ตอนที่ 6.ความผิดหวังครั้งแรก

1582 คำ
“ต่อให้ฉันทำด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่มีทางจำได้อยู่ดี” ปรานปรียาเถียงแล้วก็รีบก้มหน้าลอกการบ้านเพื่อนยิกๆ “มันก็น่าจะดีกว่าไม่ได้ใช้สมองเลยนะปรียา” “มันก็ใช่ ฉันไม่ได้หวังว่าเกรดฉันต้องดีนี่ ฉันเรียนแค่ผ่านๆ ยังไงฉันก็ต้องรับช่วงกิจการที่บ้าน ไม่ต้องทำเกรดดีๆ เพื่อหางานทำสักหน่อย” ปรานปรียาเถียงฉอดๆ บ้านของเธอทำธุรกิจเล็กๆ ใช้คนในครอบครัวนั่นแหละช่วยๆ กันบริหาร “แต่อย่างน้อยสิ่งที่เรียนมา ก็น่าจะทำให้ปรียารู้เท่าทันคนอื่นในอนาคตนะ” ฉันท้วง “ฉันไม่กลัวเรื่องนั้นหรอกรสา ป๊ากับม๊า เตรียมหาผัวไว้ให้ฉันแล้ว หน้าที่ผู้หญิงบ้านฉัน คือดูแลครอบครัวกับเลี้ยงลูก” เปลือกตาฉันกะพริบปริบๆ รู้สึกอึ้งกับคำตอบที่ได้ยิน “ไม่เชื่อฉันหรือไง ต่อให้ฉันคิดนอกเหนือกว่านี้ป๊าม๊าไม่มีทางยอมหรอก” พอไม่ได้ยินคำทักท้วง ปรานปรียาเลยเงยหน้ามอง ฉันรีบแก้ตัว “ไม่ใช่แบบนั้น รสาแค่...” “รสา ครอบครัวฉันเป็นแบบนี้ ฉันเปลี่ยนความคิดของป๊าม๊าไม่ได้หรอก ฉันเคยลองแล้วแต่ไม่สำเร็จ ฉันเลยเลิกคิด” ปรานปรียาระบายให้เพื่อนสนิทคนแรกฟัง “พ่อแม่รสาให้อิสระเรื่องความคิดนะ ตราบใดที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน รสาจะทำอะไรก็ได้” ปรานปรียามองหน้าฉัน “ฉันอิจฉาเธอจัง” “อย่าอิจฉาเลย ปรียาเองก็ทำได้” ฉันยิ้มให้ ปรานปรีนาถอนใจ “ไว้จะลองคิดดูนะ” อาจจะเพราะยังเป็นเด็ก ยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ปรานปรียาเลยปล่อยให้เป็นเรื่องในอนาคต แต่เธอค่อนข้างสนใจแนวความคิดของเพื่อนใหม่คนนี้ รสาท่าทางอ้อนแอ้น แต่กลับเข้มแข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อนคนนี้ของเธอมีความคิดโตเกินวัยกว่าคนในรุ่นเดียวกัน “เธอขยันแบบนี้ อยากเป็นอะไรในอนาคตเหรอรสา?” ฉันนิ่งคิด “รสาเหรอ รสาอยากเป็นหมอ” ฉันพึมพำตอบ แรงจูงใจส่วนใหญ่ของฉันมาจากใครสักคนที่แอบซ่อนไว้ในใจ ฉันอยากไปยืนข้างเขาคอยเป็นแรงใจให้เขา อยากเห็นเขาประสบความสำเร็จเหมือนที่ตั้งใจไว้ ฉันอยากแสดงความยินดีกับเขาเป็นคนแรก “ฉันไม่ได้ดูถูกเธอนะ แต่หากอยากเป็นหมอ เธอต้องขยันมากกว่านี้” ฉันไม่ได้เถียง ความฝันของฉันค่อนข้างริบหรี่ เกรดของฉันไม่ได้ดีนัก แถมยังอยู่อันดับรั้งท้าย ความฝันที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ฉันคงต้องพากเพียรกว่านี้หลายร้อยเท่า “รสารู้ แต่รสาจะพยายาม” คำพูดฉันหนักแน่น และฉันต้องหาวิธีทำให้ได้ “ฉันเองก็อยากเป็นครู” ปรานปรียาเปรยลอยๆ เธอไม่ได้อยากเป็นแม่ค้า เธออยากเป็นครู เธอชอบการสอน หลายครั้งที่เคยวาดฝันไว้ เป็นความสุขแบบที่เปรียบเปรยไม่ถูก ฉันมองหน้าเพื่อน “เราสองคนมาลองพยายามดูสักหน่อยดีมั้ย?” ฉันอดคาดหวังไม่ได้ หากฉันทำได้ มันจะเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ “จะดีเหรอรสา?” ปรานปรียายิ้มแหยๆ “อย่างน้อย เราก็พยายามแล้วไงปรียา” ฉันยิ้มแฉ่ง หากฉันก้าวผ่านจุดนี้ได้ หนทางข้างหน้าก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องทำให้กลัว “เอ๊า ลองก็ลอง” ปรานปรียาพยักหน้ารัวๆ หากปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งก็ยังไม่สามารถเดาได้ แต่หากกำหนดจุดหมายปลายทาง แล้วพยายามกระเสือกกระสนไปให้ถึง นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “ไปหาครูที่ปรึกษากัน รสาคิดว่าเราสองคนมีเวลาเตรียมตัวอีกเยอะ” ตอนนี้ฉันกับปรานปรียาเพิ่งอยู่มัธยมต้นเอง หากเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ มันก็ไม่แน่ว่า ความตั้งใจของฉันจะไปไม่ถึงนี่ ฉันลุกขึ้นยืน ปรานปรียาลอกการบ้านเสร็จพอดี เราสองคนเดินหน้าตั้งไปที่ห้องพักครู หลังสอดส่ายสายตามองหาครูที่ปรึกษาจนเจอ ฉันก็เดินนำ ส่งยิ้มประจบไปก่อน “เธอสองคนมาทำอะไรที่นี่?” สายสมรยกมือขยับแว่นสายตาและมองสบตานักเรียนสองคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ “รสามีเรื่องอยากปรึกษาครูค่ะ” ฉันเกริ่นนำ “ไม่ได้ไปทำอะไรผิดมาใช่ไหม?” สายสมรเบิกตาโตถามกลับเสียงตระหนก “ไม่ใช่ค่ะ!!” ปรานปรียาตอบเสียงแหลม “เห้อ ค่อยยังชั่ว ว่ามาสิ เรื่องอะไรเหรอ?” สายสมรพ่นลมหายใจแล้วก็ถามต่อ “หากรสาอยากสอบติดหมอ รสาต้องอ่านหนังสือวิชาไหนมากเป็นพิเศษคะ?” สายสมรยกมือขยับขาแว่นอีกครั้ง คราวนี้มองลอดแว่นตา เพราะสองนักเรียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผลการเรียนค่อนข้างแย่ แต่กลับอยากเรียนคณะที่สอบติดยากที่สุด “แน่ใจนะ เธอด้วยเหรอปรานปรียา?” สายสมรถามกลับ “เปล่าค่ะ ปรียาอยากเป็นครู” ปรานปรียาเชิดหน้าตอบ สายสมรยิ้มให้ ไม่มีคำว่าสายเกินเรียน หากมีเป้าหมายชัดเจน การที่เธอจะช่วยสนับสนุนนักเรียนก็ถือเป็นหน้าที่ “เอาเป็นว่า...หากเทอมนี้เธอสองคนสามารถขยับอันดับขึ้นมาเป็นแค่เลขตัวเดียวได้ ครูจะติวเข้มให้เธอสองคนเอง” มีเวลาอีกเหลือเฟือสำหรับนักเรียนสองคนตรงหน้า ห้าปีสำหรับการเตรียมตัว และเลื่อนอันดับจนเป็นที่น่าพอใจและคะแนนมากพอที่จะศึกษาต่อในคณะที่ตั้งใจไว้ “ขอบคุณค่ะคุณครู” “บอกได้ไหม อะไรทำให้เธออยากเรียนคณะยากๆ พวกนั้น” ฉันไม่ได้ตอบครูหรอก มันเป็นความลับที่ฉันเองก็ไม่คิดจะบอกใครด้วย “เพราะครูค่ะ ปรียาอยากเป็นครูที่ดีเหมือนคุณครูค่ะ” คำตอบของปรานปรียาทำให้สายสมรยิ้มได้ การเป็นครูแล้วมีนักเรียนชื่นชมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่แล้ว นักเรียนสมัยนี้แทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าครูคนไหนคอยจ้ำจี้จ้ำไชพวกเขามา ตอนที่ 6.ความผิดหวังครั้งแรก เอาเข้าจริงๆ ฉันแทบไม่ได้คุยกับพี่ชายเลย พอกลับจากวิทยา’ ลัย พี่ชายคนใหม่ของฉันก็ยุ่งอยู่กับการทำงานในร้านอาหารของพ่อกับแม่ ฉันเองได้แต่แอบมองเพราะไม่อยากเข้าไปกวนให้พี่ชายเหนื่อยเพิ่มขึ้น ฉันเป็นกำลังใจให้พี่ชายคนใหม่ห่างๆ จนกระทั่ง... พี่ชายของฉันและเพื่อนของเขาเดินเข้ามาในร้าน ที่มีลูกค้าปละปราย “แม่ครับ เพื่อนผมอยากมาชิมฝีมือทำกับข้าวของพ่อครับ” เมฆาส่งเสียงดัง และทยอยแนะนำเพื่อนที่มาด้วยให้รู้จักกับพ่อกับแม่ของเขา ฉันยืดคอมอง ในกลุ่มนั้นมีผู้หญิงสาวที่สวยเสียด้วยสองคน “ลุค น้ำกับยัยหมวยมาด้วยนะ” เสียงพี่ชายฉันตะโกนบอกเขา ที่กำลังทำความสะอาดหม้อแกงอยู่หลังบ้าน เขาเดินยิ้มแฉ่งออกมา มือที่เปียกชื้นเช็ดกับผ้ากันเปื้อนจนแห้ง “กินอะไรกันดี ฉันเลี้ยงเองก็ได้นะ” ฉันได้ยินเขาพูดแบบนั้น เลยวางหนังสือในมือ ยืดตัวมองตรงๆ “ไม่ต้องหรอก เราแชร์ค่าอาหารกันประจำ” สาวสวยคนนั้นชิงปฏิเสธ แต่กลับมองสบตาพี่ชายคนใหม่แปลกๆ ฉันรู้สึกอึดอัด เหมือนอากาศลดน้อยลงจนหายใจไม่พอ “แหมๆ” สาวอีกคนกระเซ้าและขยิบตาให้ เมฆาเงยหน้าหัวเราะ “มานั่งกินด้วยกันเถอะ แม่ไม่ว่าใช่ไหมครับ?” ริสายิ้มให้แล้วก็ส่ายหน้า “มาๆ ลุคมานั่งนี่” ฉันย่นจมูก หมั่นไส้พี่ชายตัวเองเป็นครั้งแรก ท่าทางเจ้ากี้เจ้าการนั่นขัดใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันรวบหนังสือมากอดแนบอก เดินกระแทกเท้ากลับไปที่บ้าน แต่กลับกระวนกระวายมากกว่าเก่า จนต้องเดินย้อนกลับมาที่ร้านของพ่อกับแม่ แต่เสียงหัวเราะระรื่นนั่นก็ทำให้ฉันเปลี่ยนใจอีกครั้ง ฉันไม่แน่ใจว่าตนเองจะเก็บความไม่พอใจไว้ได้ และหากฉันเผลอแสดงอาการออกมา ฉันกลัวว่าพี่ชายจะพลอยเกลียดขี้หน้าฉันไปด้วย ฉันเดินคอตกกลับบ้าน พยายามทำใจดีๆ ฉันเป็นแค่น้องสาวในสายตาของพวกเขา และเด็กอย่างฉันก็ไม่ได้ถูกตาต้องใจเหมือนสาวๆ ที่โตเต็มที่แล้ว น้ำตาหยดเล็กๆ ไหลผ่านร่องแก้ม ฉันสูดจมูกแรงๆ ยืดตัวยืน ฉันนั่งอัดอั้นอยู่แบบนี้ไม่ดีแน่ มันจะพลอยทำให้ฉันเสียสุขภาพและอาจล้มป่วยขึ้นมาอีกครั้ง ฉันไม่อยากให้พ่อกับแม่พลอยทุกข์ใจไปด้วย ฉันฉวยหนังสือยัดใส่กระเป๋าเป้ และลากจักรยานคันเก่งออกมา ฉันควรไปอ่านหนังสือที่บ้านปรานปรียา เพื่อจะได้ไม่เห็นภาพบาดตาให้ตัวเองรู้สึกทุรนทุราย ลุคชะเง้อมอง เขาเห็นแค่พวงผมยาวสลวยที่ปลิวล้อไปกับแรงลมเท่านั้น เขาเม้มปากรู้สึกเป็นห่วงหน่อยๆ เขาไม่มีเวลาคุยกับน้องสาวตัวน้อยเลย ถ้าไม่ติดเรียน เขาก็ต้องช่วยทำงานที่ร้านอาหาร ลุคไม่กล้าอู้ เพราะบุญคุณของครอบครัวเพื่อนค้ำคอ เขาทุ่มเทแรงกายที่มีเพื่อแบงเบาภาระ เลยลืมใส่ใจเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นไปเลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม