วันถัดมา นลินทราแวะไปเยี่ยมพลอยพัดชาที่ร้านพัดชา เจมส์ โดยจอดรถไว้ที่โรงแรมลักซ์ แกรนด์ มิราจซึ่งอยู่ติดกับร้านของเพื่อน เมื่อเปิดประตูร้านเข้าไปก็ได้ยินเสียงสดใสของเพื่อนสนิททักทายมาอย่างอารมณ์ดี
"อุ๊ยตาย นึกว่าสาวสวยที่ไหนเสียอีก ที่แท้ก็แม่ซุปตาร์คิวทอง แม่นางร้ายเบอร์หนึ่งนี่เอง ทำไมวันนี้ถึงว่างมาหาเพื่อนฝูงได้ยะ"
"แหม ฉันก็ต้องคิดถึงหล่อนน่ะสิยะถึงได้แวะมา ถ้าไม่คิดถึงฉันไม่แวะมาหรอกย่ะแถวนี้น่ะ รถติดบรรลัย"
นลินทราเบ้ปากเมื่อนึกถึงสภาพการจราจรของที่นี่เพราะอยู่ย่านใจกลางเมือง หญิงสาวเบี่ยงสะโพกขึ้นนั่งบนเก้าอี้สตูลแล้วพูดกับเพื่อนว่า
"ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ตั้งแต่เช้าฉันยังไม่กินข้าวเลยเพราะตื่นมาก็สิบโมงกว่าเข้าไปแล้ว" และสาเหตุที่ทำให้เธอต้องนอนไม่หลับจนต้องตื่นสายก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนพฤทธิ์
เมื่อเช้าบุ๋มตื่นตั้งแต่แปดโมง ตอนแรกพี่เลี้ยงคิดจะออกไปหาซื้อมื้อเช้ามาไว้ให้เธอ แต่เพราะเกรงใจอีกฝ่าย เธอจึงให้บุ๋มกลับบ้านไปได้เลยไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนแล้ว เมื่อพี่เลี้ยงออกจากบ้านเธอจึงหลับต่อ ตื่นมาในช่วงสาย ๆ จึงอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถมาหาพลอยพัดชาที่นี่ทันที
"แกว่างทั้งวันเลยรึเปล่า เย็นนี้ไปหาอะไรดื่มแล้วฟังเพลงเพลิน ๆ กันดีไหม" พลอยพัดชาถาม
"ได้สิไม่มีปัญหา วันนี้กับพรุ่งนี้น้าจินนี่ให้ฉันพักได้เต็มที่เลย" จากที่เคยคุยกันเอาไว้ว่าจะให้เธอหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ เธอจึงโทรศัพท์ไปขอต่อรองกับจินตวาตีว่าขอหยุดถึงวันพรุ่งนี้ก็พอ เพราะเกรงใจทีมงานคนอื่นที่ต้องตารางงานเสียไปหมดเพราะตนคนเดียว
นลินทราคุยเล่นกับพลอยพัดชาที่ร้านอีกสักพัก สองสาวก็พากันออกจากร้านจิวเวลรี่แล้วไปขึ้นรถของนลินทราที่จอดไว้ในโรงแรม
นลินทราพาเพื่อนมาร้านอาหารย่านเอกมัยเพราะเป็นร้านอาหารของรุ่นพี่ในวงการบันเทิงคนหนึ่ง ขณะที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟนั้น หญิงสาวก็ถามถึงชีวิตประจำวันของพลอยพัดชาโดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ
"วันนี้แกขึ้นไปชวนพี่ธามเขากินข้าวเหมือนเดิมล่ะสิ"
"อืม" พลอยพัดชาถอนหายใจแผ่วก่อนพูดต่อ
"แกอย่าเพิ่งด่าฉันนะนังนิ้ง เอาไว้ฉันหมดความอดทนเมื่อไรฉันก็เลิกตื๊อเขาเองนั่นแหละ"
"เหนื่อยก็พัก ไม่รักก็พอว่ะเพื่อน" เรื่องแบบนี้เธอคงต่อว่าเพื่อนไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีจัดการที่แตกต่างกัน ตอนนี้เธออาจจะไม่เข้าใจพลอยพัดชาว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง ดีไม่ดีเธออาจจะเป็นยิ่งกว่าอีกฝ่ายก็ได้
"แต่อย่าลืมที่เราคุยกันตอนอยู่ในรถละ ถ้าแกมูฟออนได้เมื่อไรก็บอกฉันด้วย ฉันจะลางานกับน้าจินนี่แล้วไปแรดกับแกให้เต็มที่เลย"
เมื่ออาหารมาถึง สองสาวจึงกินไปคุยไปอย่างออกรส ต่างคนต่างมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังไม่ขาดปาก แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่นลินทราไม่ปริปากพูดออกไปโดยเด็ดขาดนั่นก็คือเรื่องของนพฤทธิ์
หลังจากกินมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อย สองสาวก็ไปห้างสรรพสินค้าต่อเพื่อชอปปิงเสื้อผ้า แต่ไป ๆ มา ๆ กลับลงเอยด้วยการดูภาพยนตร์แทน
นพฤทธิ์นั่งมองโทรศัพท์พลางถอนหายใจแผ่ว เมื่อตอนเที่ยงที่เขาส่งข้อความไปคุยเล่นกับนลินทรา เธอยังตอบกลับมาทุกข้อความ แต่ตอนนี้นอกจากหญิงสาวจะไม่อ่านแล้ว เขายังไม่สามารถติดต่อเธอได้อีกด้วย
...หรือจะแบตหมด...ต้องใช่แน่ ๆ โทรศัพท์ของเธอคงแบตหมด เขาถึงติดต่อเธอไม่ได้
ชายหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเอง เพราะลึกลงไปในใจแล้ว เขาเชื่อในตัวนลินทรา ถ้าหญิงสาวคิดจะปฏิเสธเขา เธอก็คงพูดออกมาตามตรง ไม่ให้โอกาสเขาได้ทำความรู้จักกับเธอแน่นอน และอีกเรื่องที่เขามั่นใจในตัวนลินทราก็คือ หญิงสาวไม่ใช่พวกรักเผื่อเลือก หรือเป็นคนที่ชอบให้ความหวังคนหลายคนแน่นอน
สายตาของเขามักมองคนไม่เคยพลาด เขายังแปลกใจตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าทำไมถึงได้ถูกใจนลินทรานักทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วัน เขารู้แต่ว่าเขาชอบผู้หญิงคนนี้ และในเมื่อชอบแล้วเขาก็ไม่อยากปล่อยให้เธอหลุดมือไป
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที ก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับลงเป็นปกติเมื่อเห็นว่าผู้ที่โทร. เข้ามานั้นคือมารดาของตนเอง
"ครับคุณแม่"
"ตาซี ไม่คิดจะกลับมานอนที่บ้านบ้างเลยรึไง สองอาทิตย์แล้วนะเราน่ะ"
"ก็อยู่คอนโดฯ มันสะดวกกว่านี่ครับคุณแม่ ว่าแต่...มีอะไรรึเปล่าครับ ปกติคุณแม่ไม่เคยโทร. มาหาผมเพราะเรื่องนี้นะ" สมัยที่เขาเป็นนักศึกษา เขาแทบกลับบ้านเดือนละครั้งก็ว่าได้ ท่านก็ไม่เห็นโทรศัพท์มาตัดพ้อเขาแบบนี้
"แม่แค่อยากเจอหน้าลูกชายตัวเองนี่มันเป็นเรื่องแปลกมากนักรึไงฮึ"
"โธ่ คุณแม่คร้าบ ผมยังไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นสักหน่อย"
"เย็นนี้ว่างรึเปล่าล่ะเราน่ะ" จู่ ๆ ท่านก็ถามเขา
"ว่างครับ คุณแม่ต้องการใช้งานอะไรลูกชายคนนี้ก็เชิญบอกมาได้เลยครับ ผมยินดีเสมอ"
"ถ้างั้นก็ไปเจอกันที่ร้านณาดาฟิวชันตอนทุ่มตรง"
"หืม คุณแม่จะนัดกินข้าวนอกบ้านกับผมหรือครับเนี่ย" ร้านณาดาฟิวชันเป็นร้านอาหารสไตล์เรโทร ร้านนี้เป็นร้านประจำของครอบครัวเขา และเป็นร้านที่เขาพานลินทราไปสั่งอาหารตอนออกจากโรงพยาบาลด้วย
"เรารับปากแม่แล้วนะ ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด"
"ครับผม แล้วเจอกันครับคุณแม่"
นพฤทธิ์กดวางสายพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปถามบิดา
"คุณพ่อครับ คุณแม่โทร. มานัดไปกินข้าวกันเย็นนี้รึเปล่า"
"เปล่านี่ แม่แกไม่เห็นพูดอะไร ทำไมหรือ"
"เปล่าครับ ไม่มีอะไร" เขาวางหูพลางส่ายหน้าช้า ๆ เพราะแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามารดาของเขากำลังคิดจะทำอะไร
นพฤทธิ์ก้าวเข้าไปในร้านอาหารสไตล์เรโทรพลางมองหามารดาของตน ความจริงแล้วเขาแทบไม่ต้องมองหาก็รู้ว่าท่านจะนั่งอยู่ตรงไหน เพราะก่อนมานั่งกินที่นี่มารดาของเขาจะต้องโทรศัพท์มาจองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าแน่นอน และที่นั่งประจำก็คงหนีไม่พ้นโต๊ะติดกระจกที่อยู่ด้านในสุด เพราะท่านไม่ชอบให้คนเดินผ่านไปผ่านมา
เมื่อเห็นสมาชิกบนโต๊ะ นพฤทธิ์ได้แต่ถอนหายใจแผ่ว เพราะสิ่งที่ตนคาดเดาเอาไว้นั้นไม่ผิดไปจากที่คิดเท่าไรนัก ทั้งที่เขาเคยบอกหลายครั้งแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องคู่ครอง เขาจะขอจัดการด้วยตัวเอง แต่กระนั้นท่านก็ยังพยายามจับคู่ให้เขากับบุตรสาวของเพื่อนสนิทครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งนี้ก็ถึงคราวของมิณรญา บุตรสาวของน้าเหมย
"สวัสดีครับน้าเหมย" ชายหนุ่มยกมือไหว้มารดาของมิณรญา ก่อนจะหันไปพยักหน้าพลางยิ้มนิด ๆ ให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างมารดาของตน ส่วนเขาก็นั่งลงข้างมารดาของตัวเอง
"มากันนานรึยังครับเนี่ย ผมขอโทษด้วยนะครับที่มาช้าไปหน่อยเพราะติดงานด่วนกะทันหัน" ความจริงแล้วเขาตั้งใจถ่วงเวลาต่างหาก เขานั่งเอ้อระเหยอยู่ที่บริษัทเกือบชั่วโมงถึงได้ขับรถออกมา
"เขาจะอิ่มกันอยู่แล้วย่ะ น่าตีจริง ๆ เลยเชียวตาซีนี่นะ" มารดาของเขามองค้อนปะหลับปะเหลือกราวกับรู้ว่าเขาตั้งใจจะมาช้า
"ก็ผมติดงานด่วนจริง ๆ นี่ครับ" และงานด่วนของเขาที่ว่า ก็คือการโทรศัพท์คุยกับนลินทราร่วมครึ่งชั่วโมง
"ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตกินเลยก็แล้วกันนะ" นพฤทธิ์จัดแจงตักข้าวให้ตัวเองแล้วก้มหน้าก้มตากินไปเงียบ ๆ โดยไม่คุยกับใครเลยหากไม่จำเป็น
มิณรญายิ้มพลางหันไปสบตากับมารดาของตนแต่ไม่ได้พูดอะไร ขณะที่มารดาของนพฤทธิ์ได้แต่ยิ้มเจื่อนให้คนทั้งคู่ แต่มือที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นลอบหยิกบุตรชายของตนไม่แรงนักที่ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว นพฤทธิ์จึงเริ่มชวนหญิงสาวตรงหน้าคุยบ้างเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
"น้องมิณพักนี้เป็นไงบ้างครับ เห็นว่าเพิ่งเข้าไปทำงานที่บริษัทกับคุณพ่อ"
ถ้าเขาจำไม่ผิด เหมือนว่ามิณรญาเพิ่งจบปริญญาโทด้านการออกแบบตกแต่งภายในมาจากสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และตอนนี้กำลังจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง แต่ที่เขาแกล้งทำเป็นทักผิดว่าเธอจะเข้าไปทำงานกับบิดาของตนก็เพื่อบอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของมิณรญาเท่าไรนัก และเรื่องการจับคู่นี้ก็ไม่ได้มีเธอเป็นรายแรก
และได้ผลเกินคาด เมื่อมารดาของเขากับมารดาของเธอเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ขณะที่มิณรญานั้นทำเพียงก้มหน้ายิ้มแล้วพูดว่า
"พี่ซีคงจำผิดคนแล้วค่ะ มิณเป็นอินทีเรียนะคะ ไม่ได้ทำงานบริษัทสักหน่อย"
ชายหนุ่มแกล้งตบหน้าผากของตนพร้อมกับทำหน้าขออภัยกับอีกฝ่าย
"โอ๊ะแย่จริง พี่ต้องขอโทษด้วยครับที่จำผิด อย่าถือสาเลยนะครับ พักนี้งานเยอะสมองอาจจะเบลอ ๆ ไปบ้าง"
มิณรญาหัวเราะเบา ๆ "ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้เอง"
นพฤทธิ์ต้องกัดปากตัวเองแน่นเมื่อถูกมารดาหยิกที่ต้นขาอีกครั้ง และคราวนี้ดูจะหนักมือกว่าครั้งที่แล้วมากนัก
ชายหนุ่มนั่งคุยต่อไปอีกสักพักก็ถึงเวลาที่ต่างคนต่างแยกย้าย เขาต้องเดินไปส่งสองแม่ลูกขึ้นรถ หลังจากที่มิณรญาขับออกไปจากร้านอาหารแล้วเขาจึงเดินไปหามารดาที่ยืนตีหน้ายักษ์อยู่ที่รถของตัวเอง
"แกจงใจใช่ไหมตาซี!" ท่านชี้หน้าเขาอย่างเอาเรื่อง
"จงใจอะไรกันครับคุณแม่ ผมจำไม่ได้จริง ๆ นี่นา ก็ตอนนั้นน้องเขาเคยบอกว่ากำลังจะเข้าไปทำงานที่บริษัทกับพ่อเขาไม่ใช่หรือครับ" เขาตีหน้าใสซื่อสุดฤทธิ์
"นั่นมันหนูริน ลูกสาวน้าสม เฮ้อ! แกนี่มันจริง ๆ เลย ไม่ได้ดั่งใจฉันสักอย่าง"
"คุณแม่ครับ ผมเคยบอกแล้วไงว่าเรื่องพวกนี้ผมจะจัดการของผมเอง คุณแม่อยู่เฉย ๆ เถอะ"
"นี่แกจะหาว่าแม่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องส่วนตัวของแกใช่ไหม"
"ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณแม่ ผมก็แค่อยากจะบอกว่าเรื่องแบบนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไป การที่ผมจะคบกับใครสักคนมันไม่ใช่แค่การนัดเจอกัน กินข้าวด้วยกันแล้วจะชอบกันขึ้นมาได้สักหน่อย"
"แล้วคนที่แม่หามาให้ไม่ดีตรงไหน ทั้งหน้าตาก็ดี ฐานะก็ทัดเทียมกับเรา ไม่มีข้อเสียสักอย่างแล้วทำไมแกไม่ชอบ"
"ผมไม่ชอบก็คือไม่ชอบไงครับคุณแม่ จะมาบังคับให้ผมชอบได้ยังไงละ" เขาถอนหายใจแผ่วแล้วพูดเสียงอ่อนลงกว่าเดิม
"ไม่ต้องจับคู่ให้ผมแล้วนะครับคุณแม่ ถ้าผมอยากแต่งงานหรือมีแฟนเมื่อไรผมจะพาไปแนะนำให้คุณแม่รู้จักแน่นอนครับไม่ต้องห่วง"
ท่านหันมามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นก็ขับออกไปโดยไม่พูดอะไรกับบุตรชายอย่างเขาอีกเลย
นพฤทธิ์ได้แต่ยิ้มและมองตามหลังท้ายรถของมารดาไป เมื่อท่านขับออกไปจากร้านอาหารแล้วชายหนุ่มจึงเดินไปขึ้นรถของตัวเองบ้าง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. ออกไปหานลินทราซึ่งเวลานี้กำลังร้องคาราโอเกะอยู่กับเพื่อน แต่หญิงสาวไม่รับสายตามคาด จึงได้แต่ฝากข้อความเอาไว้ในไลน์
SEA : เพิ่งหายป่วย อย่าดื่มเยอะนะครับ ผมเป็นห่วง
ทางด้านคนที่เพิ่งหายป่วยนั้น กำลังถือไมโครโฟนทั้งร้องทั้งเต้นอยู่กับเพื่อนสนิทอย่างพลอยพัดชาด้วยความสนุกสนาน จนกระทั่งผู้จัดการอย่างจินตวาตีตามมาสมทบทีหลัง เมื่อเห็นสองสาวที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่ในห้องจึงได้แต่เท้าสะเอวแล้วทำทีเป็นมองเด็กในสังกัดของตนอย่างเอาเรื่อง
"นังนิ้ง! ฉันได้ข่าวว่าหล่อนเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่ใช่หรือยะ"
"อุ๊ย แหล่งข่าวนี้เชื่อถือได้นะคะน้าจินนี่" นลินทราหัวเราะคิกคักเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้บ่นจริงจังนัก
"นี่ถ้าหล่อนทรุดฮวบไปอีกรอบ ฉันจะไม่เรียกรถพยาบาลหรอกนะยะ แต่จะเรียกร่วมกตัญญูแทน หนอย...เปรี้ยวดีนัก ค็อกเทลหมดไปกี่แก้วแล้วเนี่ย" จินตวาตีแม้จะบ่นให้อีกฝ่าย แต่ก็ยังเดินมานั่งบนโซฟาแล้วหยิบเมนูมาเปิดดูเครื่องดื่ม
หลังจากสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานแล้ว จินตวาตีก็ลอบมองเด็กในสังกัดของตนซึ่งวันนี้เพิ่งได้ข่าวมาจากบุ๋มว่านลินทรากำลังถูกนพฤทธิ์ บุตรชายเจ้าของเฟรชลูปตามจีบชนิดเช้าถึงเย็นถึง
หากชายหนุ่มคิดจริงจังกับเด็กของตนก็ดีไป แต่ถ้าเขามองนลินทราเป็นแค่ของเล่นคนรวยละก็ คงไม่ดีแน่ เพราะฉะนั้นคงต้องตักเตือนคนของตัวเองเอาไว้เสียแต่เนิ่น ๆ แล้วกระมัง