Chapter 5
รักที่สั่นคลอน (2)
แสงสว่างสาดส่องผ่านม่านริมหน้าต่าง ปลุกคนที่นอนหลับใหลให้ตื่นขึ้นจากห้วงฝัน พิชญ์สินีพลิกกายไปมาอย่างอ่อนล้า แพขนตางอนยาวกระพริบถี่ ๆ ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ แววตากลมโตกลอกไปมายามมองไปบนเพดาน ความทรงจำแสนหวานหวนคืน
หล่อนยิ้มกับตัวเองพลางพลิกกายนอนตะแคง มือนุ่มทาบลงบนที่นอนข้างที่ยังว่าง ลากไล้ผืนผ้านุ่มลื่นด้วยความสุขที่ยังกรุ่นอยู่ในใจ ถึงแม้เจ้าของร่างจะจากไปแล้ว แต่เขายังคงทิ้งกลิ่นเสน่หาให้หล่อนได้ซึมซับลงในหัวใจกรุ่นไอรัก หากแต่ในห้วงความคิดแวบหนึ่ง ความจริงที่ตอกย้ำทำให้รอยยิ้มค่อย ๆ จางหายไปจากใบหน้า
จู่ ๆ อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นสุดขั้ว ขอบตาร้อนผ่าวปวดหนึบเมื่อโลกแห่งความเป็นจริงนั้นช่างร้าวรวดเหลือเกิน หล่อนนั่งชันเข่ากอดตัวเองอยู่เพียงลำพัง เหน็บหนาวและเดียวดายเหลือเกินเมื่ออ้อมกอดที่พยายามไขว่คว้าไม่มีที่ว่างสำหรับเธอ
เสียงเตือนจากโทรศัพท์ดึงหล่อนขึ้นมาจากห้วงภวังค์ แววตาคู่สวยปรายมองแล้วรีบหยิบมากดดู คิดเข้าข้างตัวเองด้วยหัวใจที่พองโต ต้องเป็นติณณภพแน่ ๆ ที่ส่งข้อความมาหากันแต่เช้า
แววตาคู่สวยสลดลงเมื่อปรากฎว่าไม่ใช่ หากแต่เป็นข้อความจากทางบ้านส่งมาขอเงิน
หล่อนโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า ความเครียดมาเกาะกินใจ ไหนจะเงินที่ต้องส่งให้ทางบ้านทุกเดือน ตอนนี้ยังมีค่าใช้จ่ายรออยู่ข้างหน้า เนื่องจากมารดาของหล่อนต้องผ่าตัดมะเร็ง และเป็นเคสที่รอเวลาไม่ได้ และแน่นอน หากไม่ต้องการรอคิวก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายแพงมาก ๆ
นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หล่อนเอาแต่โทษโชคชะตา เหตุใดจึงไม่เกิดมาเพรียบพร้อมเช่นคนอื่นเขาบ้าง
ในสวนสวยที่เหล่าดอกไม้บานสะพรั่ง ติณณภพอุ้มลูกเดินหาภรรยาที่มีคนบอกว่าหล่อนทำอะไรสักอย่างอยู่ในสวน เขาเดินมาจนถึงแปลงปลูกผักหลากขนิดที่งอกงามจากน้ำมือพิมพ์ลดา เห็นหล่อนกำลังตักดินใส่ถุงสีขาว ๆ ที่วางเรียงรายกันหลายใบ
“ปลูกอะไรน่ะพิมพ์”
“ปลูกเมลอนค่ะ พี่ช้างเอาเมล็ดพันธุ์มาให้ พิมพ์เลยลองเพาะเมล็ดดู”
หล่อนตอบโดยไม่เงยหน้ามองเพราะรู้ว่าเป็นใคร ยังคงง่วนอยู่กับงานอดิเรกตรงหน้า
“อย่าบอกนะว่าถ้าลูกโตแล้ว พิมพ์จะไม่ไปช่วยงานพี่ แต่จะไปเป็นเกษตรกรแทน”
หล่อนชะงักมือที่กำลังฝังเมล็ดสีชมพูลงในดิน เงยหน้าขึ้นสบตากับแววตาเข้ม คลี่ยิ้มเย็นใส่หน้าพ่อของลูก
“พี่ติณห์มีคนช่วยงานเยอะแยะ คงไม่ต้องง้อพิมพ์แล้วมั้งคะ”
ติณณภพเหมือนวัวสันหลังหวะ เขาหวาดระแวงแม้กระทั่งรอยยิ้มของภรรยา อดคิดไม่ได้ว่าหล่อนคงโกรธที่เมื่อคืนเขาไม่ตอบสนองเรื่องบนเตียงเหมือนเช่นทุกครั้ง
“พิมพ์โกรธพี่เหรอ ที่เมื่อคืน…เอ่อ…”
พิมพ์ลดาเงยหน้าขึ้นมองคนที่อุ้มลูกเดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ หล่อนแค่นหัวเราะทั้งที่ใจนั้นไม่ได้รื่นเริงตาม
“จะบ้าเหรอพี่ติณห์ พิมพ์จะโกรธทำไมกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“คือเมื่อคืน พี่เหนื่อยจริง ๆ น่ะ”
“พิมพ์เข้าใจค่ะ พี่ติณห์ต้องทำงานหนักเพื่อครอบครัว”
หล่อนเก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ไม่แสดงออก พยายามบอกตัวเองว่ายังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะพิสูจน์ว่าเขาทำผิดจริง และหล่อนไม่อยากทำลายบรรยากาศที่ดีให้เสียไป เวลานี้ควรนิ่งสงบเพื่อสยบความเคลื่อนไหวจะเป็นการดีที่สุด
ด้วยความที่ลูกอยู่กับพิมพ์ลดาตลอดเวลา เมื่อเห็นมารดาทารกน้อยก็ทำท่าจะผละจากอ้อมอกของคุณพ่อเพื่อไปหาแม่ สองแขนเล็กชูร่าไปข้างหน้าพร้อมส่งเสียงอ้อแอ้อย่างออดอ้อน
“คุณแม่มือเปื้อนครับ ยังอุ้มหนูไม่ได้”
หล่อนทนเห็นลูกอ้อนไม้ไหว จึงเดินไปล้างมือจนแน่ใจว่าสะอาด เดินกลับมารับลูกน้อยจากอ้อมอกคนเป็นพ่อมาอุ้มไว้ ก่อนสูดความสดชื่นบนแก้มนุ่มด้วยความรัก
“เอ่อ…พี่ติณห์คะ ที่จริงพิมพ์มีเรื่องจะบอกอีกเรื่องน่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอพิมพ์”
“พิมพ์อยากหัดขับรถค่ะ เวลาจะไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวกเลยค่ะ”
ติณณภพผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ซึ่งตอนนี้เขาหวาดระแวงไปหมดแล้วไม่ว่าภรรยาจะพูดอะไรออกมา
“โธ่…นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าพิมพ์อยากหัดจริง ๆ เดี๋ยวพี่สอนให้”
“พี่ติณห์จะว่างสำหรับพิมพ์เหรอคะ”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะพิมพ์ พี่มีเวลาว่างสำหรับพิมพ์เสมอ”
หล่อนคลี่ยิ้ม พยายามข่มใจให้เป็นปกติ
“พิมพ์เห็นพี่ติณห์กลับดึกบ่อย ๆ ก็เลยอยากให้พี่ติณห์ได้พักผ่อนบ้างในวันหยุด”
“ไม่ใช่ปัญหาเลยพิมพ์ เอาเป็นว่าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะ”
“ได้ค่ะ”
ทั้งสองเดินเคียงคู่ไปตามทางเดินที่ขนาบข้างด้วยต้นไม้เขียวรื่นเพื่อเข้าบ้าน ไม่มีใครรู้ในความคิดของใจอันแสนซับซ้อน พิมพ์ลดานั้นเริ่มสั่นคลอนกับความซื่อสัตย์ของสามีว่าจะไม่มีใครอื่น ส่วนติณณภพเริ่มรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป ยิ่งเห็นหน้าภรรยาเขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก อดคิดไม่ได้ว่าถ้าสารภาพความจริงออกไป หล่อนจะมีท่าทีเช่นไร เขาคาดเดาไม่ได้จริง ๆ
ในห้องทำงานกว้างขวาง เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีก่อนที่จะมีใครบางคนเปิดมันเข้ามา…พิชญ์สินีเดินมาหยุดยืนอยู่กลางห้อง มองแผ่นหลังกว้างที่เจ้าตัวยืนหันหน้าไปทางแผ่นกระจกใสสูงจรดเพดาน เมิ่อเขาไม่หันมาหล่อนจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะทำในสิ่งที่ใจโหยหา
สองแขนเรียวสอดไปกอดเกี่ยวเอวเขาเอาไว้ ใบหน้าสวยแนบเข้าหาแผ่นหลังกว้าง
“ไม่เจอกันตั้งสองวัน คิดถึงจังเลยค่ะ”
ติณณภพแกะมือของอีกฝ่ายออก ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้า
“ทำอะไรน่ะปุ้ย!”
เสียงดุ ๆ ทำให้พิชญ์สินีหน้าม่อยลงไป แววตากลมโตกระพริบปริบ ๆ ยามจับจ้องใบหน้าคมคร้าม
“เธอจะทำแบบนี้ที่นี่ไม่ได้ ถ้าใครเข้ามาเห็นจะทำยังไงฮึ!”
“คุณกลัวจะมีคนเอาไปบอกเมียคุณเหรอคะ”
“ถ้าฉันตอบว่าใช่ล่ะ พิมพ์จะรู้เรื่องของเราไม่ได้”
ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน แววตาสั่นระริกมองตามด้วยใจที่เจ็บปวด มันคือความจริงที่บีบให้หล่อนต้องน้อมรับ เป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราว ไม่มีวันที่เขาจะเชิดชูให้แทนตัวจริงที่บ้านของเขาได้