโพสต์ที่ไหนนะ ป้ายังไม่สวย" คำพูดของนาง ทำให้สองหนุ่มสาวหัวเราะปากกว้าง ยิ้มอย่างมีความสุข
"ป้าเจียมสวยเสมอในใจของชมพูค่ะ" หญิงสาวพูดเอาใจ
"ค่ะ ป้ารักคุณหนูนะคะ ขอบคุณคุณเต้นที่เป็นธุระมารับส่งคุณชมพูทุกวัน ค่อยหายห่วงหน่อย"
"ได้อยู่แล้วครับ แต่ว่าตอนนี้ ผมหิว..." เขายังลากเสียงยาว
เจียมทำหน้ามุ่ยเข้าใส่
"โอเค... เดี๋ยวจะหาว่าคนแก่รังแกเด็ก เจียมไปตั้งโต๊ะเลยนะคะ" นางหันมาบอกหญิงสาว เธอพยักหน้า
"อ๋อ...คุณพ่อโทรมาจากเวียดนาม บอกว่าจะไม่ได้กลับมาก่อนนะคะ แต่พอป้าเล่าเรื่องคุณหนูตอนที่ไปเที่ยวป่า โดนต่อว่าซะเละเลย สั่งห้ามไม่ให้คุณชมพูไปทำกิจกรรมกับทางมหา’ลัยทุกอย่างนะคะ"
พิมพ์เพชรใบหน้าเจื่อนลง เธอไม่ได้เสียใจที่พ่อสั่งห้าม แต่รู้สึกน้อยใจว่าสุดท้ายคุณพ่อก็เห็นงานสำคัญกว่าเธอเสมอ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
“ฮัลโหล...เป็นไงบ้างไอ้เกลอ” โต๋ส่งเสียงดังเข้ามาก่อน ตัวตามมาทีหลัง สองสาวเพื่อนสนิทในห้องอีกสองคนเดินตามหลังชายหนุ่มเข้ามาด้วย
ภารันย์ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นทั้งสามคน
“จะมาทำไมให้ยุ่งยาก” เล็กเอ่ยขึ้น
“จะบ้าเหรอ ทำไมพูดแบบนี้ พวกเราอุตส่าห์ดั้นด้นมานะเนี่ย”
สายธารวางของในมือลงบนโต๊ะ เดือนเด่นเข้าไปนั่งลงใกล้ ๆ พร้อมกับหยิบด้ายสายสิญจน์ที่เตรียมมาจากบ้าน มัดข้อมือให้กับภารันย์
“เพี้ยง หายไว ๆ นะ” เธอทำท่าเป่าคาถา
“ขอบใจนะ” ภารันย์ยิ้มจนเห็นฟันเรียงสวย
“เฮ้อ...มาเห็นสภาพแกแล้วค่อยโล่งใจหน่อย” โต๋ทรุดนั่งลงใกล้ ๆ จับแขนเพื่อนรัก แววตาฉายไปด้วยความยินดี
“อยู่กับใคร” หมูแดงสอดส่ายสายตามองไปทั่ว ๆ
“คุณยาย... เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี่เอง”
“อ้าว... แล้วใครนอนเฝ้า” โมเมถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ยายเม เดี๋ยวนี้ยุคไหน ใครเขาให้ญาติมานอนเฝ้าหลังขดหลังแข็ง มีพยาบาลย่ะ มีเงินก็จ้างเข้าไป” คำพูดของหมูแดงทำให้ภารันย์สะท้อนในหัวใจ
เขาสงสารคุณยายท่านก็แก่มากแล้ว จึงไม่ยอมให้คุณยายนอนเฝ้า แม้ท่านจะให้เด็กในบ้านมาเฝ้า เขาก็ไล่กลับให้เหตุผลว่า มีพยาบาลวิชาชีพดูแลอยู่แล้ว
“จริง ๆ คนที่คุณยายส่งมาแต่ละคน กรนเสียงดังทั้งนั้น เลยไล่กลับหมด” ทุกคนจึงหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน
“งั้นคืนนี้พวกเราอยู่เป็นเพื่อนนายนะ” หมูแดงยิ้มกว้าง
“กรนดังไหม” ภารันย์หยอกเพื่อน
“ย่ะ ฉันจะกรนให้หูนายมันแตกไปเลย”
