เรื่อง : ซ้อนกลรัก
ตอนที่ 7 #เกมเริ่มต้นขึ้นแล้ว (75%)
โดย : Kwitch (เขียนเป็นภาษาไทยว่า กวิชญ์ (อ่านว่า กะ-วิช (ออกเสียง “เฉอะ”)))
ณ บ้านของกันตภัทร์
ในฝั่งของกันตภัทร์หลังที่กลับมาจากการส่งบทมีแล้ว เมื่อขึ้นไปบนห้องนอนชายหนุ่มก็ทิ้งร่างเรียบลงบนเตียง จากนั้นจึงยกแขนขวาขึ้นมาก่ายหน้าผากเพื่อคิดพิจารณา เขาไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันควรจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าพูดตามตรง เขาก็ยังไม่ได้เตรียมตัวที่จะรับมือกับเรื่องนี้มาก่อน เพราะมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนเขาก็ตั้งตัวรับไม่ทันเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มย้อนนึกถึงวันนั้น...วันที่เขาได้รับรู้ถึงเรื่องการแต่งงานที่จะต้องเกิดขึ้นระหว่างเขากับคีตา โดยที่เขามิได้ยินยอมพร้อมใจด้วย
‘กันต์...แม่มีเรื่องจะพูดด้วย’ หญิงวัยกลางคนถอนหายใจยาว ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยออกมา
‘ครับ’
‘กันต์ต้องแต่งงานกับผู้หญิงของตระกูลสัตยธนะวงศ์’
ใบหน้าหล่อเหลาอาบไปด้วยเครื่องหมายปรัศนีและความงงงวย ‘คุณแม่พูดอะไรครับเนี่ย...ผมไม่เข้าใจ’
‘มันเป็นความตั้งใจของคุณทวดที่ระบุไว้ในพินัยกรรมว่าต้องให้ทายาทรุ่นใดรุ่นหนึ่งของสุริยะโยธินกับสัตยธนะวงศ์ซึ่งต้องไม่เกินสามรุ่นต่อจากคุณทวดแต่งงานกัน’ ดวงตาลุ่มลึกสาดแววสงสารจับใจส่งไปที่ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอย่างหัวเสีย ‘มันดูไม่เมคเซนซ์เลยนะครับคุณแม่’ ชายหนุ่มหมายถึงความสมเหตุสมผลของการแต่งงานในครั้งนี้
แววตาสงสารยังคงฉายแววอยู่ไม่จางไป ‘เหมือนว่าเราน่าจะต้องทำตามความประสงค์ของคุณทวดนะลูก’
‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะครับเนี่ย...ผมยังไม่เคยได้รู้จักตระกูลนั้นเลยเสียด้วยซ้ำ’ น้ำเสียงของชายหนุ่มเพิ่มระดับความหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
‘แม่เข้าใจ’
‘แล้วถ้าผมไม่แต่งล่ะครับ’
‘มรดกทั้งหมดของสุริยะโยธินก็จะตกเป็นของแผ่นดิน…พินัยกรรมระบุไว้แบบนั้น’ มารดาของเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘ฮะ! นี่มันเรื่องอะไรกันครับ…จะทำอย่างนี้ได้ยังไง...ผมไม่ยอมหรอก’
‘ก็แล้วแต่แกนะ...แต่พินัยกรรมระบุไว้ชัดเจนแบบนั้น...และแกก็เป็นรุ่นสุดท้ายแล้วที่จะต้องทำตามพินัยกรรม...เพราะคุณทวดระบุไว้ว่าทายาทที่ต่อจากคุณทวดไม่เกินสามรุ่น จะต้องมีรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่แต่งงานกับตระกูลสัตยธนะวงศ์ แล้วแกก็เป็นรุ่นที่สาม’ เธอก้าวเดินออกไปหลังจากที่แจ้งเรื่องเรียบร้อยแล้ว แต่แล้วเธอก็หยุดก้าวฝีเท้าและหันมาพูดกับชายหนุ่มต่อ ‘อ้อ! แล้วก่อนที่จะแต่งก็คงจะต้องหมั้นกันก่อน...แกเตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ’ หลังจากที่ทิ้งระเบิดก้อนโตไว้ให้ชายหนุ่มอีกระลอก มารดาของเขาก็เดินจากไปโดยไม่แยแสชายหนุ่มแม้แต่น้อย
‘นี่มันบ้าชัด ๆ’ ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
อันที่จริงแล้วในวันนี้ วันที่นัดเจอว่าที่คู่หมั้นเป็นครั้งแรกนั้น ความตั้งใจแรกของชายหนุ่มก็มีเพียงแค่จะไปดูท่าทีและเจรจากับเธอ...คีตา เกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยปราศจากความยินยอมของเขา แต่เมื่อเขาเห็นท่าทีปฏิเสธอย่างชัดเจนของเธอ แทนที่เขาจะรู้สึกโล่งใจ แต่เขากลับรู้สึกเสียหน้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่เคยถูกผู้หญิงปฏิเสธมาก่อน โดยปกติแล้วมีแต่คนที่อยากจะอยู่ใกล้ชิดกับเขา โดยก่อนที่จะมาเจอกับเธอ...คีตา ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าเจ้าหล่อนก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน แต่การแสดงออกของหญิงสาวในวันนี้มันช่างแตกต่างจากที่ชายหนุ่มคิดไว้อย่างสิ้นเชิง ความหยิ่งยโสของเธอนั้นทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนวัตถุประสงค์โดยฉับพลันทันใด แถมชายหนุ่มยังตัดสินใจที่จะเดิมพันโดยเอาตัวเองลงไปเล่นอยู่ในเกมนี้ เขาอยากจะให้หล่อนศิโรราบและจารึกชื่อของเขา “กันตภัทร์ สุริยะโยธิน” ไว้ในหัวใจในฐานะผู้ที่กำชัยชนะสำหรับเกมนี้
.....
ณ บ้านของคีตา
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแต่เช้าตรู่ คีตายกมือขึ้นกุมหน้าผาก และพยายามลืมตาขึ้นด้วยสภาพที่งัวเงียเพราะยังไม่มีสติดีนักในเวลาแบบนี้ หล่อนบ่นในใจ ‘ใครมาปลุกฉันแต่เช้าเนี่ย’ เธอพยายามพยุงตัวให้ลุกขึ้นแล้วพิงตัวอยู่บนหัวเตียง จากนั้นก็ถอนหายใจยาว
‘ใครคะ’ น้ำเสียงของเจ้าหล่อนไม่เต็มใจนักในการที่จะขานรับผู้ที่เคาะประตูนั้น
‘แอ๋มเองค่ะคุณคี’
แอ๋มเปิดประตูเข้ามา ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย ‘คุณย่าให้มาตามคุณคีลงไปทานข้าวเช้าค่ะ...แถมย้ำด้วยว่าให้อาบน้ำก่อนด้วยนะคะ’
คีตาเลิกคิ้ว แล้วหันไปมองนาฬิกา ‘นี่เพิ่งเจ็ดโมงเองนะคะ...ทำไมวันนี้ทานข้าวเร็วจัง...คียังไม่ตื่นดีเลยเนี่ย’ พูดเสร็จก็มีอาการหาวขึ้นมาทันที ‘ฝากบอกคุณย่าได้มั้ยคะ...ว่าทานก่อนได้เลย...คียังไม่หิว’ น้ำเสียงยังคงปรากฏความงัวเงียอยู่ไม่ใช่น้อย
‘แต่คุณย่ากำชับมาว่าวันนี้ต้องลงไปทานด้วยกันค่ะ’
คีตาขมวดคิ้ว ‘มีอะไรรึเปล่าคะ’
‘คุณคีรีบอาบน้ำเถอะค่ะ...เดี๋ยวคุณย่าจะรอนาน’
หญิงสาวพยักหน้ารับ ในขณะที่ยังสะลึมสะลืออยู่ ‘ทราบแล้วค่ะ’
