Chapter 5
รักที่สั่นคลอน (1)
ความมืดมิดห่มคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ในบ้านลือวิเศษกุลไฟยังคงส่องสว่าง เสียงทีวีดังแว่วมาจากมุมพักผ่อนที่อยู่ชั้นล่าง เปมนีย์เดินถือแก้วน้ำมะม่วงหาวมะนาวโห่ไปยังที่มาของเสียง เห็นมารดานอนดูทีวีอยู่บนเดย์เบดเพียงลำพัง
หล่อนเดินไปหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ติดกัน ดูดน้ำเปรี้ยวอมหวานเข้าปาก ก่อนวางแก้วไว้บนโต๊ะกระจก ด้านล่างคือตู้ปลาที่ไฟสีฟ้าส่องประกาย
“พี่ติณห์ยังไม่กลับเหรอคะคุณแม่”
“ยัง”
ศจีตอบโดยที่ตายังคงจับจ้องอยู่บนหน้าจอทีวี หล่อนติดละครเกือบทุกช่อง ส่วนสามีนั้นไปคนละทาง เหตุนี้จึงต้องแยกกันดูคนละเครื่อง เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ทะเลาะกัน
“อ้าว เขาไปกินข้าวกับคุณแม่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่กลับพร้อมกันล่ะคะ”
“ตาติณห์เลยไปส่งหนูปุ้ยน่ะ”
“หืม…”
เปมนีย์แปลกใจ ในขณะที่มารดาของหล่อนทำเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“เขาพาเลขาไปกินข้าวกับคุณแม่เหรอคะ”
ศจีหันไปมองหน้าลูกสาว ซึ่งเป็นช่วงโฆษณาพอดี
“ใช่ แล้วมันแปลกตรงไหน ดูทำหน้าเข้าสิ”
“ไปกินข้าวน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ยายปุ้ยไม่มีขาเหรอคะ ถึงกลับบ้านเองไม่ได้ จะต้องมีสารถีไปส่งถึงที่ พี่ติณห์ก็อีกคน เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง ทำไมต้องไปส่งเขาด้วย ถามหน่อย ก่อนรู้จักกับพี่ติณห์ใช้ชีวิตมาได้ยังไงโดยไม่มีคนรับส่งน่ะ”
น้ำเสียงของเปมนีย์ฟังดูไม่พอใจ หากแต่ศจีกลับมองคนละมุม
"แกน่ะคิดมาก มันไม่มีอะไรหรอก หนูปุ้ยไม่ใช่คนแบบนั้น เท่าที่แม่สัมผัสมา เด็กคนนี้มีความคิดใช้ได้ทีเดียว
“ไม่ใช่พากันเข้าโรงแรมนะคะ ป่านนี้ถึงยังไม่กลับบ้าน ทำอะไรไม่นึกถึงลูกเมีย”
“ยายลูกปลา! พูดจาเลอะเทอะ คนอื่นเสียหายหมด ไปนอนได้แล้วไป ฉันจะดูละคร”
เมื่อมารดาเริ่มจะมีอารมณ์เปมนีย์จึงสงบปากสงบคำ หล่อนคว้าแก้วเครื่องดื่มแล้วลุกพรวดขึ้น และการที่หล่อนเดินตรงไปทางที่พาไปสู่ชั้นสอง เงาไหว ๆ ของใครบางคนก็แวบหายไป
พิมพ์ลดาเดินเร็ว ๆ กลับไปยังห้องของตนเพื่อไม่ให้เปมนีย์รู้ว่าหล่อนยืนแอบฟัง มือสั่น ๆ ผลักบานประตูแล้วแทรกร่างเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงบานประตูปิดสนิทหญิงสาวก็ยืนเอาหลังพิงบานประตูเอาไว้ เงยหน้าหลับตานิ่งเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
มือสั่น ๆ ยกขึ้นทาบบนอกข้างซ้าย สัมผัสได้ถึงใจที่เต้นแรงสั่นระรัว หล่อนพยายามสูดลมหายใจเข้าออกให้ลึกเพื่อให้ใจกลับมาเต้นเป็นปกติ เหลือบตามองดูเวลา สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้วที่ติณณภพยังไม่กลับมา
มันจะต้องไม่มีอะไร เขาอาจแวะไปหาเพื่อนที่ผับไหนสักแห่งแล้วดื่มกินกัน สิ่งที่เปมนีย์พูดมันคือการคิดไปเอง หล่อนพยายามคิดในแง่ดีเพื่อปลอบโยนใจที่กำลังสั่นคลอน
แต่คราวนี้หล่อนควบคุมสติไม่ได้เลย เมื่อเรื่องราวจากป้าข้างบ้านแวบเข้ามาในหัวที่อื้ออึง
ดึกสงัดที่คนในบ้านกำลังหลับสนิท ท่ามกลางความเงียบงันจนแทบได้ยินเสียงหายใจตัวเอง ติณณภพเดินไปยังห้องนอนของตนด้วยน้ำหนักเท้าที่เบาที่สุด ชายหนุ่มกดรหัสปลดล็อคที่หน้าประตู มือใหญ่ผลักบานประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ เขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่โชยมาปะทะผิวหน้า ร่างสูงแทรกกายผ่านช่องประตูเข้าไป ภายในห้องนอนนั้นเงียบงัน
เขาเดินไปหยุดอยู่ปลายเตียงแล้วจับจ้องมอง สองแม่ลูกต่างพากันหลับสนิท บนเตียงเล็กที่มีลูกกรงกั้นกันตก ทารกน้อยกำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขภายใต้ผ้าห่มอุ่น ข้าง ๆ กัน แม่ของลูกนอนตะแคงหันหน้าไปทางลูกน้อย ลมหายใจของหล่อนสม่ำเสมอ บอกให้รู้ว่าร่างนั้นกำลังอยู่ในห้วงฝัน เขาไม่อยากให้การมาของตนนั้นปลุกใครให้ตื่น จึงเดินเลี่ยงไปยังห้องแต่งตัวอย่างเงียบ ๆ
เสียงสายน้ำจากเรนชาวเวอร์ดังแว่วมา พิมพ์ลดาลืมตาโพลงท่ามกลางแสงไฟสลัว ที่จริงหล่อนไม่ได้หลับและรับรู้ถึงการมาของเขา มองดูเวลาแล้วใจว้าวุ่น เขาไม่เคยกลับดึกขนาดนี้มาก่อน
หล่อนนอนฟังเสียงอาบน้ำนั้นอยู่นาน ใจร้อนรุ่มอยากถามเขาให้รู้เรื่องเพื่อจบปัญหา จนกระทั่งเสียงสายน้ำเงียบลง ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูห้องน้ำ เสียงกุกกักอยู่ในห้องแต่งตัว ในขณะที่ใจของคนฟังเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
หญิงสาวแสร้งหลับตาเมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินตรงมายังเตียงกว้าง ก่อนที่นอนจะไหวยวบตามน้ำหนักที่เขาทิ้งตัวลงมา หล่อนนอนกลั้นหายใจจนรู้สึกอึดอัด เมื่อรับรู้ได้ว่ากายอุ่น ๆ นั้นกำลังขยับเข้ามาแนบชิดจากทางด้านหลัง
ท่อนแขนแกร่งพาดกอดเกี่ยวเอวคอด ความสากระคายสัมผัสลงบนผิวแก้มนวลเนียนพร้อมจูบจากริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงมา จมูกคมสันสูดกลิ่นกายของหล่อนเข้าปอดเบา ๆ ดังเช่นที่ทำทุกค่ำคืน วินาทีนั้นหล่อนอยากสลัดเจ้าของอ้อมกอดออกไปจนพ้นร่าง อยากเอามือถูรอยจูบนั้นออกไป แล้วตะโกนใส่หน้าเขาว่าหายหัวไปไหนมาถึงกลับมาจนป่านนี้
มันคือการทดสอบความอดทนที่หินที่สุด หล่อนนับหนึ่งถึงร้อยในใจ การโวยวายตีโพยตีพายไม่ช่วยอะไร หากเขาทำผิดจริงนั่นจะยิ่งทำให้เขาเตลิดจนกู่ไม่กลับ...นิ่งกว่าคือได้เปรียบ หล่อนพยายามบอกตัวเองซ้ำ ๆ เมื่อคิดว่าใจตัวเองนิ่งพอจึงทำทีเป็นสะดุ้งตื่น ก่อนขยับเปลี่ยนท่า พลิกกายตะแคงหันเข้าหาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มือนุ่มทาบลงบนผิวแก้มสากระคาย ถามเขาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
"กลับมาแล้วเหรอคะ"
เขาคว้ามือนุ่มไปกุมเอาไว้ กระซิบเบา ๆ
"พี่ปลุกพิมพ์หรือเปล่า"
หล่อนส่ายหน้า ขยับกายบดเบียดแนบชิดกายแกร่งมากขึ้น ชักมือนุ่มออกจากการกอบกุมของมือใหญ่ ค่อย ๆ ไล้ลงต่ำผ่านแผ่นท้องแน่นหนั่น ก่อนไปหยุดนิ่งตรงกลางกายที่ยังไม่ตื่นตัว มือนุ่มกอบกุมสิ่งที่หล่อนหวงแหนไว้จนเต็มมือ สลับกับลากไล้หยอกเย้าสื่อถึงกระแสปรารถนาเพื่อให้เขาตอบสนอง
และทุกครั้งเขาจะไม่ปฏิเสธ หากแต่คืนนี้แปลกไป เขาจับมือหล่อนให้หยุดซุกซน ก่อนพลิกกายนอนหงายแล้วจับแขนเรียวพาดกอดเกี่ยวกายแกร่งเอาไว้
"นอนเถอะพิมพ์ มันดึกมากแล้ว...แล้ววันนี้พี่ก็เหนื่อยมาก ๆ ด้วย"
เหมือนถูกเขาตบหน้าด้วยถ้อยคำบาดลึก หญิงสาวนอนนิ่งร่างกายชาดิก ในความธรรมดานั้นมีอะไรซ่อนอยู่ หล่อนคิดไปไกล เขาไปทำอะไรมาถึงเหนื่อยนักหนาจนปฏิเสธที่จะมีสัมพันธ์รักลึกซึ้งด้วยกัน
มันทำให้หล่อนไม่สนิทใจที่จะนอนกอดเขาต่อไป ทว่าก็ไม่อยากทำตัวแปลกแยกให้เขาไหวตัวทัน...เหมือนลูกน้อยจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของแม่ จึงขยับกายยุกยิกแล้วร้องออกมาเบา ๆ
หล่อนรีบถือโอกาสผละออกห่างจากกายอุ่นแล้วขยับไปหาลูก ยันกายลุกนั่งแล้วอุ้มลูกมาไว้ในอ้อมกอดเพื่อให้นม ยามที่อุ้งปากน้อย ๆ ดูดกลืนเลือดจากอก เหมือนใจของหล่อนกำลังถูกกระชากออกไปด้วย มันเจ็บหน่วง ๆ อย่างไม่เคยเป็น
หันไปมองพ่อของลูก ยามนี้ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอราบเรียบ บ่งบอกว่าเขาหลับหนีหล่อนไปก่อนแล้ว ท่ามกลางความเงียบงัน หล่อนคิดไปสารพัดด้วยใจที่สับสน ความเชื่อมั่นที่เคยมีตอนนี้เริ่มสั่นคลอนเสียแล้ว
บางทีการไว้ใจมากเกินไป มันก็หันมาทำร้ายตัวเราเอง