ทุกคนต่างหัวเราะในท่าทางของหมูแดงอีกครั้ง
“หมอให้กลับไปเรียนได้เมื่อไหร่” โมเมถามด้วยความตั้งใจ
“คงไม่ใช่เทอมนี้แหละ คุณยายน่ะสิ สั่งนักหนา ไม่ยอมให้ไปเรียนท่าเดียว แต่หมอก็เป็นห่วงอยู่นะ รอดูอาการอีกสักระยะ”
“อื้อ...” ทุกคนพยักหน้า
สาเหตุการช้ำในมันต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะไม่รู้ว่าเขามีอาการตรงไหนที่มากน้อย
แต่ที่สำคัญ หลานชายสุดที่รักของคุณม่านฟ้า นางคงไม่ปล่อยให้ภารันย์คลาดสายตาเป็นแน่
“จริง ๆ ให้พวกเราคอยส่งเลคเชอร์ก็ได้” โมเมแสดงเจตจำนง เพราะยังไงก็ไม่อยากให้ภารันย์พักการเรียน
“อย่าเลย ไม่อยากให้คุณยายเป็นห่วง แค่นี้ก็หูชาแล้ว”
“เอายังงั้นเหรอ” โต๋ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น
“อะ ๆ... แล้วใครจะมาเป็นคู่จิ้นให้กับยายโมเมล่ะทีนี้” หมูแดงทำแซว
“คู่จิ้นอะไรกัน” โมเมปฏิเสธ แต่หน้าตาก็ออกแดง
ภารันย์ยกมือของเขาข้างที่ไม่หักขึ้นแตะที่ศีรษะของโมเมและขยี้เบา ๆ
สายตาของโต๋ที่มองคนทั้งคู่มากไปด้วยความรู้สึก จริง ๆ เขาแอบชอบโมเมแต่ไม่กล้าสารภาพ เพราะคิดว่าเล็กและโมเมมีใจให้แก่กัน ยิ่งเห็นกับตาวันนี้อีก เขาก็ยิ่งมั่นใจ
หมูแดงสังเกตเห็นสายตาของโต๋ที่มองโมเมมากกว่าเพื่อนอยู่บ่อย ๆ มองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจเช่นกัน
“ที่โรงพยาบาลนี้มีอะไรกินมั่งนะ” เสียงหมูแดงทำลายบรรยากาศตึงเครียด ทุกคนจึงหันมามองเธอเป็นตาเดียว
“โธ่ยายหมูสมชื่อ” โต๋ว่าให้
“โรงพยาบาลนะ ไม่ใช่ฟู้ดคอร์ต”
“แสดงว่านายโต๋ นายเนี่ยไม่รู้อะไร กินอาหารที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยเท่ากินอาหารที่โรงพยาบาล เอาข้อดีข้อเดียวนะ อาหารถูกหลักโภชนาการ แล้วนายจะไม่ปวดท้องด้วย”
“อ้าว ถ้าเกิดฉันเป็นโรคกระเพาะล่ะ”
“อันนี้ไม่อยู่ในเงื่อนไขนี้ย่ะ”
“หรา...” สองคนทำท่าโต้เถียงกัน
โมเมจึงรีบห้ามทัพ
“สั่งมากินเหอะ โมเมก็หิวเหมือนกัน” เธอตรงไปหยิบเมนูยื่นส่งไปให้หมูแดง เธอจึงยิ้มแก้มแทบปริ
“แล้วเล็กล่ะ” หมูแดงหันไปมองภารันย์ด้วยความเป็นห่วง
“เอาเหอะ เรากินของโรงพยาบาล นี่ก็ใกล้แล้ว เดี๋ยวคงมีคนเอามาเสิร์ฟ”
พูดไม่ทันไร ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนจะเปิดเข้ามา
“อาหารของคุณภารันย์ค่ะ” พนักงานยกเข้าไปวางไว้ที่โต๊ะ
โมเมรีบเดินเข้าไปขยับโต๊ะ แล้วหมุนเตียงให้ภารันย์นั่งสะดวกขึ้น ก่อนจะเปิดอาหารแล้วป้อนข้าวให้เขากิน คุยกันกะหนุงกะหนิง