Chapter 3
สัญญาณเตือน (1)
แดดยามบ่ายร้อนแรงจนแสบตา เป็นความร้อนชื้นที่ซ่อนพายุฝนเอาไว้ใต้ก้อนเมฆที่ลอยต่ำ ในรั้วบ้านลือวิเศษกุลรถคันหรูแล่นช้า ๆ เข้ามาตามทางที่ขนาบข้างด้วยพรรณไม้เขียวรื่น ทันทีที่รถจอดสนิทหน้าบ้านหลังใหญ่ นพดลก็รีบลงจากรถเพื่อวิ่งไปเปิดท้ายรถ ในนั้นมีทั้งกระเป๋าเดินทางและถุงกระดาษวางเรียงราย เขากุลีกุจอช่วยเจ้านายหนุ่มถือเข้าไปในบ้าน ก่อนนำไปวางไว้ตรงมุมรับแขก ส่วนกระเป๋าเดินทางเขายกขึ้นไปส่งถึงหน้าห้องเจ้านาย
ติณณภพถอดแว่นกันแดดสีดำออกเมื่อไอเย็นจากในบ้านโชยมาระเรี่ยผิวกาย ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ บ้านที่เงียบงัน เขาเดินไปทางประตูข้างบ้านที่เชื่อมต่อกับสวนร่มครึ้ม เห็นมารดากำลังนอนให้คนนวดเท้าอยู่อย่างสบายอารมณ์
“สวัสดีครับคุณแม่”
ศจีลืมตามอง เห็นร่างสูงกำลังเดินมาหย่อนกายนั่งลงบนม้านั่งสีขาวตัวยาว ในมือเขาถืออะไรบางอย่างมาด้วย
“เพิ่งมาถึงเหรอจ๊ะ”
“ครับ ที่นี่อากาศอบอ้าวเหมือนฝนจะตกเลยนะครับ”
“ไปอาบน้ำอาบท่าสิติณห์ มาเหนื่อย ๆ ก็นอนพักก่อน”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขายื่นถุงกระดาษใบสวยส่งให้มารดา
“อะไรจ๊ะ”
“ของฝากจากเชียงรายครับ ปุ้ยซื้อมาฝากคุณแม่”
ศจีทำตาวาว ยื่นมือไปรับของฝากจากเลขาลูกชาย หล่อนหยิบของสิ่งนั้นออกมาจากถุง เป็นผ้าคลุมไหล่ที่ทอโดยชาวพื้นเมือง เรียกรอยยิ้มให้เคลือบฉาบบนใบหน้าอวบอิ่ม
“โถ…ยังมีน้ำใจนึกถึงคนแก่ จะซื้อมาให้เปลืองเงินเปลืองทองทำไม เด็กคนนี้อ่อนน้อมถ่อมตนและมีสัมมาคารวะดีจังเลยนะติณห์”
ติณณภพได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร แต่ดูจากแววตาของมารดาแล้วเหมือนท่านจะเอ็นดูพิชญ์สินีเป็นอย่างมาก
จะไม่ให้ศจีเอ็นดูได้อย่างไร ก็เพราะหล่อนเป็นคนฝากพิชญ์สินีให้เข้าไปเป็นเลขาของลูกชายแทนคนเก่าที่ลาออก ซึ่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือกันฝากมาอีกที
“แล้วเป็นยังไงบ้างจ๊ะ เรื่องการทำงานของหนูปุ้ย หวังว่าคงจะไม่ทำให้แม่ขายหน้านะ”
“ใช้ได้เลยล่ะครับ ปุ้ยทำงานเก่งแล้วก็ขยัน ช่วยผมได้ในหลาย ๆ เรื่อง”
“อืม…ฝากด้วยนะติณห์ อะไรที่น้องยังไม่เข้าใจก็ต้องค่อย ๆ สอนกันไป”
“ครับ”
ติณณภพดูเวลาที่ข้อมือ เขาเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่เห็นหน้าลูกเมีย ปกติพิมพ์ลดาจะพาลูกมารอรับหน้าเขา แต่วัันนี้กลับไร้เงาของทั้งสองคน
“แล้ว…พิมพ์กับตั้งโอ๋ไปไหนเหรอครับ บ้านดูเงียบ ๆ”
“เห็นว่าพาลูกไปบ้านโน้นน่ะ น่าจะกลับเย็น ๆ”
ติณณภพเอียงหน้ามองมารดา เพราะพิมพ์ลดาขับรถไม่เป็น เขาหวังว่าหล่อนคงจะไม่หอบลูกขึ้นแท็กซี่ไปแน่ ๆ
“ไปกับใครเหรอครับ”
“ไปกับตาช้างน่ะ”
คนที่ศจีเอ่ยถึงก็คือแดนดิน เพื่อนสนิทของลูกชาย คบหากันมาตั้งแต่เด็ก ๆ
“ไอ้ช้างมันมาทำอะไรที่นี่ แล้วมันก็พาลูกเมียชาวบ้านไปข้างนอกโดยไม่บอกผัวเขาสักคำเนี่ยนะ”
ติณณภพลุกพรวดขึ้นยืนอย่างหัวเสีย เขาไม่พูดอะไรอีก เดินหนีมารดาเข้าไปในบ้านเสียดื้อ ๆ เมื่อเดินมาถึงมุมรับแขกก็เห็นบิดานั่งดื่มชาร้อนอยู่ โดยมีหนังสือเล่มเล็กอยู่ในมือ
“กลับมาแล้วเรอะไอ้เสือ”
ตรัยทักทายลูกชายที่ยังคงมีอาการลมออกหูเพราะเคืองเพื่อนที่มาขโมยลูกเมียเขาไปโดยไม่บอกกล่าว นี่ไม่ใช่เรื่องขุนช้างขุนแผน ที่พอขุนแผนไม่อยู่นางพิมพ์ก็ถูกลากไปโน่นไปนี่โดยที่ผัวไม่รู้
“พิมพ์ออกไปกับไอ้ช้างเหรอครับคุณพ่อ ไม่มีใครโทร.บอกผมเลยสักคน”
“ใช่ ตาช้างเอาเมลอนมาฝากแม่แก แล้วบังเอิญแม่หนูพิมพ์โทร.มาว่าไม่สบาย เขาก็เลยขันอาสาพาหนูพิมพ์ไปเยี่ยมแม่”
เมื่อได้ฟังเหตุผลเขาก็ค่อย ๆ ทำใจให้เย็นลง ชายหนุ่มเดินไปนั่งบนโซฟา เขาหยิบถุงกระดาษที่เป็นของบิดาขึ้นมา แล้วยื่นไปให้ท่าน
“อะไรล่ะนั่น”
“ปุ้ยซื้อมาฝากคุณพ่อครับ”
ตรัยชะงักมือที่กำลังจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ เขาเหลือบมองหน้าลูกชายอย่างคนมีอะไรจะพูด ก่อนจะรับถุงกระดาษมาเปิดดู เมื่อเห็นว่าเป็นเนคไททอมือลวดลายเอกลักษณ์ทางเหนือ เขาก็วางถุงไว้บนโต๊ะที่วางถ้วยชา ดูไม่ได้ตื่นเต้นกับของฝากจากเลขาของลูกชายสักเท่าใดนัก
ตรัยมองไปยังถุงกระดาษอีกหลายใบ เขาทำหน้าพยักพเยิดไปทางนั้นแล้วคาดเดา
“อย่าบอกนะว่าที่สุม ๆ กันอยู่นั่น เลขาของแกเขาซื้อมาฝากลูกเมียแกด้วย”
“ใช่ครับคุณพ่อ มีของพิมพ์ แล้วก็ของตั้งโอ๋ อ้อ ของยายปลาด้วย”
“แหม เลขาแกเขามีน้ำใจดีจังเลยนะ”
ตรัยยกชาขึ้นจิบ เขายกขาขึ้นไขว้กัน วางมือที่ถือถ้วยชาไว้บนเข่า
“ฉันไม่อยากจะยุ่งเรื่องของแกหรอกนะเพราะโต ๆ กันแล้ว แค่อยากเตือนในฐานะที่ฉันผ่านมันมาก่อน ตรงจุดที่แกยืนอยู่นั้นฉันผ่านมาหมดแล้ว ทั้งเหล้า สุรา นารี ชีวิตก็เหมือนกับว่าเรากำลังปีนขึ้นไปบนหอสูงที่ทั้งลมแรงแล้วก็เหน็บหนาว ระหว่างทางก็มีสิ่งเร้ามากมายมาทดสอบเรา มันอยู่ที่ว่าตัวแกจะตั้งหลักรับมือกับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาได้อย่างไร”
“…..”
“แกไม่ได้เดินทางคนเดียว แต่ยังพ่วงภาระไว้ถึงสองคน จะทำยังไงดีล่ะที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปจนถึงจุดหมายโดยไม่เสียคนที่เรารักไปเสียก่อน”
“คุณพ่อ…หมายถึงอะไรเหรอครับ”
“พวกแกยังโชคดี ที่ฉันผ่านมันมาได้โดยไม่เสียแม่แกไป”
แววตากร้านโลกสบตากับลูกชายอย่างมีความหมาย ในขณะที่ติณณภพคิดไปถึงค่ำคืนนั้นที่เชียงราย ไม่รู้ว่ามีใครคาบข่าวมาฟ้องบิดาเขาหรือไม่ และหากมีคนเห็นและพูดกันปากต่อปาก เขากลัวว่ามันจะเข้าหูพิมพ์ลดาในสักวัน