นพฤทธิ์กลับถึงออฟฟิศ กรวีจึงรีบเดินมาบอกว่าบิดาให้เข้าไปพบที่ห้องทำงานของท่าน ชายหนุ่มจึงตรงไปที่ห้องของประธานใหญ่ทันที
“คุณพ่อเรียกหาผมหรือครับ” เขาเดินไปนั่งบนโซฟายาวในห้อง
“สองสามวันมานี้หายหัวบ่อยเหลือเกินนะแก” บิดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ติดธุระด่วนนิดหน่อยน่ะครับ คุณพ่อมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่า” เขาพูดยิ้ม ๆ
“ธุระของแกนี่คงแฮปปี้น่าดูสินะ หึ ๆ ที่เรียกแกมานี่ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะถามว่าแกรู้เรื่องที่จูดี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่แล้วใช่ไหม”
“รู้แล้วครับ เห็นว่าจะออกต้นเดือนหน้าแต่ไม่ระบุวัน” เขาตอบบิดา
จูดี้ เป็นบริษัทน้ำผลไม้บรรจุขวดซึ่งเป็นคู่แข่งของเฟรชลูป ทั้งสองบริษัทต่างขับเคี่ยวในการเป็นผู้ถือครองส่วนแบ่งการตลาดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สลับกันขึ้นลงตำแหน่งในการเป็นอันดับหนึ่งอย่างนี้มานานหลายปีแล้ว
“แล้วแผนโฆษณาของแกไปถึงไหนแล้ว ได้ข่าวว่าพรีเซ็นเตอร์ป่วยก็เลยถ่ายทำต่อไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
นพฤทธิ์นั่งตัวตรงทันทีแล้วบอกเล่าแผนที่ตนใช้พลิกแพลงสถานการณ์ในตอนนี้ให้ท่านฟัง
“ถ่ายทำเสร็จแล้วครับคุณพ่อ ตอนนี้เหลือแค่ตัดต่อกับงานกราฟฟิกที่ต้องใส่เพิ่ม ผมคิดว่าไม่น่าเกินพรุ่งนี้ก็คงเรียบร้อยดี และหลังจากนั้นผมจะยิงแอดตัวนี้ที่เพจในเฟซบุ๊กก่อนเป็นที่แรกเพื่อเป็นการชิงเปิดตัวก่อนคู่แข่ง และจะจ้างพวกเพจรีวิวสินค้าให้ทำการโพรโมตสินค้าตัวนี้ไปด้วย คนจะได้รู้จักสินค้าใหม่ของเราก่อน ส่วนงานถ่ายภาพนิ่งที่จะทำโปสเตอร์และแบนเนอร์นั้นค่อยทยอยทำตามมาทีหลัง”
ตอนนี้นลินทราเพิ่งฟื้นจากไข้ เขาจึงไม่อยากให้เธอทำงานหนัก เขาจะรอให้เธอแข็งแรงดีแล้วค่อยมาถ่ายภาพนิ่งให้สินค้า เขาจะได้หาข้ออ้างใช้เรื่องงานในการไปเจอหน้าเธอบ่อย ๆ และหลังจากนั้นเขาค่อยทวงค่ารักษาพยาบาลจากนลินทราด้วยการให้เธอไปกินข้าวกับเขาทุกวัน
ผู้เป็นบิดานั่งมองหน้าบุตรชายที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวอย่างไม่รู้ตัวด้วยความขบขัน สองสามวันมานี้ที่เจ้าตัวดีหายหัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ เพราะไปอยู่ที่ไหนมานั้น ใช่ว่าตนจะไม่รู้ แต่เขาไม่ต้องการก้าวก่ายเรื่องของบุตรชายจึงไม่คิดถามให้มากความ เพราะอย่างไรเสียนพฤทธิ์ก็ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเลือดร้อนที่จะคบหาใครสักคนอย่างผิวเผินเพียงเพราะอีกฝ่ายหน้าตาสะสวยแน่นอน เขาเชื่อว่าหญิงสาวคนนั้นต้องมีอะไรดีสักอย่าง บุตรชายของเขาถึงตามเทียวไล้เทียวขื่อแบบนี้
ในช่วงค่ำ หลังจากที่นลินทราอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งทาครีมบำรุงผิวอยู่บนเตียงพลางดูซีรีส์ที่เปิดจากคอมพิวเตอร์ไปด้วย ระหว่างนั้นมีเสียงเตือนจากโทรศัพท์ว่ามีข้อความเข้า เธอจึงหยิบมาอ่าน หญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากนพฤทธิ์
SEA : สะดวกคุยรึเปล่าครับถ้าผมจะโทรหาตอนนี้
นลินทรากลอกตาอย่างครุ่นคิด จะไม่ตอบก็ไม่ได้เพราะในระบบมันขึ้นว่าเธออ่านข้อความนี้แล้ว แต่ถ้าจะตอบไปว่าไม่สะดวกก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย สุดท้ายจึงพิมพ์ตอบกลับไป
Nink Nalin : คุยได้ค่ะ
SEA : แล้วถ้าเปิดกล้องล่ะ สะดวกไหม
นลินทราเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะตอนนี้ตนโป๊อยู่ จึงรีบพิมพ์ตอบไปทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะวีดิโอคอลมาเสียก่อน
Nink Nalin : ไม่สะดวกค่ะ
เมื่อเธอพิมพ์ตอบกลับไป ชายหนุ่มก็โทรศัพท์เข้ามาทันที และเธอก็ดันกดรับอย่างรวดเร็วเพราะตกใจเช่นกัน
"ค่ะคุณซี" หญิงสาวบันทึกชื่อของเขาไว้ว่าคุณซี เฟรชลูป ทำให้เธออดอยากรู้ไม่ได้ว่าเขาบันทึกชื่อของเธอไว้ในเครื่องว่าอย่างไร
"อาการเป็นยังไงบ้างครับ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วเนอะ" เขาถามเสียงอ่อน
"ไม่มีแล้วค่ะ นิ้งหายดีแล้ว ขอบคุณนะคะ" เธอตอบไปตามความจริงเพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกว่าเธอยังมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น
"ค่อยยังชั่วหน่อย ผมเป็นห่วงนะครับ ความจริงอยากไปหาเมื่อตอนเย็นแต่ก็กลัวว่าคุณจะอึดอัดและอยากพักผ่อนมากกว่าก็เลยไม่ได้ไป จริงสิ โฆษณาตัดต่อเสร็จแล้วนะ พรุ่งนี้จะลงแอดที่เพจเฟรชลูปวันแรก อย่าลืมเข้าไปดูละ"
"อ้าว ไม่ต้องถ่ายซ่อมอะไรหรือคะ" เธอยังนึกว่าจะมีการถ่ายซ่อมอีกเล็กน้อย เพียงแต่ช่วงนี้จินตวาตีสั่งห้ามไม่ให้เธอทำงาน จึงไม่รู้ว่าตกลงแล้วภาพยนตร์โฆษณาตัวนั้นเรียบร้อยแล้วหรือยัง
"เพอร์เฟกต์ที่สุดแล้วครับ คุณนิ้งเป็นมืออาชีพจะตายไปไม่ต้องซ่อมหรอก คราวนี้ก็เหลือแต่ถ่ายภาพนิ่งแล้วละ"
"ความจริงแล้ววันสองวันนี้นิ้งก็ถ่ายได้เลยนะคะ เพราะไม่ได้เป็นอะไรแล้ว" เพราะเธออยากให้จบงานเร็ว ๆ มากกว่า ขืนลากยาวออกไปเธอกลัวหัวใจตัวเองจะโอนอ่อนตามผู้ชายคนนี้เข้าสักวัน
"อย่าเลยครับ รอดูอาการให้ชัวร์ก่อนดีกว่า ยังมีเวลาอีกเยอะครับคุณนิ้งไม่ต้องรีบ เพราะอย่าลืมว่าคุณจะต้องทำตามที่รับปากผมไว้ด้วยนะ"
"หา! รับปากอะไรคะ" สมองของเธอใช้ความคิดอย่างเร็วรี่ว่าไปรับปากอะไรเขาตอนไหนกัน
"ก็ที่คุณบอกว่าจะไปกินข้าวกับผมหลาย ๆ มื้อนั่นไง...ไม่รู้ละ ตอนนั้นผมเห็นคุณไม่ได้คัดค้านหรือปฏิเสธอะไรก็เลยถือว่าคุณตอบตกลงแล้ว อย่าเบี้ยวผมน้า..."
"นิ้งแค่ยังไม่ให้คำตอบ ยังไม่ถือว่าเป็นการตอบตกลงสักหน่อย" เธออดเถียงเขาไม่ได้ เพราะหลายครั้งแล้วที่ผู้ชายคนนี้ตีขลุมเอาเองหน้าตาเฉย และบางครั้งก็มัดมือชกโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอพูด
"คุณนิ้ง...ถ้าไม่เป็นการรบกวนกันมากเกินไป ช่วยให้โอกาสผมหน่อยได้ไหมครับ"
นลินทราเงียบไปทันที เพราะรู้ดีว่าคำว่าให้โอกาสที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร เธอไม่ชอบทำตัวแอ๊บแบ๊วเหมือนตัวละครที่ตนต้องสวมบทบาทในการแสดง ด้วยการทำเป็นไม่รู้เรื่องที่เขาพูดมาทั้งหมด ดังนั้นในขณะที่เรื่องระหว่างเธอกับเขาเพิ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้น เธอจึงต้องพูดให้เคลียร์ไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีปัญหากันภายหลัง
"คุณซีคะ คุณคิดดีแล้วหรือ เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วันเองนะ และนิ้งก็เป็นแค่นักแสดงคนหนึ่ง"
"ก็เพราะเพิ่งรู้จักกันไงครับ ผมถึงอยากให้คุณกับผมทำความรู้จักกันให้มากขึ้น เอางี้ดีกว่า ผมขอถามคุณประโยคเดียว คุณนิ้งรังเกียจผมไหม"
นลินทราเงียบไปอีกครั้ง แน่นอนว่าเธอไม่ได้รังเกียจเขา แต่ที่พยายามไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับความเอาใจใส่ของนพฤทธิ์ก็เพราะเธอกลัวความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์มากกว่า เธอยังไม่รู้จักเขาดีพอ ไม่รู้ด้วยว่าที่เขาตามจีบตนนั้นเพียงเพราะแค่อยากควงดาราสาวสักคนไว้อวดเพื่อนฝูง หรือเขาคิดจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้กันแน่
ยิ่งภาพลักษณ์ของเธอจากหน้าจอโทรทัศน์และสื่อทั่วไปคือนางร้ายสุดเซ็กซี่ เขาจะคิดว่าตัวจริงของเธอเป็นอย่างในละครเหล่านั้นแล้วหวังให้เธอเป็นคู่ขาบนเตียงหรือไม่...เธอไม่รู้เลย
"ไม่ค่ะ" แต่เธอก็ไม่โกหกความรู้สึกของตัวเอง เธอไม่ได้รังเกียจผู้ชายคนนี้จริง ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับชอบหรือปลื้มใจที่มีนักธุรกิจหนุ่มไฮโซมาตามเทียวไล้เทียวขื่อ
หญิงสาวได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย ตามมาด้วยเสียงทุ้มที่พูดกลั้วหัวเราะว่า
"คุณเล่นเงียบไปนานทำเอาผมใจหายใจคว่ำหมด แต่ได้ฟังอย่างนี้ผมก็มีแรงสู้ต่อแล้วละ ถ้าคุณไม่รังเกียจผม จะลองเปิดโอกาสให้ผมหน่อยได้ไหมล่ะครับ ถึงเราจะเพิ่งเจอกันไม่นาน แต่การที่เราจะชอบใครขึ้นมาสักคน มันไม่มีกฎข้อไหนบอกไว้ไม่ใช่หรือครับว่าต้องรู้จักกันกี่ปีถึงจะชอบกันได้ ไม่งั้นเขาจะมีคำว่ารักแรกพบเอาไว้ทำไม"
ชอบ? รักแรกพบ? เอางั้นเลยหรือ!
นลินทราได้แต่อ้าปากค้าง ผู้ชายคนนี้จะเปิดเผยมากเกินไปแล้ว เขากล้าพูดสองคำนี้กับผู้หญิงที่เพิ่งเจอหน้ากันได้แค่สามสี่วันเนี่ยนะ...ช่างกล้า
"ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้นะคุณ ผมก็แค่คิดยังไงก็พูดไปอย่างนั้นน่ะ"
"นิ้งก็ไม่เคยเห็นผู้ชายเจ้าชู้คนไหนยอมรับว่าตัวเองเจ้าชู้หรอกค่ะ" เธออดตอกกลับไปไม่ได้ ทุกการกระทำที่เขาแสดงออกมา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นในแบบที่ผู้ชายเจ้าชู้ใช้จีบสาวทั้งนั้น และเขาก็ดูช่ำชองในเรื่องนี้เสียด้วย
"ผมพูดจริง ๆ นะ แต่ผมรู้ว่าพูดไปคุณก็คงไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นผมถึงได้บอกไงว่าเราควรมาทำความรู้จักกัน คุณก็จะได้รู้จักตัวตนของผมมากขึ้น และผมเองก็จะได้รู้จักคุณมากขึ้น และในระหว่างที่เราศึกษากันและกันเนี่ย ถ้าคุณมั่นใจแล้วว่าผมไม่ใช่ ผมก็จะยอมรับการตัดสินใจของคุณ"
นลินทราฟังแล้วอดขำไม่ได้จึงหัวเราะออกมาเบา ๆ ผู้ชายคนนี้ช่างหน้ามึนโดยแท้ พูดจาหว่านล้อมเธอต่าง ๆ นานาให้ทดลองคบหากับเขาโดยใช้คำพูดที่ฟังดูดีว่าศึกษากันและกัน
...ดูไปแล้วก็น่าสนใจแฮะ เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าตอบตกลงแล้วหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ
"โอเคค่ะ นิ้งจะลองให้โอกาสคุณ แต่ว่า..." เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเฮลั่นจากปลายสาย
"ขอโทษทีครับ ผมดีใจเกินไปหน่อย เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรนะ"
"นิ้งแค่จะบอกว่าเรามาทำความรู้จักกันเฉย ๆ นะคะ ยังไม่ใช่แฟนกัน หรือที่คุณซีได้ยินบ่อย ๆ จากพวกดาราว่ากำลังดู ๆ กันอยู่นั่นแหละค่ะ"
เธอต้องคุยเรื่องพวกนี้กับเขาให้เข้าใจก่อน มิเช่นนั้นหากเขาเอาไปพูดที่อื่นว่าคบกับเธออยู่ คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก
"ได้ครับไม่มีปัญหา เพราผมมั่นใจว่าอีกไม่นานผมได้ขยับสถานะแน่นอน"
"มั่นใจเหลือเกินนะคะ"
"โธ่คุณ ถึงผมจะไม่หล่อเหมือนพระเอกพวกนั้น แต่ผมก็มีดีของผมเหมือนกันนะครับ เอาไว้คุณจะค่อย ๆ รู้ไปเองนั่นแหละว่าผมเนี่ยเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและน่าคบที่สุดในโลกแล้ว"
หญิงสาวได้ยินแล้วก็ได้แต่ขำ จะพูดไปว่าเขายังหลงตัวเองที่สุดในโลกก็กระไรอยู่จึงได้แต่เงียบไว้
"เอาเป็นว่าคุณนิ้งตกลงแล้วนะครับ ห้ามเปลี่ยนใจแล้วนะ ไม่ใช่พรุ่งนี้เจอหน้าผมแล้วบอกว่าที่พูดไปทั้งหมดคือการล้อเล่นละ ผมไม่ยอมจริง ๆ ด้วย"
"แหม เห็นนิ้งเป็นคนยังไงเนี่ย นิ้งนิสัยแย่แค่ในละครนะ" เธอพูดกลั้วหัวเราะเมื่อชมตัวเองหน้าด้าน ๆ ให้เขาฟัง
"ผมรู้ตั้งแต่ตอนไปยืนดูคุณถ่ายโฆษณาทั้งที่ตัวเองป่วยหนักขนาดนั้นแล้วละ"
นลินทรานึกถึงตอนถ่ายงานโฆษณาที่สวนไม่ได้ ตอนนั้นหลังจากถ่ายเสร็จ เธอจำได้แค่ว่าเห็นเก้าอี้สนามสีแดงใต้ต้นไม้ใหญ่จึงรีบเดินไปให้ถึงตรงนั้นก่อนที่ตัวเองจะร่วงลงกับพื้นเพราะเริ่มหน้ามืดและไม่มีแรง แต่พอได้นั่งลงเธอก็ได้ยินเสียงของบุ๋มพูดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
มาฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล บุ๋มบอกว่านพฤทธิ์เป็นคนอุ้มพาเธอมาขึ้นรถของเขาแล้วขับไปส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังคอยอยู่ดูอาการของเธออีกด้วย
"ทำไมคุณซีถึงเป็นคนพานิ้งมาโรงพยาบาลได้ล่ะคะ" ตอนนั้นทีมงานมีตั้งหลายคน ไม่น่าจะเป็นเขาที่เข้ามาถึงตัวเธอเป็นคนแรก
"ก็คุณเอนมาพิงขาผม"
"ถามจริง" ทำไมเธอจำไม่ได้ เธอไม่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ
"จริง! ผมยืนคุยโทรศัพท์อยู่หลังต้นไม้ จู่ ๆ คุณก็เอนมาพิงขาผม ผมนี่ทำอะไรไม่ถูกเลยเพราะคิดว่าคุณคงไม่รู้ตัว และนึกว่าผมเป็นต้นไม้ละมั้ง แต่พอผมสะกิดคุณ คุณกลับหงายหลังจะล้มเพราะสลบไปแล้วน่ะ ผมถึงได้รู้ว่าตัวคุณร้อนมาก"
"ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะ"
"ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ คุณนิ้งพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ผมจะแวะเข้าไปชวนกินมื้อกลางวันนะ"
"พรุ่งนี้นิ้งไม่ว่างค่ะ เอาไว้วันหลังละกันนะ" พรุ่งนี้เธอว่าจะแวะไปหาเพื่อนสนิทอย่างพลอยพัดชาที่ร้านพัดชา เจมส์สักหน่อย ไม่ได้เจอหน้ากันมาพักใหญ่แล้ว
"อ้าว อะไรกันเนี่ย แค่มื้อแรกคุณก็ปฏิเสธผมแล้ว ไหนบอกว่าให้โอกาสผมไง" น้ำเสียงของเขาเว้าวอนราวกับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ออดอ้อนบิดามารดา จนเธออดยิ้มไม่ได้
"พรุ่งนี้นิ้งติดธุระจริง ๆ ค่ะ นิ้งว่าจะไปคุยงานกับผู้จัดการน่ะ"
เธอต้องยกเรื่องงานขึ้นมาอ้าง เพราะรู้ดีว่าหากไปเจอพลอยพัดชาทีไร วันนั้นมักจะได้ไปต่อกันจนค่ำมืดดึกดื่นทุกที
"ก็ได้ครับ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะโทร. มาหาใหม่นะ ฝันดีครับผม"
"ขอบคุณค่ะ" หญิงสาวกดวางสาย แต่วางได้ไม่นานก็มีข้อความจากคนที่เพิ่งคุยกันเสร็จเมื่อครู่เข้ามา
SEA : ขอบคุณที่ให้โอกาสผมนะครับ
SEA : ผมดีใจมาก
SEA : และคงดีใจมากกว่านี้ถ้าผมได้เลื่อนขั้นเป็นแฟนคุณ
SEA : ผมจะรอวันนั้นนะ
SEA : คิดถึงนะครับ ฝันดี
นลินทรายิ้มพลางส่ายหน้าเล็กน้อย "นี่ขนาดบอกว่าตัวเองไม่เจ้าชู้นะ แต่คารมนี่ระดับตัวท็อปเลยนะพ่อคุณ"
เอาเถอะ ลองทำความรู้จักกันดูก็ไม่เสียหาย แต่ที่แน่ ๆ เรื่องนี้เธอคงยังบอกใครไม่ได้ เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ดีไม่ดีสัปดาห์หน้าเธอกับเขาอาจตกลงปลงใจเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งก็ได้ ใครจะรู้