หลังจากที่คีตาเสร็จภารกิจในการอาบน้ำแต่งตัวแล้วนั้น หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดมาด้วยชุดลำลองเสื้อยืดโปโลสีขาว กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีกรมท่า ซึ่งเธอมักจะสวมใส่ชุดลักษณะนี้ในเวลาที่อยู่บ้านเสมอ หญิงสาวมุ่งตรงไปที่โต๊ะอาหาร พร้อมเอ่ยทักทายณปภัชด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใส ‘มาแล้วค่ะคุณย่า’
ก่อนที่ณปภัชจะเอ่ยตอบ สายตาก็กวาดไปเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับณปภัช หญิงสาวหันไปมองชายคนนั้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และสุดท้าย...สายตาของเธอก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไป
‘วันนี้กันต์จะมาพาคีออกไปข้างนอก...ก่อนไปก็ทานข้าวกันก่อนนะจ๊ะ’ ณปภัชยิ้มให้ผู้เป็นหลาน
คีตามุ่งตรงไปที่ณปภัช เพื่อที่จะเอ่ยปฏิเสธ แต่เหมือนหญิงชราจะรู้ทัน จึงเอ่ยปากดักคอเธอขึ้นเสียก่อน ‘นั่งสิลูก’ หญิงชราพูดเสียงเย็น ดูทรงอำนาจ อย่างที่เธอมิอาจขัดขืนได้
หญิงสาวก้มหน้าลอบพึมพำในใจอย่างจนปัญญา แต่ก็หย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างหญิงชรา ‘ไปนั่งข้าง ๆ กันต์สิลูก...จะได้คอยดูแลเขาเรื่องอาหารด้วย’
ดวงตาคมช้อนขึ้นมองไปที่หญิงชรา เหมือนอยากจะตัดพ้อประมาณว่า นี่ชายหนุ่มโตแล้วนะ ยังต้องให้หล่อนดูแลเรื่องอาหารอีกหรือ และเธอก็ยังคงทู่ซี้นั่งอยู่ตรงนั้น ‘ไปสิจ๊ะ’ น้ำเสียงนั้นมีอานุภาพทำให้หญิงสาวไม่สามารถต้านทานได้ หล่อนจึงจำใจค่อย ๆ ลุกออกมาจากเก้าอี้ตัวนั้น แล้วเดินมายังเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างชายหนุ่ม ชายหนุ่มลุกขึ้นเพื่อเลื่อนเก้าอี้ให้เธอ ‘ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ฉันคงชื่นชมว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษมาก…แต่ในเวลานี้...ฉันไม่มีอารมณ์ชื่นชมใครจริง ๆ โดยเฉพาะกับตากันต์คนนี้’ หญิงสาวพึมพำในใจ
‘ขอบคุณค่ะ’
‘ถ้าอย่างนั้นก็…เชิญทานข้าวได้เลยจ้ะ’ หญิงชราเอ่ยพร้อมยิ้มน้อย ๆ
‘ขอบคุณครับ’ ชายหนุ่มส่งยิ้มละไมให้หญิงชรา
ช่วงเวลาระหว่างทานข้าว กันตภัทร์ดูเหมือนกับจะรีบทำคะแนน สังเกตได้จากความช่างเอาอกเอาใจที่ปฏิบัติต่อณปภัช ไม่ว่าจะเป็นการตักอาหารโน่น นี่ นั่นให้หญิงชรา ซึ่งเขาดูแลใส่ใจหญิงชรามากกว่าหญิงสาวที่เป็นหลานแท้ ๆ เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าหญิงชรากับชายหนุ่มยังสนทนากันถูกคอจนน่าตกใจ มีอะไรก็เออออห่อหมกกันไปเสียหมด หญิงสาวนั่งมองทั้งสองแบบงง ๆ อาจเป็นเพราะฉงนใจว่าทั้งสองคนเอาเวลาไปสนิทสนมกันตอนไหน
‘คุณจะพาฉันไปไหนเหรอคะ’ จู่ ๆ หญิงสาวก็ถามโพล่งขึ้นมากลางวงอาหาร
‘ผมจะพาคุณไปเลือกแหวนหมั้นครับ’ อีกฝ่ายเอ่ยตอบพร้อมยิ้มน้อย ๆ