Chapter​ 5 รักที่สั่นคลอน​ (1)

1416 คำ
Chapter​ 5 รักที่สั่นคลอน​ (1) ความมืดมิดห่มคลุมไปทั่วทุกพื้นที่​ ในบ้านลือวิเศษกุลไฟยังคงส่องสว่าง​ เสียงทีวีดังแว่วมาจากมุมพักผ่อนที่อยู่ชั้นล่าง​ เปมนีย์เดินถือแก้วน้ำมะม่วงหาวมะนาวโห่ไปยังที่มาของเสียง​ เห็นมารดานอนดูทีวีอยู่บนเดย์เบดเพียงลำพัง หล่อนเดินไปหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ติดกัน​ ดูดน้ำเปรี้ยวอมหวานเข้าปาก​ ก่อนวางแก้วไว้บนโต๊ะกระจก​ ด้านล่างคือตู้ปลาที่ไฟสีฟ้าส่องประกาย “พี่ติณห์ยังไม่กลับเหรอคะคุณแม่” “ยัง” ศจีตอบโดยที่ตายังคงจับจ้องอยู่บนหน้าจอทีวี​ หล่อนติดละครเกือบทุกช่อง​ ส่วนสามีนั้นไปคนละทาง​ เหตุนี้จึงต้องแยกกันดูคนละเครื่อง เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ทะเลาะกัน “อ้าว​ เขาไปกินข้าวกับคุณแม่ไม่ใช่เหรอ​ แล้วทำไมไม่กลับพร้อมกันล่ะคะ” “ตาติณห์เลยไปส่งหนูปุ้ย​น่ะ” “หืม…” เปมนีย์แปลกใจ​ ในขณะที่มารดาของหล่อนทำเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร “เขาพาเลขาไปกินข้าวกับคุณแม่เหรอคะ” ศจีหันไปมองหน้าลูกสาว​ ซึ่งเป็นช่วงโฆษณาพอดี “ใช่​ แล้วมันแปลกตรงไหน​ ดูทำหน้าเข้าสิ” “ไปกินข้าวน่ะไม่เท่าไหร่​ แต่ยายปุ้ยไม่มีขาเหรอคะ​ ถึงกลับบ้านเองไม่ได้​ จะต้องมีสารถีไปส่งถึงที่​ พี่ติณห์ก็อีกคน​ เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง​ ทำไมต้องไปส่งเขาด้วย​ ถามหน่อย​ ก่อนรู้จักกับพี่ติณห์ใช้ชีวิตมาได้ยังไงโดยไม่มีคนรับส่งน่ะ” น้ำเสียงของเปมนีย์ฟังดูไม่พอใจ​ หากแต่ศจีกลับมองคนละมุม "แกน่ะคิดมาก​ มันไม่มีอะไรหรอก​ หนูปุ้ยไม่ใช่คนแบบนั้น​ เท่าที่แม่สัมผัสมา เด็กคนนี้มีความคิดใช้ได้ทีเดียว “ไม่ใช่พากันเข้าโรงแรมนะคะ​ ป่านนี้ถึงยังไม่กลับบ้าน ทำอะไรไม่นึกถึงลูกเมีย” “ยายลูกปลา! พูดจาเลอะเทอะ​ คนอื่นเสียหายหมด ไปนอนได้แล้วไป​ ฉันจะดูละคร” เมื่อมารดาเริ่มจะมีอารมณ์เปมนีย์จึงสงบปากสงบคำ​ หล่อนคว้าแก้วเครื่องดื่มแล้วลุกพรวดขึ้น​ และการที่หล่อนเดินตรงไปทางที่พาไปสู่ชั้นสอง​ เงาไหว​ ๆ​ ของใครบางคนก็แวบหายไป พิมพ์ลดาเดินเร็ว​ ๆ​ กลับไปยังห้องของตน​เพื่อไม่ให้เปมนีย์รู้ว่าหล่อนยืนแอบฟัง มือสั่น​ ๆ​ ผลักบานประตูแล้วแทรกร่างเข้าไปอย่างรวดเร็ว​ เพียงบานประตูปิดสนิทหญิงสาวก็ยืนเอาหลังพิงบานประตูเอาไว้​ เงยหน้าหลับตานิ่งเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ มือสั่น​ ๆ​ ยกขึ้นทาบบนอกข้างซ้าย​ สัมผัสได้ถึงใจที่เต้นแรงสั่นระรัว​ หล่อนพยายามสูดลมหายใจเข้าออกให้ลึกเพื่อให้ใจกลับมาเต้นเป็นปกติ​ เหลือบตามองดูเวลา​ สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้วที่ติณณภพยังไม่กลับมา มันจะต้องไม่มีอะไร​ เขาอาจแวะไปหาเพื่อนที่ผับไหนสักแห่ง​แล้วดื่มกินกัน​ สิ่งที่เปมนีย์พูดมันคือการคิดไปเอง​ หล่อนพยายามคิดในแง่ดีเพื่อปลอบโยนใจที่กำลังสั่นคลอน แต่คราวนี้หล่อนควบคุมสติไม่ได้เล​ย​ เมื่อเรื่องราวจากป้าข้างบ้านแวบเข้ามาในหัวที่อื้ออึง ดึกสงัดที่คนในบ้านกำลังหลับสนิท ท่ามกลางความเงียบงันจนแทบได้ยินเสียงหายใจตัวเอง ติณณภพเดินไปยังห้องนอนของตนด้วยน้ำหนักเท้าที่เบาที่สุด ชายหนุ่มกดรหัสปลดล็อคที่หน้าประตู มือใหญ่ผลักบานประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ เขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่โชยมาปะทะผิวหน้า ร่างสูงแทรกกายผ่านช่องประตูเข้าไป ภายในห้องนอนนั้นเงียบงัน เขาเดินไปหยุดอยู่ปลายเตียงแล้วจับจ้องมอง สองแม่ลูกต่างพากันหลับสนิท บนเตียงเล็กที่มีลูกกรงกั้นกันตก ทารกน้อยกำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขภายใต้ผ้าห่มอุ่น ข้าง ๆ กัน แม่ของลูกนอนตะแคงหันหน้าไปทางลูกน้อย ลมหายใจของหล่อนสม่ำเสมอ บอกให้รู้ว่าร่างนั้นกำลังอยู่ในห้วงฝัน เขาไม่อยากให้การมาของตนนั้นปลุกใครให้ตื่น จึงเดินเลี่ยงไปยังห้องแต่งตัวอย่างเงียบ ๆ เสียงสายน้ำจากเรนชาวเวอร์ดังแว่วมา พิมพ์ลดาลืมตาโพลงท่ามกลางแสงไฟสลัว ที่จริงหล่อนไม่ได้หลับและรับรู้ถึงการมาของเขา มองดูเวลาแล้วใจว้าวุ่น เขาไม่เคยกลับดึกขนาดนี้มาก่อน หล่อนนอนฟังเสียงอาบน้ำนั้นอยู่นาน ใจร้อนรุ่มอยากถามเขาให้รู้เรื่องเพื่อจบปัญหา จนกระทั่งเสียงสายน้ำเงียบลง ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูห้องน้ำ เสียงกุกกักอยู่ในห้องแต่งตัว ในขณะที่ใจของคนฟังเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวแสร้งหลับตาเมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินตรงมายังเตียงกว้าง ก่อนที่นอนจะไหวยวบตามน้ำหนักที่เขาทิ้งตัวลงมา หล่อนนอนกลั้นหายใจจนรู้สึกอึดอัด เมื่อรับรู้ได้ว่ากายอุ่น ๆ นั้นกำลังขยับเข้ามาแนบชิดจากทางด้านหลัง ท่อนแขนแกร่งพาดกอดเกี่ยวเอวคอด ความสากระคายสัมผัสลงบนผิวแก้มนวลเนียนพร้อมจูบจากริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงมา จมูกคมสันสูดกลิ่นกายของหล่อนเข้าปอดเบา ๆ ดังเช่นที่ทำทุกค่ำคืน วินาทีนั้นหล่อนอยากสลัดเจ้าของอ้อมกอดออกไปจนพ้นร่าง อยากเอามือถูรอยจูบนั้นออกไป แล้วตะโกนใส่หน้าเขาว่าหายหัวไปไหนมาถึงกลับมาจนป่านนี้ มันคือการทดสอบความอดทนที่หินที่สุด หล่อนนับหนึ่งถึงร้อยในใจ การโวยวายตีโพยตีพายไม่ช่วยอะไร หากเขาทำผิดจริงนั่นจะยิ่งทำให้เขาเตลิดจนกู่ไม่กลับ...นิ่งกว่าคือได้เปรียบ หล่อนพยายามบอกตัวเองซ้ำ ๆ เมื่อคิดว่าใจตัวเองนิ่งพอจึงทำทีเป็นสะดุ้งตื่น ก่อนขยับเปลี่ยนท่า พลิกกายตะแคงหันเข้าหาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือนุ่มทาบลงบนผิวแก้มสากระคาย ถามเขาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย "กลับมาแล้วเหรอคะ" เขาคว้ามือนุ่มไปกุมเอาไว้ กระซิบเบา ๆ "พี่ปลุกพิมพ์หรือเปล่า" หล่อนส่ายหน้า ขยับกายบดเบียดแนบชิดกายแกร่งมากขึ้น ชักมือนุ่มออกจากการกอบกุมของมือใหญ่ ค่อย ๆ ไล้ลงต่ำผ่านแผ่นท้องแน่นหนั่น ก่อนไปหยุดนิ่งตรงกลางกายที่ยังไม่ตื่นตัว มือนุ่มกอบกุมสิ่งที่หล่อนหวงแหนไว้จนเต็มมือ สลับกับลากไล้หยอกเย้าสื่อถึงกระแสปรารถนาเพื่อให้เขาตอบสนอง และทุกครั้งเขาจะไม่ปฏิเสธ หากแต่คืนนี้แปลกไป เขาจับมือหล่อนให้หยุดซุกซน ก่อนพลิกกายนอนหงายแล้วจับแขนเรียวพาดกอดเกี่ยวกายแกร่งเอาไว้ "นอนเถอะพิมพ์ มันดึกมากแล้ว...แล้ววันนี้พี่ก็เหนื่อยมาก ๆ ด้วย" เหมือนถูกเขาตบหน้าด้วยถ้อยคำบาดลึก หญิงสาวนอนนิ่งร่างกายชาดิก ในความธรรมดานั้นมีอะไรซ่อนอยู่ หล่อนคิดไปไกล เขาไปทำอะไรมาถึงเหนื่อยนักหนาจนปฏิเสธที่จะมีสัมพันธ์รักลึกซึ้งด้วยกัน มันทำให้หล่อนไม่สนิทใจที่จะนอนกอดเขาต่อไป ทว่าก็ไม่อยากทำตัวแปลกแยกให้เขาไหวตัวทัน...เหมือนลูกน้อยจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของแม่ จึงขยับกายยุกยิกแล้วร้องออกมาเบา ๆ หล่อนรีบถือโอกาสผละออกห่างจากกายอุ่นแล้วขยับไปหาลูก ยันกายลุกนั่งแล้วอุ้มลูกมาไว้ในอ้อมกอดเพื่อให้นม ยามที่อุ้งปากน้อย ๆ ดูดกลืนเลือดจากอก เหมือนใจของหล่อนกำลังถูกกระชากออกไปด้วย มันเจ็บหน่วง ๆ อย่างไม่เคยเป็น หันไปมองพ่อของลูก ยามนี้ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอราบเรียบ บ่งบอกว่าเขาหลับหนีหล่อนไปก่อนแล้ว ท่ามกลางความเงียบงัน หล่อนคิดไปสารพัดด้วยใจที่สับสน ความเชื่อมั่นที่เคยมีตอนนี้เริ่มสั่นคลอนเสียแล้ว บางทีการไว้ใจมากเกินไป มันก็หันมาทำร้ายตัวเราเอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม