คนทั้งหมดกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนที่ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดจะประสานมือตอบ “ขอรับ พวกเรามีภาพเหมือนของประมุขพรรคมังกรดำที่ท่านให้ไว้ พบว่าใบหน้าลักษณะล้วนตรงกับภาพวาดทุกอย่างเว้นเสียแต่สีผมกับพลังไร้รูป”
“แต่กำลังภายในของเขาร้ายกาจมากขอรับ” อีกคนหนึ่งกล่าวเสริม “พวกเราเดิมทีมีกันสี่สิบคน ถูกเขาคนเดียวสังหารตายไปครึ่งหนึ่ง ต่อสู้พัวพันไล่ล่ากันเกือบสิบทิวาราตรี เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าพลังฟื้นฟูเองก็สูญหายไปด้วย”
รุ่ยคุนประสานมือไพล่หลัง แล้วพยักหน้ายิ้มๆ “คงเป็นฝูหมิงตัวจริงไม่ผิดแน่ อาศัยแค่กำลังภายในเพียงอย่างเดียวในการต่อกรกับนักฆ่ามืออาชีพสี่สิบคน ในใต้หล้าแห่งนี้คงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้”
“ท่านหัวหน้า ถ้าหากเขาคือฝูหมิงจริง แล้วเหตุใดจึงไม่กบดานอยู่ในพรรคมังกรดำเล่าขอรับ”
“อืม...” อีกฝ่ายชักสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหัวเราะแผ่วเบา “คงเป็นเพราะในพรรคมังกรดำเองก็คงมีผู้ที่ไว้ใจไม่ได้อยู่พอตัวกระมัง อีกอย่าง หากคนอย่างพวกเรารู้ว่าเขากบดานอยู่ในพรรคทั้งที่ยังอ่อนแอก็คงนัดรวมพลไปถล่มที่นั่นในคราเดียว ครั้งก่อนมิใช่ว่าพรรคหมื่นพิษเองก็ใช้วิธีการเดียวกันหรอกหรือ”
บุรุษในชุดดำประสานมือพร้อมกับค้อมศีรษะ “ในเมื่อท่านพิสูจน์ได้แล้วว่าจุดอ่อนของตระกูลฝูคืออะไร มิสู้ป่าวประกาศออกไปแล้วอาศัยมือคนอื่นกำจัดพรรคมังกรดำทิ้งไปไม่ดีกว่าหรือ”
“จริงอยู่ว่าถ้าเรากระจายข่าวเรื่องจุดอ่อนของฝูหมิงออกไป ประมุขพรรคมารอันดับหนึ่งที่ไร้เทียมทานก็จะกลายเป็นแค่เสือกระดาษ แต่ถ้าผู้อื่นเป็นคนจำกัดพรรคมังกรดำทิ้งแล้วทะยานขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพลคนใหม่ กิจการตระกูลรุ่ยของเราก็คงไม่แคล้วถูกคุมคามด้วยศัตรูใหม่อยู่ดี”
กลุ่มนักฆ่าได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ที่แท้ผู้นำตระกูลรุ่ยคนล่าสุดก็ปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ มิน่าจึงได้ครอบครองตำแหน่งสูงสุดนี้ได้ตั้งแต่อายุสิบแปด
สายตาของพวกเขามองชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีชาอย่างชื่นชม ขณะที่เจ้าตัวดึงถุงมือหนังออกจากอกเสื้อขึ้นมาสวมอย่างไม่รีบร้อน “แน่นอนว่าเรื่องจุดอ่อนของฝูหมิง ควรมีแค่ผู้ที่ไว้ใจได้เท่านั้นที่ควรรู้ เพราะมันหมายถึงความมั่นคงของตระกูลรุ่ยด้วยเช่นเดียวกัน”
“ท่านหัวหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง พวกเราล้วนเป็นคนที่ถูกตระกูลรุ่ยชุบเลี้ยงมา พวกเราเก็บความลับนี้ได้อย่างแน่นอน”
รุ่ยคุนได้ฟังเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม พวกเขาพูดถูก ในน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดีอย่างเต็มเปี่ยม
...ทว่า ‘ตระกูลรุ่ย’ หาใช่มีเขาเพียงคนเดียวเสียเมื่อไหร่
ศึกภายนอกที่ว่าอันตรายยังไม่หนักหน่วงเท่าศึกภายใน อสรพิษที่จ้องจะครองบัลลังก์ผู้นำตระกูลแทนเขามีจำนวนมาก แม้จะกำจัดไปมากทว่าก็ยังมีคลื่นใต้น้ำเหลืออยู่
สีหน้าของรุ่ยคุนเรียบเฉย มือใหญ่กร้านดึงดาบสั้นที่คาดอยู่ข้างเอวออกมาอย่างไม่รีบร้อน
“น่าเสียดายนักที่คนเดียวในโลกที่ข้าไว้ใจ...” นัยน์ตาสีเขียวเข้มหรี่ลง ขณะที่ใช้ลิ้นเลียโลหะสีเงินวาววับในมือ “ก็คือตัวข้าเอง”
ไอสังหารที่แผ่จากร่างสูงส่งผลให้นักฆ่าที่อยู่ในบริเวณนั้นร่างแข็งข้าง ราวกับมีหินพันชั่งทับอยู่ที่ขาจนมิอาจขยับเขยื้อน
ดวงตาของผู้ถือมืดโค้งขึ้นเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ดาบสั้นในมือถูกเจ้าตัวโยนเหวี่ยงออกจากมือ ก่อนที่มันจะพุ่งเป้าเข้าสู่ลำคอของมือสังหารที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว!
ร่างที่หมดลมหายใจและล้มตึงลงกับพื้นเปรียบเสมือนการปลุกสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคนที่เหลือให้กลับคืนมา ทว่าทันทีที่พวกเขาขยับตัว ร่างของรุ่ยคุนก็อันตรธานหายไปต่อหน้าราวกับภาพมายา โลหิตที่แดงสดสาดกระเซ็นพร้อมกับเสียงกรีดร้อง เช่นเดียวกับจำนวนบุรุษในชุดดำที่ร่วงหล่นราวกับใบไม้ร่วง
ไม่...เดิมทีรุ่ยคุนมีความสามารถก็จริง ทว่าพวกเขาเองก็เป็นนักฆ่าที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี ถึงอย่างไรเสียทักษะก็ไม่ควรทิ้งห่างกันถึงเพียงนี้!
หนึ่งในกลุ่มนักฆ่ากลอกตาไปมา ก่อนที่สายตาจะสะดุดลงเมื่อเห็นภาพของอาชายี่สิบตัวที่พวกเขาขี่ล้มตึงลงกับพื้นประหนึ่งเป็นอัมพาต
ต้นสนในป่าแห่งนี้ปล่อยพิษออกมาจึงเรียกว่าเป็นป่าสนพิษ ทว่าก่อนออกเดินทางมาที่นี่...ท่านหัวหน้าก็ได้มอบยาต้านพิษให้พวกเขากินมาก่อนล่วงหน้า
หรือว่า...มันจะเป็นของปลอม!
ดวงตาของผู้ที่เพิ่งตระหนักได้ว่าพวกตนถูกหลอกมาตั้งแต่ต้นเบิกโพลง ทว่าต่อให้รู้ความจริงก็สายเกินแก้ ใบมีดที่เสียบแทงทะลุอกจากทางด้านหลังแล้วถูกกระชากดึงออก โลหิตที่กระฉูดออกมาเป็นสายกลายเป็นภาพอันน่าสยดสยอง ก่อนที่ร่างของเขาจะล่วงจมกองเลือดตามนักฆ่าที่เหลือไปติดๆ
ตั้งแต่อายุห้าขวบ รุ่ยคุนก็ถูกมารดาป้อนยาพิษให้กินทีละนิดเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทาน ไม่ว่าจะเป็นพิษที่ทำให้สลบไสลหรือร้ายแรงถึงขั้นกระอักโลหิต เขาล้วนแล้วแต่เคยกินมาทั้งนั้น แต่ละวันของเขาผ่านไปด้วยความทุกข์ทรมานจนบางครั้งเขายังงุนงงว่าเหตุใดตนยังมีลมหายใจอยู่ ทว่าเรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว กระทั่งหน้าตาของมารดาผู้ให้กำเนิดและคอยป้อนยาพิษเหล่านั้น...เขายังจำไม่ได้
ยาต้านพิษสำหรับป่าแห่งนี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่ต้น ทว่าไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือพืชที่มีพิษในป่าแห่งนี้ก็ไม่อาจทำอันตรายเขาได้
รุ่ยคุนเชื่อว่ามือสังหารพวกนั้นคงไม่โกหก ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะเดินสำรวจป่าแห่งนี้เสียหน่อย หากพบศพของฝูหมิงจะได้วางใจและดำเนินตามขั้นต่อไป
ถึงแม้ว่าตอนนี้พรรคมังกรดำยังมีผู้นำอีกคนหนึ่งดูแลแทน แต่ฝูหมิงก็ยังเป็นเสาหลักค้ำจุนที่แท้จริง หากกำจัดฝูหมิงไปได้ เขาก็สามารถดำเนินตามแผนขั้นต่อไปเพื่อกลืนกินกิจการในเครือพรรคมังกรดำซึ่งอยู่ในแคว้นหยางได้อย่างสบายใจ
ชายหนุ่มคิดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่เปื้อนแก้มและดาบสั้นของตน เมื่อเก็บเข้าฝักข้างเอวเรียบร้อยก็ถอดถุงมือโยนทิ้งไปอีกทาง
“ไม่แน่ว่าการเดินสำรวจครั้งนี้อาจได้อะไรดีๆ ที่เหนือความคาดหมายกลับไปก็เป็นได้” มุมปากของผู้นำตระกูลรุ่ยเหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มบางที่ทำให้ใบหน้าของเขาดูนุ่มนวลขึ้น ยามที่ย่างกรายผ่านกองศพและโลหิต ใต้รองเท้าของเขาก็ได้ทิ้งรอยคราบสีแดงไว้ตามทาง
ณ หอเปี่ยมมิตร มหานครหมอกอสูร
“เจ้า...นี่เจ้า...ทำอะไรลงไป” เสียงทุ้มที่สั่นเครือด้วยความสะเทือนใจดังต้อนรับเซียงรื่อที่เดินทางมาตามเวลาและสถานที่นัดหมาย
หญิงสาวกะพริบตาก่อนจะขานรับอย่างเหม่อลอย “หือ...”
“เหตุใดดวงตาสีม่วงอันงดงามของท่านเจ้าเมืองจึงได้เป็นเช่นนี้...” อวิ๋นซูไม่เพียงถามเปล่า หากยังเอาปลายนิ้วมาเกลี่ยรอยคล้ำใต้ดวงตาของเธออย่างทะนุถนอม
เซียงรื่อยืนนิ่งโดยไม่คิดจะเอ่ยปากบอกเหตุผลออกไป ทว่าความเงียบของเธอกลับทำให้อีกฝ่ายเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฮึๆ เจ้าฝืนสัญชาตญาณของตนเองล่ะสิท่า” ดวงตาสีแดงเลือดของเขาทอประกายหยอกเย้า “ในฐานะลูกน้อง ข้าควรพลีกายเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่เจ้าดีหรือไม่”
เพียะ!
คราวนี้เธอปัดมืออวิ๋นซูออกทันที ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนอนเมื่อคืนก็พานให้พวงแก้มซับสีแดงระเรื่อ “ความปรารถนาดีของเจ้าเก็บไว้ให้คู่หมั้นที่น่าสงสารของเจ้าเถอะ!”
ต่อให้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เซียงรื่อก็ไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากเขาดังที่เคยลั่นวาจาไว้!
ด้านชายหนุ่มเห็นเซียงรื่อโมโหจนแทบพ่นไฟออกมาจากปากได้ก็หัวเราะในลำคอ แม้จะถูกปัดมือทิ้ง เขาก็ยังคงยื่นมือไปสัมผัสใกล้ริมฝีปากสีชมพูระเรื่ออีกครั้ง
คราวนี้เซียงรื่อไม่ปัดมืออีกฝ่ายออก หากใช้ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนเพลียถลึงจ้องเขาอย่างกดดันแทน อวิ๋นซูเหงื่อแตกเล็กน้อย จู่ๆ ก็เกิดความคิดที่อยากจะชักมือกลับ ทว่าชายหนุ่มห้ามตนเองไว้ทัน
“มีเศษข้าวติดอยู่ตรงนี้” เขากล่าวเสียงเรียบเรื่อยอย่างอารมณ์ดี มิหนำซ้ำยังยื่นนิ้วที่มีเศษข้าวติดอยู่ให้เซียงรื่อดูเป็นหลักฐานอีกต่างหาก
สีหน้าของหญิงสาวดูตกใจไม่น้อย เธอนึกไม่ถึงว่าการไม่ได้นอนหลับแค่คืนเดียวจะส่งผลต่อสติสัมปชัญญะของตนมากถึงเพียงนี้
“ได้ยินว่าเมื่อวานมีเหอเถาเป็นอาหารว่าง เหอเถามีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง เจ้ากินเข้าไปมากๆ หน่อยจะได้ฉลาดขึ้น”
“พอแล้ว เจ้าได้ทีก็เอาใหญ่ ทำตัวเป็นเด็กไปได้” เซียงรื่อบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด ทว่าสายตาของเธอกลับสะท้อนประโยค ‘อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน’ ไม่หยุด
อวิ๋นซูได้เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ ผู้ใดกันแน่ที่ทำตัวเป็นเด็ก “ร่างกายของท่านเจ้าเมืองต้องได้รับการพักผ่อนอย่างน้อยวันละห้าชั่วยาม กลางคืนหลับสี่ชั่วยามครึ่ง กลางวันอีกครึ่งชั่วยาม”
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝากฝังร่างผู้สืบทอดสายเลือดของเทพอสูรกระรอกหยกชมพูไว้กับวิญญาณผ่านทาง แต่ถ้าหากอีกฝ่ายยังฝืนความต้องการต่อไปจนกลายเป็นอันตรายต่อร่างกายของท่านเจ้าเมืองในภายภาคหน้า...เขาคงไม่มีวิธีอื่นนอกจากต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม