"เฮ้อ...คนเรานี่ก็แปลกเนอะ ยังไม่ทันได้รู้จักนิสัยใจคอกันจริง ๆ เลย แต่กลับตัดสินคนอื่นจากภายนอกซะแล้ว แม่คุณซีเขาอินกับบทบาทของนิ้งมากไปรึเปล่า เหมือนสมัยก่อนที่พวกตัวร้ายแทบเดินตลาดกันไม่ได้น่ะ"
"นิ้งว่าไม่หรอกพี่บุ๋ม เพียงแต่นิ้งมันแค่ดาราไง พ่อแม่ไม่ได้เป็นนักธุรกิจไฮโซ เขาก็คงกลัวว่านิ้งจะไปเกาะลูกชายเขานั่นแหละ นิ้งก็เข้าใจเขานะ เขามีลูกชายคนเดียว เป็นธรรมดาที่เขาอยากให้ลูกชายได้ภรรยาที่อยู่ในแวดวงนักธุรกิจด้วยกัน อย่างน้อยก็เชิดหน้าชูตาได้ ไม่ใช่ดาราที่มีดีแค่หน้าตาอย่างนิ้ง"
"จ้า...เศร้ายังไงให้วกกลับมาชมตัวเองได้ เริ่ดนะคะคุณน้อง" บุ๋มเบะปากใส่อย่างไม่จริงจังนัก ทำให้นลินทราหัวเราะออกมาได้บ้าง
"แต่พี่ขอพูดตามตรงนะนิ้ง พี่ว่าคุณซีเขาไม่หยุดแค่นี้หรอก พี่ว่าเขาคงตื๊อนิ้งน่าดูเลยละ"
"ตื๊อก็ตื๊อไป ตราบใดที่เขายังเคลียร์กับที่บ้านไม่ได้ นิ้งก็จะไม่ไปยุ่งกับเขาเด็ดขาด" นลินทราพูดอย่างแน่วแน่
"แต่ทางเราก็จะมีปัญหาเหมือนกันนะ พวกนักข่าวนั่นไง พี่ว่าต้องมาซอกแซกถามกันน่าดู เสียดายที่พี่จินนี่ยังอยู่โรงพยาบาล ไม่อย่างนั้นพี่เขาก็คงช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้บ้าง"
"นิ้งก็คงบอกไปตามตรงนั่นแหละพี่ว่าเลิกกันแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องปิดบัง"
นลินทราผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้นทำให้บุ๋มไม่เอ่ยถึงเรื่องของนพฤทธิ์อีก เธอร่วมงานกับหญิงสาวมานานหลายปี ย่อมรู้ดีว่าดาราสาวคนนี้เป็นคนอ่อนนอกแข็งใน งานนี้เห็นทีนพฤทธิ์อาจเหนื่อยเปล่า หรือไม่ก็คงต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมหลายเท่า หากต้องการกลับไปเป็นเหมือนเดิม
นพฤทธิ์ขับรถกลับบ้านในช่วงสายของวันต่อมา เมื่อคืนชายหนุ่มจอดรถรออยู่หน้าบ้านนลินทราทั้งคืน แต่ก็ไร้วี่แววของหญิงสาว เขาจึงคิดว่าวันนี้ตนควรกลับบ้านแล้วพูดกับมารดาให้รู้เรื่องอีกครั้งดีกว่า
เขาเดินเข้าบ้านก็เห็นทั้งบิดามารดาและพี่สาวอยู่กันพร้อมหน้า ข้างกายของนพวรรณ พี่สาวนั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่ด้วยจึงคิดว่าควรแยกเด็กออกไปก่อนดีกว่า เพราะหากหลานสาวสุดที่รักของเขาต้องมาเห็นตนในโหมดดุดัน เจ้าตัวจะต้องหวาดกลัวและไม่ยอมให้เขาอุ้มเป็นแน่
"พี่แซนด์ ผมว่าให้หนูออกัสออกไปเล่นข้างนอกกับพี่เลี้ยงก่อนดีกว่าครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณแม่"
ชายหนุ่มมองไปที่มารดาของตนซึ่งกำลังนั่งเชิดหน้าไม่ยอมมองมาที่เขา ก่อนจะมองเลยไปที่บิดาซึ่งกำลังนั่งดูข่าวทางโทรทัศน์ราวกับไม่สนใจเรื่องใด ๆ โดยที่มุมปากมีรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย
เมื่อหลานสาวตัวน้อยออกไปจากห้องนั่งเล่นแล้ว นพฤทธิ์ก็พูดเรื่องของตนทันที
"คุณแม่รู้ตัวไหมครับว่าเมื่อวานคุณแม่ทำร้ายผมกับนิ้งยังไงบ้าง" เขาพูดจบ ท่านก็หันมองหน้าเขาแล้วตวาดขึ้นเสียงดังทันที
"คำพูดพวกนั้นฉันควรจะเป็นคนพูดมากกว่า แกทำให้ฉันขายหน้าคนอื่นมากแค่ไหนรู้รึเปล่า ทำไมแกไม่ไว้หน้าฉันเลย เมื่อวานเป็นงานวันเกิดของฉัน แต่ฉันกลับถูกลูกชายตัวเองฉีกหน้าจนอับอายเขาไปทั่ว ฉันมองหน้าหนูแพมกับแม่เขาไม่ติดแล้ว แกรู้ตัวบ้างไหม"
"ก็ช่างหัวยายหนูแพมอะไรนั่นของแม่สิ คุณแม่มาล้ำเส้นผมก่อนนะ ผมอายุสามสิบกว่าแล้วแต่คุณแม่ก็ยังมาจับคู่บ้าบออะไรให้ผมเนี่ย เมื่อไรจะเลิกบงการชีวิตผมสักที"
"ตาซี! แกพูดอย่างนี้กับแม่ได้ยังไง นี่แม่นะ! ที่แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อตัวแกเองทั้งนั้น แม่ดารา..." มารดายังพูดไม่จบ บุตรชายก็พูดแทรกขึ้นก่อน
"ทำเพื่อผมงั้นหรือ คุณแม่กล้าพูดได้ยังไงว่าทำเพื่อผม ผมว่าคุณแม่ทำเพื่อตัวเองมากกว่า คุณแม่ไม่เคยสนใจความรู้สึกของลูก ๆ เลยว่าจะรู้สึกยังไง พอใจไหม มีความสุขรึเปล่า คุณแม่ทำเพื่อตัวเองล้วน ๆ ดูอย่างพี่แซนด์สิ คุณแม่ก็บงการพี่แซนด์ให้แต่งงานกับผู้ชายคนนั้นเพราะเขามีหน้ามีตา แต่คุณแม่เคยถามพี่แซนด์ไหมว่าอยากแต่งรึเปล่า แต่งไปแล้วมีความสุขไหม ไม่ครับ คุณแม่ไม่เคยถามเลย คุณแม่คิดแต่เรื่องของตัวเอง คิดแค่ว่าจะเอาเรื่องพวกนี้ไปอวดเพื่อนฝูงเวลาเจอกันว่าลูกสาวลูกชายได้แต่งงานกับคนใหญ่คนโต"
"ก็แล้วยังไง ยายแซนด์ก็มีความสุขดี ฉันไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลย ได้เป็นคุณนายสส.งานการก็ไม่ต้องทำ นี่ยังไม่ดีอีกหรือ ฉันเป็นแม่ฉันก็ต้องมอบแต่สิ่งดี ๆ ให้ลูกอย่างพวกแกอยู่แล้ว มีแต่แกนั่นแหละที่ใฝ่ต่ำ!"
"มอบแต่สิ่งดี ๆ ให้งั้นหรือ ขอโทษนะครับ คุณแม่ช่วยดูหน้าพี่แซนด์ให้ดี ๆ สิ มองตาพี่แซนด์สิว่าพี่สาวของผมมีความสุขไหม" ขณะที่เขาพูด นพวรรณก็น้ำตาอาบแก้มพลางส่ายหน้าไปมา
"ซีพอเถอะ พี่ขอร้องละ"
แต่คำขอร้องของนพวรรณไม่เป็นผล เพราะนพฤทธิ์เดินไปรั้งแขนเสื้อของพี่สาวขึ้นไปจนถึงหัวไหล่แล้วชี้รอยฟกช้ำหลายรอยบริเวณต้นแขนให้บิดามารดาดูโดยไม่สนคำทัดทานของพี่สาว
"คุณแม่ดูให้ดี ๆ ว่าพี่แซนด์มีความสุขมากเลยใช่ไหมแบบนี้น่ะ คุณแม่เคยรู้ไหมว่าไอ้ลูกเขยหน้าตัวเมียที่คุณแม่บูชานักหนา มันซ้อมลูกสาวคุณแม่เกือบทุกวัน แถมยังเลี้ยงอีหนูไว้เป็นโขยง มันทำตัวเป็นมาเฟีย ไม่พอใจใครก็สั่งลูกน้องไปกระทืบ นี่หรือครับคือความสุขและอนาคตที่คุณแม่มอบให้"
บิดาลุกพรวดขึ้นมาดูรอยเหล่านั้นทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเค้นถามเอาความกับบุตรสาวคนโต
"นี่มันอะไรกัน เรื่องจริงหรือยายแซนด์ที่แกถูกคุณทศเขาซ้อมเอาน่ะ บอกพ่อมา!"
นพวรรณได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ไม่ยอมตอบคำถามบิดา ขณะที่ผู้เป็นมารดานั้นได้แต่ยกมือทาบอก เพราะคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวของตนจะเป็นกระสอบทรายให้สามีนักการเมืองซ้อม
"ถ้าล้างเครื่องสำอางบนหน้าออก จะเห็นรอยชัดกว่านี้อีกครับจะบอกให้ ผมรู้มาตลอดว่าไอ้เชี่ยนั่นมันซ้อมพี่ แต่พี่แซนด์ขอร้องไม่ให้ผมเข้าไปยุ่ง และไม่ให้ผมพูด แต่วันนี้ผมทนไม่ไหวแล้ว เพราะคุณแม่ผลักพี่แซนด์ไปลงนรกไม่พอ ยังคิดจะผลักผมลงไปอีกคน ซึ่งผมขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่าผมจะไม่มีวันยอมทำตามคำบงการของคุณแม่อย่างเด็ดขาด"
นพฤทธิ์ประกาศกร้าว ขณะที่ผู้เป็นบิดาทรุดตัวนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรงเมื่อเห็นสภาพของบุตรสาวสุดที่รัก
"แกบอกพ่อมาตามตรงยายแซนด์ ว่าไอ้เวรนั่นมันเป็นอย่างที่ตาซีพูดรึเปล่า"
นพวรรณมองบิดาด้วยน้ำตานองหน้า ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงยอมรับ นั่นจึงทำให้บิดาอย่างนทีโกรธจัดจนอกกระเพื่อมขึ้นลง พลางชี้ไปที่บุตรสาวด้วยมืออันสั่นเทา
"พรุ่งนี้แกไปหย่ากับมัน พ่อจะไปกับแกด้วย!" นทีหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ฉัตรฉายรีบค้านเสียงดัง
"ไม่ได้นะ! คุณจะให้ลูกสาวตัวเองเป็นหม้ายอย่างนั้นหรือ แล้วฉันจะมองหน้าคนอื่น..."
"หุบปาก! ลูกเป็นแบบนี้แล้วคุณยังจะมัวห่วงหน้าตาของตัวเองอีกหรือคุณฉัตร ผมไม่เข้าใจเลยว่าจิตใจคุณมันทำด้วยอะไร ทำไมถึงได้เห็นแก่ตัวแบบนี้ ในหัวคุณมันมีแต่เรื่องชื่อเสียงหน้าตาบ้าบอนั่นหรือไง คุณยังมีความเป็นแม่อยู่อีกรึเปล่า หา!" นทีตวาดใส่ภรรยาเสียงดังลั่นห้องจนอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่สามีจะขึ้นเสียงใส่แบบนี้
"คุณไม่เคยคิดถึงจิตใจลูก วัน ๆ เอาแต่ห่วงชื่อเสียงหน้าตาของตัวเองและทำเรื่องไร้สาระกับไอ้พวกผู้ดีจอมปลอมนั่น ผมพยายามจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หลายครั้งแล้วเพราะไม่อยากมีปัญหา แต่เรื่องของลูก ผมยอมไม่ได้ ถ้าคุณยังไม่ยอมปรับปรุงนิสัย ผมจะฟ้องหย่าคุณ!"
ฉัตรฉายอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดพูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน ขณะที่นทีนั้นไม่สนใจภรรยาอีกต่อไป ได้แต่หันไปบอกกับบุตรสาวว่า
"วันนี้แกไม่ต้องกลับไปบ้านนั้นแล้ว พ่อจะไปคุยกับคุณสุชัยเรื่องที่ลูกชายเขามันมาทำกับลูกสาวของพ่อแบบนี้ ส่วนคุณ ผมขอสั่งไม่ให้ไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของลูก ๆ อีก ถ้ายังปลงไม่ได้ก็ไปบวชชีที่วัดซะ เผื่อธรรมะจะช่วยขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้เป็นคนเหมือนคนอื่นเขาซะบ้าง"
นพฤทธิ์มองท่าทีของมารดาที่อยากจะลุกขึ้นอาละวาดเกรี้ยวกราดแต่ก็หวั่นเกรงความเด็ดขาดของบิดาแล้วอดสะใจนิด ๆ ไม่ได้ มารดาของเขาเอาแต่ใจ ไม่เห็นหัวคนอื่น และวางอำนาจบาตรใหญ่มานานเกินไปแล้ว บิดาของเขาเองก็เป็นคนใจเย็น ไม่ชอบมีปัญหาจึงปล่อยปละละเลยเรื่อยมา จนกระทั่งเป็นเรื่องของบุตรสาว ท่านจึงไม่ยอมอีกต่อไป และเขาเองก็รู้ว่าการเปิดโปงพี่เขยแบบนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งเล่นกับคนมีอำนาจในมือด้วยแล้ว ปัญหาที่จะตามมาคงมีไม่น้อย กระนั้นเขาก็ไม่เสียใจที่พูดออกมา เพราะถ้าสามารถทำให้พี่สาวของเขาหลุดพ้นจากขุมนรกนั้นได้ เขาก็ยินดี
วันนี้นลินทราแวะไปหาพลอยพัดชาที่ร้านพัดชา เจมส์เพราะไม่รู้จะไปไหน โชคดีที่เจอเพื่อนอยู่เฝ้าร้านจึงไม่มาเสียเที่ยว เธอไม่ได้โทรศัพท์มาบอกพลอยพัดชาก่อนว่าจะมาที่นี่เพราะปิดโทรศัพท์เอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อมาถึง พลอยพัดชาจึงชวนขึ้นไปนั่งเล่นบนออฟฟิศชั้นสองเพื่อดูข่าวของกวินภพ พระเอกคนดังที่ทำร้ายจินตวาตี
นั่งคุยเรื่องนี้กันไปสักพัก ธาม แฟนหนุ่มของพลอยพัดชาก็ขึ้นมาเช่นกัน นลินทราจึงขอตัวกลับเพราะไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอทั้งคู่
"จะไปไหนยะ" พลอยพัดชาถามขึ้นมา เธอเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะไปไหน รู้แต่ว่ายังไม่อยากกลับเข้าบ้านตอนนี้เพราะไม่รู้ว่านพฤทธิ์จะไปอยู่เฝ้าหน้าบ้านอีกหรือเปล่า
ทว่าขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ พลอยพัดชาก็ยื่นกุญแจกับคีย์การ์ดคอนโดมิเนียมของตัวเองมาให้ ตนจึงมองเพื่อนอย่างขอบคุณที่รู้ใจ ทั้งที่เธอยังไม่พูดออกไปด้วยซ้ำว่ากำลังมีปัญหาเรื่องอะไรอยู่
นลินทราขับรถมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงคอนโดฯ ของเพื่อนสนิท เมื่อมาถึงห้องหญิงสาวก็หยิบไวน์ในตู้เย็นมานั่งดูซีรีส์ทางโทรทัศน์อย่างคุ้นเคย
ซีรีส์ฝรั่งแนวสืบสวนสอบสวน แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงดูไปน้ำตาไหลไป เธอไม่รู้เลยว่าตัวเอกในเรื่องกำลังสืบหาอะไรกันอยู่เพราะเนื้อเรื่องไม่เข้าหัวแม้แต่น้อย สุดท้ายเธอจึงปล่อยให้ตัวเองได้ร้องไห้ออกมาให้เต็มเสียง หลังจากที่ต้องอดกลั้นและเก็บความรู้สึกเอาไว้ต่อหน้าคนอื่นตั้งแต่เกิดเรื่อง
ภายนอกดูเหมือนเข้มแข็ง แต่ภายในใจของเธอนั้นแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีแล้ว
ซีรีส์เปลี่ยนไปเล่นเรื่องใหม่ได้สามเรื่องแล้ว แต่นลินทรายังนั่งกอดหมอนอิงอยู่บนโซฟาที่เดิม จนกระทั่งได้ยินเสียงออดหน้าประตูดังขึ้น หญิงสาวจึงลุกไปส่องดูตาแมวว่าใครมา เมื่อเห็นว่าเป็นพลอยพัดชาจึงเปิดประตูให้
พลอยพัดชาคงสังเกตเห็นตาบวมแดงของเธอ จึงเดินมานั่งใกล้ ๆ แล้วถามอย่างเป็นห่วง
"นิ้ง แกเป็นอะไรวะ ทะเลาะกับพี่ซีหรือ"
นลินทราส่ายหน้า "เปล่าหรอก แต่เลิกกันเลยต่างหาก"
"หา! แกว่าไงนะ เลิกกันเลยหรือวะ ทำไมอะ มีเรื่องอะไรกันไหนเล่าสิ พี่ธามไม่เห็นเล่าอะไรให้ฉันฟังเลย"
นลินทราเล่าเรื่องที่ตนไปงานวันเกิดมารดาของนพฤทธิ์ให้เพื่อนฟังทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง ครั้นพอพลอยพัดชาฟังจบก็ได้แต่หัวร้อนแทนเพื่อน เอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียด
"นี่ดีนะที่ครอบครัวพี่ธามไม่มีคนอย่างแม่พี่ซี ถ้ามีนะ คงต้องเจอกับฉันสักตั้งนั่นแหละ โตมาแบบไหนถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ ฉันละเชื่อเลย พี่ซีเขาก็ดูเป็นคนปกติดีนี่นา แล้วทำไมมีแม่แบบนั้นได้ แล้วนี่เขาไม่คิดจะมาอธิบายหรือมาง้อแกหน่อยหรือ"
"ตั้งแต่วันงานฉันก็ปิดโทรศัพท์ตลอดเลย ตอนโทร. ไปที่บ้านก็ยืมโทรศัพท์ของพี่บุ๋มน่ะ ฉันยังไม่พร้อมจะคุยกับเขาตอนนี้หรอก"
"ฉันว่านะ ดื้อคบดื้อแต่งแล้วแยกตัวออกมาอยู่กันตามลำพังดีกว่า ไม่ต้องไปอยู่ร่วมบ้านกับแม่เขาหรอก เพราะคนบางคนก็แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานเฉย ๆ นะแก คนแก่ทุกคนใช่ว่าจะน่าเคารพซะเมื่อไร"
นลินทรายิ้มขำ พลอยพัดชามักเป็นแบบนี้เสมอ เดือดเนื้อร้อนใจและเจ็บแค้นแทนเพื่อนราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง "ช่างเถอะแก คนมันไม่ใช่คู่กัน ดันทุรังคบไปมันก็ต้องมีสักวันที่เลิกกันนั่นแหละ"
"แต่ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องนะ ฉันว่าพี่ซีเขาก็ดูรักแกมากอยู่ และถ้าเขารักแกมากพอ เขาต้องหาหนทางคบกับแกให้ได้นั่นแหละ ส่วนเรื่องหมั้นอะไรนั่น เดี๋ยวฉันไปเค้นถามพี่ธามดีกว่าว่าพี่ซีตอบตกลงแม่เขาไปรึยัง ถ้าเขาตอบโอเคก็กรวดน้ำคว่ำขันให้ผู้ชายเฮงซวยคนนี้ไปได้เลย...แล้ววันนี้แกจะค้างกับฉันไหมล่ะ"
นลินทราส่ายหน้า "คงไม่ละ เมื่อวานก็ไม่ได้กลับบ้าน วันนี้คงต้องกลับ แต่อาจจะดึกหน่อย พ่อกับแม่จะได้ไม่เห็นสภาพฉันตอนนี้"
หญิงสาวนั่งเล่นอยู่ที่คอนโดฯ ของพลอยพัดชาจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนจึงตัดสินใจขับรถกลับบ้าน ช่วงนี้เธอไม่มีถ่ายละครเพราะทีมงานยังหานักแสดงมาแทนพระเอกอย่างกวินภพไม่ได้ ซึ่งนับว่าเป็นจังหวะเหมาะพอดี เพราะหากต้องให้เธอท่องบทหรือเข้าฉากในสภาพจิตใจแบบนี้ คงมีถ่ายซ่อมหลายเทกจนถูกผู้กำกับบ่นแน่นอน
เมื่อถึงหน้าบ้าน นลินทราลงจากรถเพื่อไปเปิดรั้วด้วยตัวเอง ทว่าขณะที่กำลังจะดันประตูรั้วให้เปิดกว้างขึ้น จู่ ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งมาจับประตูเอาไว้ หญิงสาวไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร เพราะเห็นแค่มือของเขา เธอก็จำได้แล้ว
ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำรัวเร็วจนปวดหนึบไปทั้งช่องอก นลินทราพยายามรักษาความเยือกเย็นของตัวเองไว้ แต่กระบอกตากลับร้อนผ่าวและน้ำตาจวนเจียนจะหยดลงมาอีกครั้ง
"นิ้ง เรามาคุยกันก่อนได้ไหม อย่าหลบหน้าพี่ได้รึเปล่า"
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อให้เวลากับตัวเองได้ตั้งหลัก และบังคับเสียงไม่ให้สั่น แต่ดูเหมือนเธอจะทำได้ไม่ดีเท่าไรนัก
"พี่อยากคุยเรื่องอะไรล่ะคะ"
"เรื่องของเราไง พี่ขอโทษแทนคุณแม่ของพี่ด้วยที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่พี่สาบานว่าพี่ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยจริง ๆ ว่าคุณแม่จะประกาศเรื่องหมั้น นิ้งเชื่อพี่นะ"
"นิ้งเชื่อค่ะว่าพี่ไม่รู้มาก่อน แต่ที่นิ้งหลบออกมาก็เพราะนิ้งคิดว่าเรื่องของเรามันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว"
"นิ้ง!"