นางพลับพลึงเดินกลับเข้ามาในห้องโถง ซึ่งคุณท่านของนางกำลังนั่งอ่านหนังสือรอบุตรชายกับลูกสะใภ้ลงมาจากห้อง
“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะพลับพลึง”
“อิฉันต้องขอโทษคุณท่านด้วยนะคะที่ดันพาตัวปัญหาเข้ามาอยู่ที่นี่”
“บัวผันน่ะเหรอ” คุณขวัญฤดีเงยหน้าขึ้นถามแม่บ้านใหญ่
“ค่ะคุณท่าน” นางพลับพลึงตอบ รู้สึกละอายยิ่งนักที่นางนำตัวปัญหาอย่างบัวผันเข้ามาอยู่ภายในคฤหาสน์เลิศภาณิชย์
“ถ้าเรื่องนั่นล่ะก็พลับพลึงไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เพราะลูกสะใภ้ฉันไม่ได้อ่อนแอ ถึงขนาดปล่อยให้ผู้หญิงอื่นเข้ามายุ่งกับตาเสือ”
ท่านเชื่อว่าลูกสะใภ้คนนี้คงไม่ยอมให้ใครเข้ามายุ่งกับบุตรชายในช่วงที่ทั้งสองยังเป็นสามีภรรยากันหรอก ดีเสียอีกการที่มีบัวผันเข้ามาเป็นมือที่สาม บางทีความสัมพันธ์ของทั้งสองอาจดีขึ้นก็ได้ ใครจะรู้!
นางพลับพลึงมองผู้เป็นนายไม่ออกเลยจริงๆ ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่อย่างน้อยนางก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ที่รู้ว่าภรรยาของเจ้านายหนุ่มไม่ได้อ่อนแออย่างที่นางเป็นกังวล
“แล้วนี่ทำไมตาเสือกับหนูเหมียวถึงยังไม่ลงมาทานข้าวล่ะ พลับพลึงให้บัวผันขึ้นไปตามแล้วไม่ใช่หรือ” คุณขวัญฤดีถาม
“เห็นบัวผันบอกว่าตอนนี้คุณเสือกับคุณเหมียวกำลังยุ่งๆ กันอยู่ค่ะคุณท่าน เลยไม่มีเวลาลงมาทานข้าวตอนนี้”
นางพลับพลึงรายงานตามที่หลานสาวบอก นางเองก็สงสัยอยู่ว่าเจ้านายหนุ่มกับภรรยากำลังยุ่งเรื่องอะไรกัน ก่อนฉุกใจกับสีหน้าเกรี้ยวกราดของหลานสาว
‘หรือว่า...คุณเสือกับคุณเหมียวกำลังทำเรื่องแบบนั้นกันอยู่ ต้องใช่แน่ๆ ไม่งั้นนังบัวผันคงไม่โกรธถึงขนาดนี้’
“เห็นไหมล่ะพลับพลึง บางทีการมีมือที่สามเข้ามาวุ่นวาย ก็อาจทำให้ความสัมพันธ์ของตาเสือกับหนูเหมียวแน่นแฟ้นเหนียวหนึบยิ่งขึ้น”
คุณขวัญฤดียิ้มกับเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านรู้อยู่แล้วว่าหลานสาวของแม่บ้านใหญ่กำลังคิดอะไรอยู่ และยังรู้อีกว่าบุตรชายไม่มีวันสนใจผู้หญิงอื่นนอกจากภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของตนเอง
เพราะท่านสงสัยพฤติกรรมของบุตรชายตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่พยายามเกลี่ยกล่อมให้หนูบัวชมพูแต่งงานแทนหนูพรทิพาแล้ว
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด...
ท่านก็ไม่มีวันยอมให้บุตรชายหย่าขาดกับสะใภ้ที่สวรรค์ส่งมาให้บุตรชายและตระกูลเลิศภาณิชย์เด็ดขาด
“นั่นสิค่ะคุณท่าน ถ้าคุณเสือกับคุณเหมียวกลายเป็นสามีภรรยากันทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย โอกาสที่คุณเสือจะหย่ากับคุณเหมียวก็เป็นศูนย์”
“ถูกต้องแล้วล่ะพลับพลึง ฉันต้องขอบคุณหลานสาวของพลับพลึงด้วยซ้ำ ที่สร้างโอกาสนี้ให้กับตาเสือ”
คุณขวัญฤดีกับนางพลับพลึงนั่งสนทนากันในห้องโถงได้เกือบหนึ่งชั่วโมง ท่านจึงเห็นบุตรชายกับลูกสะใภ้เดินลงบันไดมา คนหน้าตาบูดบึ้ง เม้มริมฝีปากอิ่มเอาไว้แน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธแกมอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในขณะที่อีกคนหนึ่งเดินหน้าตายิ้มระรื่น
“ไม่เอาน่าหนูเหมียว บอกแล้วไงว่าฉันขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว สัญญาเลยเอ้า”
อธิปพยายามพูดออดอ้อนคนพยุงเขาลงจากบันไดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้นเสียหน่อย แต่มันไม่มีทางเลือกจริงๆ เลยขอให้คนข้างกายช่วย เขาก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรมากมาย แค่ให้หญิงสาวช่วยเหลืออะไรบ้างอย่างเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้น
‘ให้ช่วยแค่นี้ ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะเนี่ย’
“ถ้าคราวหลังคุณทำแบบนั้นกับฉันอีก ฉันเอาคุณตายแน่”
บัวชมพูหันมาถลึงตาใส่คนฉวยโอกาสแถมหื่นกามอย่างแค้นใจ โชคดีที่เขาขอให้ช่วยทำเพียงแค่นั้น ถ้าขอมากกว่านั้นล่ะก็ เขาได้ตกนรกทั้งเป็นแน่ พลางคิดในใจอย่างฉุนขาด
‘ถ้าขอมากกว่านั้นสิ แม่จะกระทืบไอ้ที่แข็งโป๊กนั้นให้สูญพันธุ์ไปเลย’
“ครับ คราวหลังจะไม่ทำอีกแล้ว ฉันขอสัญญา”
ใช่! คราวหลังเขาไม่ทำอีกแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าคราวหน้าจะทำไม่ได้นี่นา ยังไงโอกาสก็ยังเป็นของเขา ได้กอด ได้ลูบ ได้คลำซะขนาดนี้ เรื่องอะไรเขาจะปล่อยบัวชมพูไปให้คนอื่น
ถึงหน้าตาเหมือนพรทิพาก็จริง แต่สิ่งที่เขาสัมผัส ช่างให้ความรู้สึกแตกต่างจากพรทิพาอย่างสิ้นเชิง เขารู้ดีว่าทุกอย่างบนร่างกายของบัวชมพูเป็นของแท้ทั้งหมด ไม่ได้เสริมแต่งอะไรลงบนร่างกาย ไม่เหมือนพรทิพา รายนั้นเสริมจมูก ทำคิ้วถาวรและเสริมหน้าอก
ตลอดหนึ่งเดือนที่เขาถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เขามานั่งทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพรทิพา ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาคิดว่ารักหล่อน แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความรักอย่างที่เขาคิดเลย
เขาไม่ได้คิดถึงหรือโหยหาเวลาไม่ได้เจอหน้ากัน
และไม่ได้เจ็บปวด เสียใจที่พรทิพาหนีงานแต่ง ไม่ได้เจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหมือนที่คนอกหักเขาเป็นกัน
เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพรทิพาคืออะไร แค่หลงไม่ใช่รัก ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไปแก้แค้นหรือเอาคืนพรทิพาหรือคนในตระกูลสิริกรอีก ที่จริงเขาควรขอบคุณพรทิพาด้วยซ้ำ ที่ทำให้เขาได้เจอกับบัวชมพู
ได้เจอคนที่เขาคิดว่าใช่และพร้อมฝากชีวิตที่เหลืออยู่ไว้กับเธอคนนี้
คนที่ไม่รังเกียจผู้ชายพิการอย่างเขา ถึงต้องตาบอดไปตลอดชีวิตแต่ได้ใช้ชีวิตกับบัวชมพู เขาก็ยินดี
“หนูเหมียว” อธิปเรียก
“อะไรอีกล่ะ คุณนี่เรื่องมากจริงๆ” บัวชมพูตอบรับเสียงเขียว เรื่องมากจริงๆ ผู้ชายคนนี้ อะไรนิด อะไรหน่อยก็ต้องเรียกเธอ ทำตัวอย่างกับเด็กห้าขวบ
“ถ้าฉันเข้ารับการผ่าตัดแล้ว ฉันยังมองไม่เห็น หนูเหมียวจะยังยินดีอยู่ข้างกายฉันหรือเปล่า” ชายหนุ่มทำเสียงเศร้า ก้มหน้ามองพื้น
“พูดอะไรชวนหดหู่แบบนั้นคุณเสือ”
บัวชมพูหันมาตำหนิคนคิดมาก เขาบอกเองไม่ใช่หรือว่า การผ่าตัดครั้งต่อไป เขาก็สามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
“ยังไงคุณก็ต้องกลับมามองเห็นแน่นอน เชื่อฉันสิ”
“แล้วถ้ามันไม่หายล่ะหนูเหมียว ถ้าฉันตาบอดไปตลอดชีวิตล่ะ หนูเหมียวจะทิ้งฉันไปไหม สัญญาได้ไหมว่าหนูเหมียวจะไม่ทิ้งฉันไปไหน จะอยู่ข้างกายฉันตลอดเวลา”
อธิปหยุดเดิน รั้งให้บัวชมพูหยุดเดินด้วย ใบหน้าหล่อคมสันหันมองเจ้าของใบหน้าหวาน เพื่อนของเขาบอกว่าบัวชมพูหน้าตาน่ารักกว่าพรทิพามาก ดวงตาก็สวยแปลกตา
ถ้าได้สบตาดวงตาคู่สวยของเธอ เขาต้องตกหลุมรักเธอแน่ เขาอยากเห็นเหลือเกินว่าผู้หญิงคนนี้สวยน่ารักอย่างที่เพื่อนๆ เขาบอกไว้หรือเปล่า
“สัญญากับฉันได้ไหมหนูเหมียว อย่าทิ้งฉันไปไหน”
“เป็นอะไรของคุณอีกล่ะ ไม่ตลกนะคุณเสือ ไปกันได้แล้วคุณแม่กับป้าพลับพลึงมองมาทางนี้แล้ว”
บัวชมพูทำหน้าเบ้กับคำขอของอธิป สมองกลับ สติฟั่นเฟือนหรือไง ถึงให้เธอสัญญาไปแบบนั้น
“หนูเหมียวรังเกียจคนตาบอดอย่างฉันจริงๆ สินะ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากอยู่กับคนตาบอดหรอก ฉันผิดเองแหละที่ขอหนูเหมียวมากไป”
“เฮ้อ...ฉันไม่ได้รังเกียจคนตาบอดสักหน่อย และฉันก็ไม่ได้รังเกียจคุณด้วย เรื่องบางเรื่องเราสัญญาไม่ได้หรอกนะคุณเสือ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์คำพูดและการกระทำ”
“แต่ฉันอยากได้คำสัญญาจากหนูเหมียว”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยเลยคุณเสือ”
“เด็กที่ไหนทำเรื่องเมื่อกี้ได้กันล่ะหนูเหมียว ไม่รู้ล่ะ สัญญากับฉันมาก่อน ถ้าฉันผ่าตัดแล้วยังมองไม่เห็นหนูเหมียวจะไม่ทิ้งฉันไป”
“เออ...สัญญาก็ได้ ฉันไม่ทิ้งคุณหรอก เอาเป็นว่าวันใดที่คุณยอมหย่ากับฉัน วันนั้นคำสัญญาระหว่างคุณกับฉันก็จะจบลงด้วย โอเคไหม?”
“โอเค! ตกลงตามนี้” อธิปตอบตกลงกับคำสัญญาของบัวชมพู ใบหน้าหล่อคมสันระบายไปด้วยรอยยิ้ม เขาไม่มีวันหย่ากับผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว
ในเมื่อสวรรค์ส่งมาให้เธอแต่งงานกับเขา แล้วเรื่องอะไรที่เขาต้องปล่อยให้หลุดมือไปกันล่ะ ไม่มีทางเสียล่ะ!
*******