Chapter 4
ในหัวใจที่แสนซับซ้อน (2)
"แล้ว...เธอคิดว่าไงล่ะปุ้ย เธอไม่รู้ตัวเองเลยเหรอว่ามันปกติหรือไม่ปกติน่ะ"
"ปุ้ยไม่รู้ค่ะ ปุ้ยเมาจนจำอะไรไม่ได้"
"ฉันหมายถึงหลังจากที่เธอหายเมาแล้ว"
จู่ ๆ ใบหน้าสวยก็แดงซ่าน หล่อนก้มหน้าหลุบตาหนี อุบอิบออกมาเบา ๆ
"ปุ้ยไม่เคยเสียตัวนี่คะ จะไปรู้ได้ยังไงว่ามันปกติมั้ย แล้วปุ้ยก็ถามคุณก่อนนะคะ คุณแค่พูดมาตามตรงว่ามันเกิดขึ้นหรือเปล่า"
"นั่นแสดงว่าเธอกำลังสงสัยฉัน เธอไม่ไว้ใจฉันใช่มั้ยว่าจะไม่ฉวยโอกาสทำอะไรเธอ"
ชายหนุ่มจ้องใบหน้าสวยที่กำลังครุ่นคิด หล่อนส่ายหน้าปฏิเสธ
"เปล่าค่ะ ปุ้ยไม่ได้ไม่ไว้ใจคุณ แต่ถ้ามันมีอะไรมากกว่านั้น คุณติณห์ลืม ๆ มันไปก็ได้ค่ะ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น สิ่งที่คุณทำ...ปุ้ยอดคิดไม่ได้ว่าคุณกำลังชดเชยความผิดยังไงก็ไม่รู้"
การที่หล่อนพูดมาแบบนั้น ทำให้ติณณภพหัวเราะออกมาเบา ๆ
"ไปกันใหญ่แล้วปุ้ย ความจริงคือมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น สบายใจหรือยัง"
ยังไม่ทันที่พิชญ์สินีจะพูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ของติณณภพก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เป็นสายจากศจีที่โทร.เข้ามา
พิชญ์สินีจับใจความได้ว่าศจีชวนลูกชายไปทานมื้อเย็นด้วยกันที่ร้านหนึ่ง และมีชื่อของหล่อนอยู่ในบทสนทนาด้วย
หลังจากวางสาย ติณณภพก็เดินไปรูดม่านให้ปิดไว้ตามเดิม เขาดูเวลาที่ข้อมือแล้วคิดว่าควรจะไปจากที่นี่ได้แล้ว
"คุณแม่ฉันชวนไปกินข้าว เธอจะไปด้วยกันมั้ย เดี๋ยวฉันแวะไปส่งเธอที่อพาร์ทเม้นท์"
พิชญ์สินีทำท่าครุ่นคิด เหลือบมองคนยืนรอคำตอบ ที่จริงหล่อนจะปฏิเสธก็ย่อมได้ แต่หล่อนเลือกที่จะไปต่อกับติณณภพ อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ถ้าเขาไม่อยากให้ไปก็คงไม่เอ่ยปากชวน
เขาทำเหมือนหล่อนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องลากหล่อนตามติดไปด้วยทุกครั้ง
"ไปก็ได้ค่ะ"
เมื่อได้คำตอบทั้งสองก็พากันเดินออกจากห้อง ตลอดทางเดินที่พาไปสู่ลิฟท์ หัวใจของพิชญ์สินีพองโตไปกับการกระทำของติณณภพ หล่อนไม่รู้ว่านั่นคือการสร้างความหวังหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ หล่อนตกลงไปในเกมที่เขาเป็นผู้เล่นเสียแล้ว
ทุกคนอยู่ได้เพราะความหวังหล่อเลี้ยงใจ หล่อนไม่ผิดหากคิดหวังเมื่อมีโอกาส ถึงแม้ความหวังนั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ตาม
อาหารทยอยมาเสิร์ฟตามหลังเครื่องดื่มไม่นาน ตรงโต๊ะอาหารในมุมหนึ่งของร้าน เสียงพูดคุยกันดังเบา ๆ
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงานที่นำมาเป็นหัวข้อสนทนา ดูเหมือนศจีจะเอ็นดูพิชญ์สินีเป็นพิเศษ หลายเรื่องที่ถามไถ่ล้วนสื่อถึงความห่วงใย ราวกับเลขาของลูกชายเป็นลูกหลานแท้ ๆ คนหนึ่ง
"ทำไมไม่ซื้อรถสักคันล่ะจ๊ะ เผื่อวันไหนต้องกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ จะได้ไม่อันตราย"
พิชญ์สินีคลี่ยิ้ม หล่อนมีแผนอื่นที่อยากไขว่คว้ามาให้ได้ มันสำคัญกว่าการซื้อรถมากนัก
"ปุ้ยต้องเก็บเงินค่ะ ปุ้ยจะเอาไว้ใช้เรื่องเรียน"
"หืม..."
"ปุ้ยมีแผนต่อโทค่ะ"
"อ้อ...จะเรียนโทต่องั้นเหรอ"
"ค่ะ"
"ดีเหมือนกัน ฉันสนับสนุนนะหากเป็นเรื่องเรียน หากมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะจ๊ะ"
พิชญ์สินีคลี่ยิ้มให้ศจีแล้วตักอาหารเข้าปาก หล่อนเหลือบมองสบตากับติณณภพที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ไม่มีใครรู้ความจริงในใจของหล่อน
มันคือการถีบตัวเองให้สูงขึ้น ทั้งติณณภพและพิมพ์ลดาจบโทด้วยกันทั้งคู่ หล่อนอยากเท่าเทียมพิมพ์ลดา อะไรที่อีกฝ่ายมี หล่อนจะไขว่คว้าเพื่อให้ตัวเองมีบ้าง หากหล่อนคว้าปริญญาโทมาได้สำเร็จ ติณณภพจะต้องภูมิใจในตัวหล่อนอย่างแน่นอน
ในโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตัวเองกันทั้งนั้น และหล่อนเป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อความเท่าเทียมกันในสังคม บางครั้งหล่อนเอาแต่โทษโชคชะตา เหตุใดจึงไม่เกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเช่นคนอื่น ๆ บ้าง
เมื่อว่ายน้ำมาเจอหลักให้เกาะ หล่อนจึงไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ ติณณภพคือคนที่ทำให้หล่อนอยากถีบตัวเองให้สูงกว่านี้ เพื่อที่หล่อนจะได้มีที่ยืนในสังคมกับเขาบ้าง
เสียงร้องเพลงผสานเสียงเคาะขวดดังลั่นอยู่ตรงด้านล่างอพาร์ทเม้นท์ ดูก็รู้ว่าคนกลุ่มนั้นกำลังเมามายได้ที่ ติณณภพมองผ่านม่านกระจกที่ติดฟิล์มดำมืด เขารู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยหากจะปล่อยให้พิชญ์สินีเดินขึ้นห้องไปเพียงลำพัง ซึ่งตอนนี้ก็มืดค่ำยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวมากขึ้น
ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว ท่ามกลางความงุนงงของพิชญ์สินี
"คุณติณห์จะไปไหนคะ"
"ฉันจะไปส่งเธอที่ห้อง ตรงนั้นมีแต่คนเมาน่ะเห็นมั้ย"
"ไม่น่าจะมีอะไรมั้งคะ"
ชายหนุ่มไม่ฟัง เขาเปิดประตูลงจากรถไปยืนรอ จนอีกฝ่ายต้องรีบตามลงไป
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในตัวอาคาร ผ่านกลุ่มคนเมาที่กำลังส่งเสียงดังลั่น ห้องของพิชญ์สินีนั้นอยู่ชั้นสอง ขึ้นบันไดไปนิดเดียวก็ถึง
ที่หน้าห้อง ติณณภพยืนรอให้เจ้าของห้องไขกุญแจ เมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง เขาก็ถือวิสาสะเดินตามเข้าไป ไม่เข้าใจตัวเอง เหตุใดจึงอยากรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของเลขาคนสวย
เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง ที่นี่เล็กกว่าคอนโดที่เขาเช่าไว้ให้หล่อน และนั่นทำให้รู้ว่าเขาคิดถูก ที่ให้หล่อนไปอยู่ในที่ ๆ มันดีกว่านี้
"เห็นแบบนี้แล้ว ฉันตัดสินใจแทนเธอได้เลยนะปุ้ย ย้ายที่อยู่ใหม่เถอะ คนเมาพวกนั้นไว้ใจได้เหรอ"
เขาหว่านล้อม หากแต่พิชญ์สินียังคงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
หล่อนต้องสงวนท่าทีไว้บ้าง ไม่ใช่อะไรก็ง่ายไปเสียหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่มีค่าในสายตาของเขา
ภายในห้องมีของแค่ไม่กี่ชิ้น แขกที่มาเยือนได้แต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ เพราะไม่มีโซฟาให้นั่ง แต่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาติณณภพก็คือ กีตาร์ที่วางพิงไว้กับผนัง
"ปุ้ย เธอเล่นเป็นด้วยเหรอ"
หล่อนหันมายิ้มให้ จริง ๆ แล้วหล่อนเล่นไม่เป็นเลยต่างหาก
"ปุ้ยอยากเล่นค่ะ กำลังหัดอยู่ อาศัยดูคลิปตามยูทูป"
เป็นอีกสิ่งที่หล่อนทำเพื่อเข้าถึงตัวติณณภพ ซึ่งหล่อนรู้มาว่าพิมพ์ลดาก็เล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้เป็น และหากหล่อนหัดเล่นบ้างก็จะทำให้ถีบตัวเองขึ้นไปยืนเคียงคู่กับเมียของเขาได้ ทุกสิ่งอย่างที่ติณณภพรักในตัวพิมพ์ลดา หล่อนพยายามจะเป็นแบบนั้น
เหมือนมีแรงดึงดูด ติณณภพเดินไปหยิบกีตาร์ขึ้นมา เขาเดินไปนั่งบนขอบเตียงที่เล็กกว่าเตียงที่บ้านเขา นิ้วเรียวยาวกดไล่ไปตามสาย เขารู้สึกว่ามันหย่อนกว่าที่ควรจะเป็น
"ฉันตั้งสายให้ใหม่เอาไหม แน่ใจนะว่าเธอเล่นเป็นจริง ๆ น่ะ"
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบา ๆ พิชญ์สินียิ้มเอียงอายแล้วเดินไปหย่อนกายนั่งลงเคียงข้างคนที่กำลังทำตัวเป็นครูสอนดนตรี สองมือยกขึ้นท้าวคางเอาไว้ ลอบมองใบหน้าคมคร้ามที่กำลังจดจ่ออยู่กับสายกีตาร์
"ถ้าหากปุ้ยอยากเรียน บอสพอจะมีเวลาว่างสอนปุ้ยหรือเปล่าคะ"
ติณณภพเงยหน้าขึ้นมอง สบตาคนข้าง ๆ แล้วเปรยยิ้ม
“ฉันต้องเสียเวลาสอนเธอ แล้วเธอมีอะไรมาแลกหรือเปล่าล่ะ”
“…..”
คำถามที่ทำเอาคนฟังไปไม่เป็น รอยยิ้มแบบนี้ แววตาแบบนี้ ทำหล่อนคิดลึกไปกับคำถามกำกวมของเขา
หล่อนลุกหนีแววตาชวนให้ใจไหวหวั่น เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมากอดเอาไว้
“ปุ้ยไปอาบน้ำก่อนดีกว่าค่ะ ร้อนเหนียวตัวจะแย่”
หล่อนปล่อยให้เขาจูนสายกีตาร์อยู่เพียงลำพัง ก่อนเดินหนีเข้าห้องน้ำ เพียงบานประตูปิดสนิทหล่อนก็เอาหลังพิงผนังห้องน้ำ เงยหน้าหลับตาคิดถึงสิ่งที่ติณณภพทำ
เหมือนกำลังตีโจทย์อะไรสักอย่าง เป็นโจทย์เกี่ยวกับหัวใจอันแสนซับซ้อน มันจะดีไหมหากแสดงออกไปเลยว่าหล่อนเองก็คิดไม่ซื่อกับเขา หลอกล่อให้เขาเผยใจออกมามากกว่านี้ จะได้ชัดเจนไม่คลุมเครือว่าหล่อนคิดไปเองฝ่ายเดียว…ท่ามกลางสายน้ำที่พร่างพรมลงบนกายเปลือยเปล่า หล่อนฝันหวานไปไกลแสนไกล อ้อมกอดที่ใฝ่หาเมื่อไหร่จะได้มาครอบครอง
เสียงสายน้ำเงียบลง สักพักก็ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เสียงดีดกีตาร์ดังแว่วมาจากเตียงนอน
“คุณติณห์…เอ่อ…จะกลับตอนไหนคะ”
นิ้วเรียวยาวที่ไล่ไปตามคอร์ดหยุดชะงัก ติณณภพเงยหน้าขึ้นมอง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องน้ำทำให้แววตาเข้มเผลอจ้องมองอย่างลืมตัว หล่อนอยู่ในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวพันกาย มันสั้นเต่ออวดปลีน่องเรียวขาวที่มีหยดน้ำเกาะพราว อกอิ่มไม่สามารถหลบซ่อนสายตาเขาได้ มันแทบทะลุออกมานอกผืนผ้าขาวสะอาด หล่อนทำให้ลมหายใจเขาติดขัดและร้อนผ่าว ใจเต้นแรงกับกลิ่นของความสดใหม่ที่ลอยกรุ่นอยู่ตรงหน้า
ใจแบ่งเป็นสอง มันต่อสู้กันอย่างหนัก ระหว่างวางกีตาร์แล้วเดินออกไปจากห้องเพื่อกลับไปหาลูกเมีย กับเดินเข้าหาร่างยั่วใจแล้วจับหล่อนโยนขึ้นเตียง เขาควรตัดสินใจเช่นไร