นิ้ง-ซี / บทที่ 8 (1)

2933 คำ
"นิ้งว่าเราไปนั่งคุยกันในรถดีกว่าค่ะ ยืนคุยตรงนี้คงไม่ดี" นลินทราจัดการล็อกประตูรั้วบ้านอีกครั้งแล้วเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่ นพฤทธิ์จึงเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับ หญิงสาวขับไปจอดที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน เพราะในยามวิกาลคงไม่มีคนมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ แต่กระนั้นเธอก็ไม่คิดลงจากรถ เนื่องจากกลัวว่าเสียงพูดคุยจะดังจนทำให้บ้านหลังที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินไปด้วย "นิ้งจะให้เรื่องของเรามันจบแค่นี้หรือ พี่ไม่ยอมหรอกนะ" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่หญิงสาวกลับแค่นยิ้มหันไปพูดกับเขาว่า "พี่รู้ไหมว่าถ้าวันนั้นนิ้งกลับเข้าไปนั่งที่โต๊ะตอนที่แม่ของพี่ประกาศเรื่องหมั้น มันจะเกิดอะไรขึ้น" เธอหยุดพูดไปครู่หนึ่ง กระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น "ทุกคนคงมองนิ้งเป็นตัวตลก เพราะตั้งแต่ไปถึงที่งานนิ้งก็เดินอยู่กับพี่ตลอด และทุกคนก็เห็นกันอยู่ว่านิ้งเป็นอะไรกับพี่ แต่จู่ ๆ แม่ของพี่ก็ขึ้นเวที เรียกพี่ขึ้นไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้นแล้วประกาศงานหมั้นต่อหน้าทุกคน พี่คิดว่าถ้าตอนนั้นนิ้งนั่งอยู่ข้างพี่ นิ้งควรทำหน้ายังไงดี ควรปรบมือแล้วพูดว่ายินดีด้วยนะคะ อย่างนั้นหรือ" เธอรู้ว่านพฤทธิ์ไม่รู้เรื่องการหมั้นหมาย แต่มารดาของเขาทำเกินไป จงใจฉีกหน้าเธอต่อหน้าทุกคน เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการต้อนรับเธอ ทั้งยังต้องการทำลายชื่อเสียงของเธออีกด้วย นพฤทธิ์จับมือนลินทรามากุมไว้แน่น "นิ้งครับ นิ้งฟังพี่นะ เรื่องหมั้นบ้าบออะไรนั่นพี่ไม่รู้เรื่องจริง ๆ พี่สาบานได้ และพี่ก็ไม่ได้ตอบตกลงเพราะยังไงพี่ก็ไม่ยอมหมั้นแน่ พี่ขอโทษแทนคุณแม่ด้วยที่ทำอย่างนั้นกับนิ้ง ท่านก็มักเป็นแบบนี้แหละ วุ่นวายจับคู่ให้พี่ตลอดตั้งแต่ตอนที่พี่ยังไม่คบกับนิ้งด้วยซ้ำ" "นิ้งรู้ค่ะว่าเรื่องนี้พี่ก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน แต่พี่ก็ต้องคิดถึงความเป็นจริงบ้าง เราจะไปกันรอดหรือคะในเมื่อคนในครอบครัวพี่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องของเรา โดยเฉพาะคน ๆ นั้นคือแม่ของพี่ ท่านไม่ชอบนิ้ง" "แต่พี่รักนิ้ง!" เขาโพล่งขึ้นเสียงดัง "รักแล้วยังไงคะ ชีวิตคู่มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนนะ พี่ลองนึกภาพว่าถ้าในอนาคตเราแต่งงานกันแล้วนิ้งต้องไปอยู่บ้านพี่ แต่นิ้งมีปัญหากระทบกระทั่งกับแม่ของพี่ทุกวัน พี่คิดว่าบ้านมันจะสงบไหม" "นิ้งจะทิ้งพี่หรือ จะเลิกกับพี่จริง ๆ หรือ" ชายหนุ่มพูดเสียงสั่นจนนลินทราไม่กล้ามองหน้าเขา "พี่ต้องทำยังไงเราถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม" ได้ยินอย่างนั้น นลินทราก็หลับตาลง สองวันมานี้เธอได้อยู่กับตัวเองและคิดถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างตนกับนพฤทธิ์จนความคิดตกผลึก เธอจึงให้ข้อสรุปว่าความรักที่เกิดขึ้นอย่างฉาบฉวยมักไม่จีรังยั่งยืน "พี่ซีคะ เรื่องของเรามันเกิดขึ้นเร็วเกินไป บางทีระหว่างเราอาจจะไม่ใช่ความรักก็ได้ เรามาให้เวลาตัวเองสักหนึ่งเดือนดีไหมคะ นิ้งว่าเราควรห่างกันสักพัก ถ้าผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วเรายังรู้สึกต่อกันเหมือนเดิมอยู่ เมื่อถึงเวลานั้นเราค่อยกลับมาคุยกันอีกที" นพฤทธิ์พยักหน้าช้า ๆ พลางพูดเสียงแผ่ว "นิ้งจะเอาอย่างนั้นใช่ไหม ได้! ถ้านิ้งต้องการแบบนั้นพี่ก็ยอม พี่จะให้นิ้งได้รู้ว่าถึงเรื่องของเราจะเกิดขึ้นเร็ว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย พี่จริงจังกับนิ้ง ต่อให้ห่างกันไปหนึ่งเดือนหรือกี่เดือนก็ตาม พี่ก็มั่นใจว่าความรู้สึกของพี่ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ" ชายหนุ่มพูดจบก็ดึงตัวเธอเข้าไปหา เขายื่นหน้าเข้ามาจูบเธออย่างเร่าร้อนและรุนแรงกว่าทุกครั้งจนริมฝีปากของเธอเจ็บไปหมด เหมือนเขากำลังลงโทษเธอที่บอกให้ห่างกันสักพัก และเมื่อจูบจนพอใจแล้วเขาจึงถอนริมฝีปากออกไปแต่ก็ยังไม่ยอมผละห่างไปเสียทีเดียว "หนึ่งเดือนข้างหน้าเรามาเจอกันใหม่ ถ้าถึงตอนนั้นนิ้งอย่าปฏิเสธพี่อีกก็แล้วกัน และนิ้งต้องชดใช้ช่วงเวลาที่เราห่างกันไปด้วย" เขาพูดจบก็เปิดประตูลงจากรถ เธอมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นเขาปลดล็อกรถที่จอดอยู่อีกด้านของถนนในหมู่บ้าน นพฤทธิ์ขับรถมาจอดใกล้กับรถของเธอ เขาเลื่อนกระจกรถอีกฝั่งลง เธอจึงเลื่อนลงบ้างเพราะคิดว่าเขาคงมีเรื่องจะพูด "นิ้งกลับเข้าบ้านได้แล้วครับ มันดึกมากแล้วนะ...แล้วเจอกัน" เธอพยักหน้า เลื่อนกระจกขึ้นตามเดิมแล้วขับกลับบ้านตัวเอง มองกระจกหลังเห็นรถของชายหนุ่มยังจอดไว้ที่เดิม จนกระทั่งเธอเลี้ยวผ่านโค้งที่จะเข้าไปในโซนบ้านแต่ละหลัง เขาจึงเคลื่อนรถออกไป หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉัตรฉายเดินลงมาจากชั้นบนในตอนเช้าตรู่ก็ต้องยกมือขึ้นทาบอกเมื่อเห็นบุตรชายอย่างนพฤทธิ์นอนอยู่บนโซฟาทั้งชุดทำงาน ครั้นพอเดินเข้าไปใกล้ก็ต้องยกมือขึ้นปิดจมูกเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ที่โชยหึ่งออกมาจากตัวคนหลับ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา อีกฝ่ายเมาหัวราน้ำขนาดไหน "ตายจริง ทำไมเป็นอย่างนี้เนี่ย ตาซีตื่นเดี๋ยวนี้นะ!" ฉัตรฉายเขย่าแขนบุตรชายแรง ๆ อยู่หลายครั้ง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น "ปล่อยให้เขานอนไปก่อนเถอะค่ะคุณแม่ ตาซีเพิ่งกลับมาตอนตีสี่นี่เอง" นพวรรณเดินมาบอกมารดา ตอนนี้นพวรรณได้กลับมาอยู่บ้านบิดามารดาแล้ว และไม่กลับไปที่บ้านสามีอีกตามคำสั่งของบิดา เนื่องจากท่านไปคุยกับสุชัย พ่อสามีเรื่องหย่าโดยยกเอาเรื่องที่บุตรสาวของตนถูกซ้อมและถูกนอกใจหลายครั้งมาเป็นสาเหตุ ตอนแรกสุชัยไม่ต้องการให้บุตรชายหย่าขาดกับภรรยาเพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียง และเกรงว่าเส้นทางนักการเมืองของบุตรชายจะมีปัญหา แต่นทีนำเรื่องเงินสนับสนุนพรรคที่ทางบริษัทให้การสนับสนุนทุกปีเป็นจำนวนหลายสิบล้านบาทมาเป็นข้อต่อรอง หากยอมหย่า บริษัทจะยังคงสนับสนุนต่อไปแต่เงินจะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่หากไม่ยอมหย่า บริษัทจะเลิกให้เงินสนับสนุน ทางพรรคจะไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว "ทำไมถึงเป็นได้ขนาดนี้นะ เมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็นเมาหัวราน้ำอย่างนี้เลยสักครั้ง" ฉัตรฉายบ่นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายพลางเดินไปนั่งบนโซฟาอีกตัว "ตาซีเป็นอย่างนี้มาร่วมอาทิตย์แล้วค่ะ ตั้งแต่เลิกกับคุณนิ้ง ได้ยินกุ๊ก เลขาฯ ของตาซีบอกว่าวัน ๆ แทบไม่ค่อยกินอะไรนอกจากกาแฟ ข้าวแทบจะแตะวันละมื้อคือตอนบ่าย แล้วก็อยู่ทำงานที่บริษัทจนมืดค่ำ ออกจากออฟฟิศก็ไปดื่มเหล้าต่อ บางคืนก็นั่งแท็กซี่กลับคอนโดฯ เพราะขับเองไม่ไหว บางคืนก็ขับกลับเองแต่ก็หวิดจะเฉี่ยวชนกับคนอื่น" ฉัตรฉายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วแล้วพูดว่า "วันจันทร์นี้แม่ทำของอร่อย ๆ แล้วเอาไปให้ตาซีที่ออฟฟิศหน่อยดีกว่า จะได้ชวนหนูแพมไปด้วย" นพวรรณมองหน้ามารดาแล้วพูดอย่างอดไม่ได้ "นี่คุณแม่ยังไม่เลิกจับคู่อีกหรือคะ ที่ตาซีต้องมีสภาพแบบนี้ก็เพราะคุณแม่นะคะ ลืมไปแล้วหรือ" "ก็ตาซียังไม่รู้จักหนูแพมดีเลย แม่ก็แค่อยากให้สนิทสนมกันไว้ เพราะแม่มั่นใจว่าถ้าได้รู้จักหนูแพมมากขึ้น ตาซีจะต้องลืมแม่ดาราอะไรนั่นแน่นอน หนูแพมน่ารักจะตายไป" นพวรรณแค่นยิ้ม "ตอนนั้นคุณแม่ก็พูดกับแซนด์แบบนี้ ถ้าได้รู้จักคุณทศมากขึ้น แซนด์จะต้องชอบเขาแน่นอน เพราะเขาเป็นคนดีเป็นสุภาพบุรุษ แล้วไงคะสุภาพบุรุษของคุณแม่ โมโหอะไรกลับมาก็เอามาลงที่เมีย บางครั้งแซนด์โดนชกเบ้าตาจนออกจากบ้านไม่ได้เป็นสิบ ๆ วันเพราะตาเขียว แซนด์เลยไม่อยากให้คนอื่นเห็น และที่เลวร้ายที่สุดก็คือบางครั้งหนูออกัสก็อยู่ด้วย แต่เขาไม่เคยสนใจเลยว่าลูกสาวนั่งอยู่ เขาคิดจะจิกหัวตบแซนด์เมื่อไรเขาก็ทำ" ฉัตรฉายนั่งเงียบไม่พูดอะไร นพวรรณจึงพูดต่อ "แซนด์ไม่รู้หรอกค่ะว่านิยามคำว่าคนดีของคุณแม่คืออะไร สำหรับแซนด์คือนิสัยดี แต่สำหรับคุณแม่อาจจะหมายถึงชื่อเสียงและเงินทอง" "ยายแซนด์! แกกำลังว่าแม่อยู่นะ" แม้จะโมโหที่ถูกบุตรสาวต่อว่าซึ่งหน้า แต่ฉัตรฉายก็ไม่กล้าขึ้นเสียงเท่าไรนักเพราะยังเกรงวาจาของสามีเมื่อวันก่อนได้อยู่ "ก็มันจริงนี่คะ ตาซีเป็นขนาดนี้แล้วแต่คุณแม่ก็ยังไม่หยุด หรือต้องให้ไปหยุดที่โรงพยาบาลแล้วให้อาหารกันทางสายยางคุณแม่ถึงจะยอมหยุดคะ แซนด์ขอเถอะค่ะคุณแม่ ชีวิตแซนด์พังไปคนหนึ่งแล้ว อย่าให้น้องของแซนด์ต้องมาพังเพราะน้ำมือคุณแม่ไปอีกคนเลย" นพวรรณเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ฉัตรฉายจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามไปอย่างกระฟัดกระเฟียดไปถึงหน้าบ้าน ตะโกนเรียกคนขับรถเสียงดังลั่นเพื่อให้พาออกไปข้างนอก คล้อยหลังทั้งสองคนแล้ว คนที่นอนหลับตานิ่งเมื่อครู่ก็ลืมตาขึ้นมา เขาลุกขึ้นนั่ง แววตามีแต่ความอาฆาตมาดร้ายอัดแน่นอยู่เต็ม "ไอ้ทศ ไอ้หน้าตัวเมีย!" ถ้าไม่สั่งสอนเสียบ้างไอ้หมอนั่นก็คงคิดว่าครอบครัวของเขาเกรงกลัวมันเสียเต็มประดา งานนี้ถ้าเขากระชากมันลงมาจากตำแหน่งไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกเขาว่าไอ้ซีเลย เมื่อถึงวันจันทร์ ฉัตรฉายทำตามที่พูดเอาไว้คือสั่งของโปรดของบุตรชายมาสามอย่างและชวนแพม บุตรสาวของเพื่อนสนิทไปหานพฤทธิ์ที่ออฟฟิศเพื่อหวังให้หนุ่มสาวทั้งสองคนสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกัน โดยไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มได้เตรียมรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ฉัตรฉายเปิดประตูห้องทำงานเข้าไปก็ต้องหน้าซีดทำอะไรไม่ถูก เพราะในห้องนั้นไม่ได้มีแค่บุตรชายอยู่เพียงลำพัง แต่มีนที สามีของตนนั่งอยู่ด้วย "นี่คุณแม่ยังไม่เลิกวุ่นวายกับเรื่องคู่ครองของผมอีกหรือครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่สนใจยายแพมอะไรนี่ของคุณแม่เลยสักนิด เอาตรง ๆ เลยนะ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรสู้นิ้ง แฟนผมได้เลยแม้แต่เส้นผม" "พี่ซีพูดอย่างนี้หมายความว่าไงคะ" แพมไม่พอใจทันทีที่ได้ยิน สองมือกำเป็นหมัดแน่น ตาจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มที่พูดตอกหน้าเธอโดยไม่มีความเกรงใจให้กันสักนิด "อ้าว โง่อีก พูดขนาดนี้ยังฟังไม่รู้เรื่อง งั้นฟังให้ดีนะ ผมหมายความว่าคุณน่ะมันดีไม่พอสำหรับผม ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือนิสัยก็สู้นิ้งแฟนผมไม่ได้เลย คุณแม่จะพามาทำไมครับเนี่ย เกะกะเปล่า ๆ" "พี่ซี!" แพมตวาดลั่นพลางหันไปมองฉัตรฉาย "คุณป้าคะ ต้องจัดการให้แพมนะ ลูกชายคุณป้ามาว่าแพม" ฉัตรฉายไม่กล้าพูดอะไรมาก ยิ่งเห็นท่าทีเมินเฉยของสามีก็ยิ่งหวาดหวั่นว่าจะมีพายุลูกใหญ่เข้า...แล้วก็จริง "วันนั้นผมพูดชัดเจนดีแล้วนะคุณฉัตร ว่าไม่ให้ยุ่งกับชีวิตลูก ๆ อีก ผมว่าคุณไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสักปีสองปีดีไหม เผื่อจะได้ชำระล้างจิตใจที่มันมืดบอดให้สว่างไสวแบบคนอื่นเขาซะมั่ง วันนี้ผมจะโทร. ไปหาแม่ชีท่านให้ละกัน" "ไม่เอานะคุณ ฉันไม่ไป!" ฉัตรฉายปฏิเสธเสียงแข็ง "ระหว่างใบหย่ากับไปบวชชีสักสองปี คุณจะเลือกอย่างไหน" นทีก็ยืนยันเสียงแข็งเช่นกัน ฉัตรฉายโกรธจนตัวสั่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ที่ตนมีกินมีใช้ มีหน้ามีตาขึ้นมาได้ก็เพราะสามี หากหย่าก็จะเป็นที่อับอายชาวบ้านที่ถูกสามีหย่าตอนแก่ มิสู้ยอมไปลำบากลำบนที่วัดป่าตามที่อีกฝ่ายพูด ดีไม่ดีลูก ๆ อาจจะใจอ่อนช่วยพูดกับพ่อเพื่อให้รับตนกลับมาก็เป็นได้ "ฉันจะไปคุยเรื่องนี้ที่บ้าน หนูแพม กลับ!" ทั้งสองคนกลับออกไปด้วยความไม่พอใจ นพฤทธิ์หันไปยิ้มให้บิดา "ขอบคุณมากครับคุณพ่อ แต่ผมเห็นด้วยนะที่จะให้คุณแม่ไปบวชสักปีสองปี เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นมาบ้าง" นทีถอนหายใจเฮือกใหญ่ "พ่อผิดเองแหละที่ตามใจแม่แกมากเกินไป ชีวิตของลูกสาวพังไปคนหนึ่งแล้วเพิ่งจะมานึกได้ ไม่น่าเลย" "พังอะไรกันครับคุณพ่อ ล้มแล้วก็ลุกใหม่ได้ พี่แซนด์เข้มแข็งจะตายไป หย่ากับไอ้เวรนั่นถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีมากกว่า ผมว่าช่วงนี้ก็ให้พี่เขาปรับตัวไปก่อน อีกไม่นานหรอกครับ พี่แซนด์จะต้องกลับมาเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมนเหมือนเมื่อก่อนแน่นอน ว่าแต่...คุณพ่อจะให้เงินสนับสนุนไอ้พรรคสกปรกนั่นอีกหรือครับ" นทีแค่นยิ้ม "ก็ให้แค่ช่วงนี้จนกว่ามันจะเซ็นใบหย่าตามที่นัดกันไว้ ยายแซนด์เป็นอิสระเมื่อไรพ่อก็เลิกเมื่อนั้น" "ดีครับ ผมจะหาหลักฐานเรื่องทุจริตคอรัปชันของมันมาด้วย ผมจะกระชากมันลงจากเก้าอี้ส.ส." "พ่อจัดการไปแล้ว แกไม่ต้องทำอะไรหรอก รอดูผลอย่างเดียวก็พอ" นพฤทธิ์ยิ้มกว้าง บิดาของเขาทำอะไรรวดเร็วว่องไว และเด็ดขาดอย่างนี้เสมอ และเขาก็เชื่อด้วยว่าเรื่องที่ท่านจะส่งมารดาไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสองปีนั้น ท่านก็พูดจริงไม่ใช่แค่ขู่ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา นพฤทธิ์เงยหน้ามองไม้ประดับกับต้นไม้สูงตระหง่านที่ปลูกเรียงกันหลายสิบต้นด้วยสายตาพึงพอใจ ลมธรรมชาติพัดโชยเอื่อยมาเป็นระลอก พาให้กิ่งไม้ใบไม้ไหวเอนเสียดสีไปตามแรงลม "ที่นี่สงบดีมากเลยนะครับคุณพ่อ" "อืม แบบนี้แหละดีแล้ว ให้แม่แกห่างไกลอบายมุขซะบ้าง เผื่อจะชำระล้างจิตใจให้ดีขึ้น" ได้ยินบิดาพูดอย่างนั้น นพฤทธิ์ก็อดขำไม่ได้ เพราะเมื่อมองไปยังมารดาที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ เขาจึงเห็นด้วยกับท่านทุกประการ มารดาของเขายึดติดในลาภยศสรรเสริญมากเกินไป จนลืมนึกถึงจิตใจของคนในครอบครัว "คุณพ่อคิดว่าคุณแม่จะยอมอยู่จนครบสองปีหรือครับ ผมว่าไม่ถึงเดือนก็คงเผ่นแล้วละมั้งเนี่ย" "อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่ แม่แกน่ะเสียนิสัยเอาแต่ใจจนเคยตัว ต้องให้ธรรมะช่วยขัดเกลานั่นแหละดีที่สุด" "ผมเห็นด้วยครับคุณพ่อ" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ได้แต่หวังว่าภายในหนึ่งปีหรือสองปีนี้ มารดาของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และไม่แน่ว่าตอนที่ท่านกลับมาจากบวชชีพราหมณ์ เขาอาจจะมีหลานให้ท่านเลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนก็ได้ แต่ตอนนี้เขาคงต้องพยายามพิชิตใจว่าที่แม่ของลูกให้ได้เสียก่อน นพฤทธิ์ดูโฆษณาเฟรชลูปที่นลินทราเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วก็ได้แต่คิดถึงวันแรกที่ได้เจอผู้หญิงคนนี้ ยอมรับว่าตอนที่เขาเห็นบทบาทร้าย ๆ ของเธอบนจอโทรทัศน์ รวมถึงการถ่ายแบบแฟชั่นต่าง ๆ เขาคิดว่าเธอคงจะมีนิสัยขี้เหวี่ยงขี้วีน เอาแต่ใจตามประสาดาราดังค่าตัวแพง แต่พอเขาเห็นความสงบนิ่งของเธอจึงอดแปลกใจไม่ได้ นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจเธอ ถือว่าเป็นความประทับใจแรกพบเลยกระมัง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม