Chapter​ 3 สัญญาณเตือน​ (1)

1140 คำ
Chapter​ 3 สัญญาณเตือน​ (1) แดดยามบ่ายร้อนแรงจนแสบตา​ เป็นความร้อนชื้นที่ซ่อนพายุฝนเอาไว้ใต้ก้อนเมฆที่ลอยต่ำ​ ในรั้วบ้านลือวิเศษกุลรถคันหรูแล่นช้า​ ๆ​ เข้ามาตามทางที่ขนาบข้างด้วยพรรณไม้เขียวรื่น​ ทันทีที่รถจอดสนิทหน้าบ้านหลังใหญ่​ นพดลก็รีบลงจากรถเพื่อวิ่งไปเปิดท้ายรถ​ ในนั้นมีทั้งกระเป๋าเดินทางและถุงกระดาษวางเรียงราย​ เขากุลีกุจอช่วยเจ้านายหนุ่มถือเข้าไปในบ้าน​ ก่อนนำไปวางไว้ตรงมุมรับแขก​ ส่วนกระเป๋าเดินทางเขายกขึ้นไปส่งถึงหน้าห้องเจ้านาย ติณณภพถอดแว่นกันแดดสีดำออกเมื่อไอเย็นจากในบ้านโชยมาระเรี่ยผิวกาย​ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ​ ๆ​ บ้านที่เงียบงัน​ เขาเดินไปทางประตูข้างบ้านที่เชื่อมต่อกับสวนร่มครึ้ม​ เห็นมารดากำลังนอนให้คนนวดเท้าอยู่อย่างสบายอารมณ์ “สวัสดีครับคุณแม่” ศจีลืมตามอง​ เห็นร่างสูง​กำลังเดินมาหย่อนกายนั่งลงบนม้านั่งสีขาวตัวยาว​ ในมือเขาถืออะไรบางอย่างมาด้วย “เพิ่งมาถึงเหรอจ๊ะ” “ครับ​ ที่นี่อากาศอบอ้าวเหมือนฝนจะตกเลยนะครับ” “ไปอาบน้ำอาบท่าสิติณห์ มาเหนื่อย​ ๆ​ ก็นอนพักก่อน” ชายหนุ่มไม่พูดอะไร​ เขายื่นถุงกระดาษใบสวยส่งให้มารดา “อะไรจ๊ะ” “ของฝากจากเชียงรายครับ​ ปุ้ยซื้อมาฝากคุณแม่” ศจีทำตาวาว​ ยื่นมือไปรับของฝากจากเลขาลูกชาย​ หล่อนหยิบของสิ่งนั้นออกมาจากถุง​ เป็นผ้าคลุมไหล่ที่ทอโดยชาวพื้นเมือง​ เรียกรอยยิ้มให้เคลือบฉาบบนใบหน้าอวบอิ่ม “โถ…ยังมีน้ำใจนึกถึงคนแก่​ จะซื้อมาให้เปลืองเงินเปลืองทองทำไม​ เด็กคนนี้อ่อนน้อมถ่อมตนและมีสัมมาคารวะดีจังเลยนะติณห์” ติณณภพได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร​ แต่ดูจากแววตาของมารดาแล้วเหมือนท่านจะเอ็นดูพิชญ์สินีเป็นอย่างมาก จะไม่ให้ศจีเอ็นดูได้อย่างไร​ ก็เพราะหล่อนเป็นคนฝากพิชญ์สินีให้เข้าไปเป็นเลขาของลูกชายแทนคนเก่าที่ลาออก​ ซึ่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือกันฝากมาอีกที “แล้วเป็นยังไงบ้างจ๊ะ​ เรื่องการทำงานของหนูปุ้ย หวังว่าคงจะไม่ทำให้แม่ขายหน้านะ” “ใช้ได้เลยล่ะครับ​ ปุ้ยทำงานเก่งแล้วก็ขยัน​ ช่วยผมได้ในหลาย​ ๆ​ เรื่อง” “อืม…ฝากด้วยนะติณห์​ อะไรที่น้องยังไม่เข้าใจก็ต้องค่อย​ ๆ​ สอนกันไป” “ครับ” ติณณภพดูเวลาที่ข้อมือ​ เขาเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่เห็นหน้าลูกเมีย​ ปกติพิมพ์ลดาจะพาลูกมารอรับหน้าเขา​ แต่วัันนี้กลับไร้เงาของทั้งสองคน “แล้ว…พิมพ์กับตั้งโอ๋ไปไหนเหรอครับ​ บ้านดูเงียบ​ ๆ” “เห็นว่าพาลูกไปบ้านโน้นน่ะ​ น่าจะกลับเย็น​ ๆ” ติณณภพเอียงหน้ามองมารดา​ เพราะพิมพ์ลดาขับรถไม่เป็น​ เขาหวังว่าหล่อนคงจะไม่หอบลูกขึ้นแท็กซี่ไปแน่​ ๆ “ไปกับใครเหรอครับ” “ไปกับตาช้างน่ะ” คนที่ศจีเอ่ยถึงก็คือแดนดิน​ เพื่อนสนิทของลูกชาย​ คบหากันมาตั้งแต่เด็ก​ ๆ​ “ไอ้ช้างมันมาทำอะไรที่นี่​ แล้วมันก็พาลูกเมียชาวบ้านไปข้างนอกโดยไม่บอกผัวเขาสักคำเนี่ยนะ” ติณณภพลุกพรวดขึ้นยืนอย่างหัวเสีย​ เขาไม่พูดอะไรอีก​ เดินหนีมารดาเข้าไปในบ้านเสียดื้อ​ ๆ​ เมื่อเดินมาถึงมุมรับแขกก็เห็นบิดานั่งดื่มชาร้อนอยู่ โดยมีหนังสือเล่มเล็กอยู่ในมือ “กลับมาแล้วเรอะไอ้เสือ” ตรัยทักทายลูกชายที่ยังคงมีอาการลมออกหูเพราะเคืองเพื่อนที่มาขโมยลูกเมียเขาไปโดยไม่บอกกล่าว​ นี่ไม่ใช่เรื่องขุนช้างขุนแผน​ ที่พอขุนแผนไม่อยู่นางพิมพ์ก็ถูกลากไปโน่นไปนี่โดยที่ผัวไม่รู้ “พิมพ์ออกไปกับไอ้ช้างเหรอครับคุณพ่อ ไม่มีใครโทร.บอกผมเลยสักคน” “ใช่​ ตาช้างเอาเมลอนมาฝากแม่แก แล้วบังเอิญแม่หนูพิมพ์โทร.มาว่าไม่สบาย​ เขาก็เลยขันอาสาพาหนูพิมพ์ไปเยี่ยมแม่” เมื่อได้ฟังเหตุผลเขาก็ค่อย​ ๆ​ ทำใจให้เย็นลง​ ชายหนุ่มเดินไปนั่งบนโซฟา​ เขาหยิบถุงกระดาษที่เป็นของบิดาขึ้นมา​ แล้วยื่นไปให้ท่าน “อะไรล่ะนั่น” “ปุ้ยซื้อมาฝากคุณพ่อครับ” ตรัยชะงักมือที่กำลังจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ​ เขาเหลือบมองหน้าลูกชายอย่างคนมีอะไรจะพูด​ ก่อนจะรับถุงกระดาษมาเปิดดู​ เมื่อเห็นว่าเป็นเนคไททอมือลวดลายเอกลักษณ์ทางเหนือ​ เขาก็วางถุงไว้บนโต๊ะที่วางถ้วยชา ดูไม่ได้ตื่นเต้นกับของฝากจากเลขาของลูกชายสักเท่าใดนัก ตรัยมองไปยังถุงกระดาษอีกหลายใบ​ เขาทำหน้าพยักพเยิดไปทางนั้นแล้วคาดเดา “อย่าบอกนะว่าที่สุม​ ๆ​ กันอยู่นั่น​ เลขาของแกเขาซื้อมาฝากลูกเมียแกด้วย” “ใช่ครับคุณพ่อ​ มีของพิมพ์​ แล้วก็ของตั้งโอ๋ อ้อ ของยายปลาด้วย” “แหม​ เลขาแกเขามีน้ำใจดีจังเลยนะ” ตรัยยกชาขึ้นจิบ​ เขายกขาขึ้นไขว้กัน​ วางมือที่ถือถ้วยชาไว้บนเข่า “ฉันไม่อยากจะยุ่งเรื่องของแกหรอกนะเพราะโต ๆ กันแล้ว​ แค่อยากเตือนในฐานะที่ฉันผ่านมันมาก่อน​ ตรงจุดที่แกยืนอยู่นั้นฉันผ่านมาหมดแล้ว ทั้งเหล้า​ สุรา​ นารี​ ชีวิตก็เหมือนกับว่าเรากำลังปีนขึ้นไปบนหอสูงที่ทั้งลมแรงแล้วก็เหน็บหนาว​ ระหว่างทางก็มีสิ่งเร้ามากมายมาทดสอบเรา มันอยู่ที่ว่าตัวแกจะตั้งหลักรับมือกับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาได้อย่างไร” “…..” “แกไม่ได้เดินทางคนเดียว​ แต่ยังพ่วงภาระไว้ถึงสองคน​ จะทำยังไงดีล่ะที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปจนถึงจุดหมายโดยไม่เสียคนที่เรารักไปเสียก่อน” “คุณพ่อ…หมายถึงอะไรเหรอครับ” “พวกแกยังโชคดี ที่ฉันผ่านมันมาได้โดยไม่เสียแม่แกไป” แววตากร้านโลกสบตากับลูกชายอย่างมีความหมาย​ ในขณะที่ติณณภพคิดไปถึงค่ำคืนนั้นที่เชียงราย​ ไม่รู้ว่ามีใครคาบข่าวมาฟ้องบิดาเขาหรือไม่​ และหากมีคนเห็นและพูดกันปากต่อปาก​ เขากลัวว่ามันจะเข้าหูพิมพ์ลดาในสักวัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม