“น่ารักจังเลย ขอบใจมากนะ”
วณิชยาเอื้อมมือลงไปจับหัวไหล่เด็กหญิง ซาบซึ้งใจ ลูกเต้าเหล่าใครนะทำไมถึงเลี้ยงลูกได้ดีขนาดนี้ ถ้าหนูน้อยไม่ช่วยเก็บมาให้คงจะลำบากแย่ หล่อนกับลูกคงไม่มีเงินใช้
ร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติงคอยตั้งใจฟังบทสนทนาเงียบๆ สมองเขาในตอนนี้ลืมไปซะสนิทว่าวิ่งตามหลานสาวออกมา จู่ๆ น้ำใสก็ไหลเอ่อขึ้นคลอเต็มเบ้าตา มือเขาสั่นระริกจนไม่สามารถกำรอบได้ นี่คือความจริงใช่ไหม ไม่ใช่ความฝันหรือคิดเพ้อไปเองคนเดียวใช่ไหม ชาครีย์มองแผ่นหลังบอบบางแสนคุ้นเคย เลื่อนผ่านมามองหน้าเด็กชายตัวเล็ก แววตาของตาหนูทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นหลายระดับ แทบจะกระเด็นกระดอนออกจากหน้าอกข้างซ้าย เขารู้สึกคุ้นเคยกับเด็กคนนี้จนภาพมากมายในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความทรงจำ คือหล่อนใช่ไหม วณิชยา...
กี่ปี กี่เดือน กี่วันผ่านมาแล้วที่ไม่ได้พบเจอกัน ไม่ได้ยินกระทั่งข่าวคราวความเป็นอยู่ แม้จะเห็นเพียงข้างหลังแต่เขาก็จำได้แม่นยำ ไม่เคยลบลืมภาพหล่อนได้สักวินาทีเดียว เพราะเคย ‘รัก’ หล่อนหมดหัวใจ
ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเลยด้วยซ้ำ สติกลับมาอีกทีก็ตอนที่น้องเกววิ่งเร็วๆ ผ่านผู้หญิงคนนั้นกลับมาหาเขา
“เรากลับเข้าไปกินไก่กันเถอะค่ะลุงคีย์”
น้องเกวยิ้มกว้าง คิดถึงคุณพ่อ อยากกลับไปคุยกับท่านต่อ หนีมาเมื่อกี้ท่านต้องตกใจแน่ๆ แรงส่งจากปลายนิ้วเล็กขยุ้มขากางเกงเบาๆ ไม่ทำให้สนใจไปมากกว่าจังหวะการเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้น ที่ค่อยๆ เอียงใบหน้ากลับมาทางด้านหลังเพื่อจะมองว่าใครคือ ‘ลุงคีย์’
วินาทีแรกที่ได้สบตากัน ทั้งสองต่างอึ้งไม่แพ้กัน ไม่มีคำพูดใดๆ จะพรรณนาความรู้สึกจากข้างในได้มากกว่าน้ำใสๆ ในดวงตา
วณิชยากำกระเป๋าเงินแน่นและโอบกระชับลูกน้อย ปกป้องแกไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมให้เขาได้เห็น
“นิว...” ชื่อนี้หลุดออกจากปากเขาครั้งแรกในรอบหลายปี สติกลับมาแล้วทั้งคู่ เป็นวณิชยาที่ไวกว่ารีบอุ้มลูกเดินฝ่าฝูงชนหายไป ชาครีย์ร้องเรียกหลายครั้งหล่อนไม่ยอมหัน เขาร้อนรนลดกายลงอุ้มน้องเกวพากลับเข้ามาในร้าน หยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์วิ่งออกไปตามหาวณิชยา ได้เจอหล่อนแล้วเขาจะไม่ยอมให้เรื่องราวมันคาราคาซัง
อดีตความหลังหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ สีหน้าเศร้าหมองรวมถึงเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของหล่อนไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ หลายปีก่อนเขาเลือกจะบีบหล่อนออกไปจากชีวิตด้วยการคืนดีกับเมียเก่า แค่แกล้งคืนดี... แต่วันนั้นกลับเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอหน้าผู้หญิงที่ชื่อวณิชยา หล่อนได้หายไปจากชีวิตเขาราวกับเสียชีวิต
“นิว คุณได้ยินเสียงผมหรือเปล่า!” เสียงเข้มตะโกนเรียกสุดแรงทั้งที่ไม่รู้ว่าวณิชยาอยู่ตรงไหน เขาไม่อยากจากหล่อนทั้งที่ไม่ได้พูดคุยแบบนี้ ไม่อยากติดค้างในใจเกี่ยวกับเด็กชายตาแป๋วคนนั้น
“ลุงคีย์เสียงดัง ร้อง... เรียกใครคะ น้องเกวกลัว”
เด็กหญิงตัวน้อยเบะปากจะร้องไห้ตามที่บอกจริงๆ คนมองมาเยอะมาก น้องเกวตกใจ กลัวไปหมดแล้วตอนนี้ บอกลุงคีย์หลายครั้ง ลุงก็ไม่ยอมฟัง ชาครีย์ไม่มีสติจะฟังอะไรทั้งนั้น ยังคงออกแรงวิ่งตะโกนเรียกชื่อวณิชยา จนตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานและนักเดินทางในละแวกนี้ “อย่าขี้ขลาดสินิว คุณอยู่ไหน ออกมาคุยกับผมก่อน!”
“ฮือ...” น้องเกวปล่อยโฮออกมา น้ำตาไหลเต็มแก้ม ชาครีย์เหมือนคนสติแตกคลุ้มคลั่งวิ่งไปทั่วสนามบิน ตะโกนจนถูกตำรวจสนามบินเข้ามาตักเตือน ไม่เช่นนั้นจะจับเขาไปควบคุมสติอารมณ์จนกว่าจะมั่นใจว่าเขาไม่ได้คลุ้มคลั่ง ทว่าเขาไม่สน ด่าตำรวจกลับไม่เกรงกลัว กระทั่งหนูน้อยในอ้อมแขนส่งเสียงร้องไห้จ้าเขาถึงยอมสงบสติอารมณ์ ตัดใจจากการตามหาวณิชยาพาหลานสาวมานั่งเก้าอี้ริมทางเดินกอดปลอบไม่ยอมปล่อย เช็คน้ำตาให้หนูน้อยไม่ขาดมือ
“ฮึก... ฮือ... คุณพ่อ คุณแม่ น้องเกวอยากกอด ฮือ...” กำปั้นเล็กถูกยกขึ้นมาขยี้ดวงตา น้องเกวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยากกลับบ้าน
“น้องเกวจ๋า อย่าร้องไห้นะคะ ลุงคีย์ขอโทษ ลุงคีย์แค่อยากเจอผู้หญิงคนที่น้องเกวเก็บกระเป๋าเงินให้” สายตายังคงสอดส่องมองหาเผื่อจะเจอวณิชยาอีกครั้งและถามไถ่ว่าหลายปีที่ผ่านมาหล่อนไปอยู่ไหน หายไปไหน ทำไมไม่ไปเที่ยวเกาะไอรักบ้างทำไมถึงทำเฉยเหมือนลืมเขาได้แล้ว ลืมได้แล้วจริงๆ เหรอ ทั้งที่... เราสองคนลึกซึ้งกันขนาดนั้น
“ฮึก... ฮือ...” เด็กหญิงตัวน้อยพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ แต่กลั้นไม่ไหว พอคุณลุงจะกอดก็ขยับหนี ไม่ยอมให้คุณลุงแตะต้องตัวเอง
“ลุงคีย์ขอโทษ น้องเกวอย่าโกรธเลยนะคะ”
“ฮือ... ลุงคีย์น่ากลัว”
“ลุงคีย์ผิดไปแล้ว ลุงคีย์ขอโทษ ต่อไปจะไม่ส่งเสียงดังให้น้องเกวตกใจอีก สัญญาค่ะ” ส่งนิ้วใหญ่ไปให้หนูน้อย หนูน้อยยังร้องไห้แต่ก็ยอมยกนิ้วก้อยเล็กขึ้นมาเกี่ยว เท่านั้นเองชาครีย์ก็ยิ้มกว้าง ดีใจที่หลานสาวหายโกรธ “ถ้าน้องเกวเจอผู้หญิงคนนั้นอีก รีบบอกลุงนะ”
“ฮึก... ค่ะ ถ้าเจอน้องเกวจะบอกลุงคีย์”
“อย่าร้องนะคนเก่ง ลุงว่าเรากลับไปกินไก่กรอบๆ กันเถอะนะคะ”
ชาครีย์ย้อนกลับมากินไก่ทอดร้านเดิม ตลอดเวลากินเขาพยายามมองหาตำแหน่งกล้องวงจรปิดในร้านบางทีอาจจะจับภาพวณิชยาได้ ได้แค่คิดเท่านั้น การขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดในร้านยุ่งยากกรณีทำของหายในร้านต้องไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันถึงจะสามารถมาขอดูได้ แต่กรณีนี้ 'เมียหาย' เขาถอนหายใจ ทำหน้าอมทุกข์เหมือนคนแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า กลอกสายตาลอกแลกมองหลานสาวคุยโทรศัพท์กับพ่อคุณแม่เล่าเรื่องเมื่อกี้ให้ฟังแล้วก็ตามระเบียบ
หนูน้อยเล่าเรื่องผู้หญิงคนนั้นไม่มีหมกเม็ดเสียงใสแจ๋วเชียว รู้เลยว่าได้นิสัยช่างพูดนี้มาจากเจ้าน้องชายเขาชัดๆ
เฮ้อ! ดูท่าว่าเร็วๆ นี้เขาคงถูกคนในบ้านซักฟอกยกใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นแน่แท้ เอาไงดีล่ะนายคีย์ หนีกลับภูเก็ตตอนนี้ทันไหมนะ
หัวใจของวณิชยายังคงเต้นแรงไม่ต่างจากวินาทีแรกที่ได้สบตาผู้ชายใจร้ายคนนั้น ผ่านมาเกือบสามปีเขายังเหมือนเดิมทุกอย่าง มีแค่สีผิวเท่านั้นที่ค่อนข้างเข้มเสริมใบหน้าคมให้ดุเถื่อนมากขึ้น ดวงใจวณิชยาแหลกสลายเป็นผุยผง โอบกอดลูกแน่น ปล่อยน้ำตาให้รินไหล
ไม่พบไม่เจอกันเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว ทำไมโลกต้องใจร้ายเหวี่ยงเขากลับเข้ามาในชีวิต แค่นี้ยังเล่นตลกกับชีวิตหล่อนไม่พออีกเหรอ สั่งหล่อนให้เข้าไปขโมยของบางสิ่งที่มีค่าทางจิตใจมาจากเขา เพื่อหวังแลกเศษเงินนำไปรักษามารดา แล้วเป็นยังไง ทำร้ายเขาได้สำเร็จ รับเงินมา แต่กลับไม่สามารถช่วยชีวิตมารดาได้ทันเวลา ชีวิตต้องพังทลายลงมามองหาทางออกทางไหนก็มืดมิด มิหนำซ้ำลูกน้อยก็มาผิดเวลา
บากหน้ากลับไปหาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เขาเกลียดหล่อนเข้าไส้เข้ากระดูกดำ ชังน้ำหน้าหล่อนจนอยากจะเฉดหัวหล่อนออกไปให้พ้นจากชีวิต ชาตินี้อย่าได้หวนกลับมาพบกันอีก
วันนั้นเมื่อหลายปีที่แล้วยังจำได้ไม่มีลืม น้ำเสียง แววตา ลักษณะการวางตัวของเขา ทุกสิ่งล้วนเป็นผลพวงมาจากการกระทำของหล่อน
โอเค หล่อนผิด เรื่องนี้วณิชยารู้ดี เพราะรู้ไง ถึงได้พาตัวเองออกมาจากชีวิตเขา คลอดลูกและเลี้ยงดูแกเพียงลำพัง ไม่ไปรบกวนเขา แม้ว่าทั้งหัวใจของหล่อนจะยัง ‘รัก’ เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
'ก็แค่เซ็กซ์ ใช่ความรักซะที่ไหนล่ะครับ อย่าคิดไปเอง เวลาผู้ชายอยากได้ ปากก็พล่อยบอกรักไปงั้นแหละ อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ไปเลยนะ ถือซะว่าหายกันกับทุกสิ่งที่น้องนิวทำกับพี่ไว้ก็แล้วกัน'
‘นี่มันเรื่องอะไรเหรอคะคีย์’
‘ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ไซด์ไลน์ที่ผมเคยใช้บริการ’
‘อ๋อ อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงตามมาถึงที่นี่ คงอยากจะจับคีย์สินะ เธอมันน่าสมเพชสิ้นดี ไสหัวออกไปจากที่นี่แล้วอย่ากลับมาอีก!’
‘ฮึก...’ วณิชยายกมือขึ้นปิดใบหน้า ร้องห่มร้องไห้ เสียงด่าทอจากภรรยาเขากรีดลงกลางใจของผู้หญิงที่ตกอยู่ในสถานะเมียน้อย แถมยังเป็นเมียน้อยไซด์ไลน์ที่กำลังอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ในครรภ์
‘ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ หรือต้องให้เรียกคนมาจับเธอโยนออกไป ไปสิ ไปให้พ้นจากชีวิตของฉันกับสามี!’
ในวันนั้นเขาปล่อยให้ภรรยาส่งเสียงด่าหล่อนต่อหน้าคนมากมายในโรงแรม วณิชยาอับอายจนไม่กล้าลดมือลงจากใบหน้า ช่องเล็กๆ ระหว่างนิ้ว เป็นครั้งสุดท้ายที่ได้สบตาเขา ก่อนวณิชยาจะตัดสินใจพาตัวเองออกไปให้พ้นจากชีวิตเขา อดีตพวกนั้นมันเลวร้าย นึกย้อนกลับไปครั้งไหนวณิชยาก็มีน้ำตาเสมอ ทั้งที่สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องเก่าๆ อีก แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะตราบาปในวันนั้นมันไม่เคยลบเลือนออกไปจากหัวใจของหล่อน เช่นเดียวกับความรักที่มีต่อเขา
วณิชยาพยายามทำจิตใจให้เข้มแข็ง ลูกรักมองมาตาแป๋ว หล่อนเช็ดน้ำตาพอลวกๆ ฝืนความรู้สึกส่งยิ้มไปให้แก
“เรากลับบ้านของเรากันนะครับ”
บ้านสุดเหงาที่มีแค่เรา แม่ลูก
บ้านของหล่อนกับลูกชายเป็นคอนโด ก่อนหน้านี้วณิชยาอาศัยอยู่ประเทศเยอรมนีนับจากตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด อาศัยอยู่กับรุ่นพี่ที่รู้จักกัน จนกระทั่งพี่เขาย้ายกลับมาเปิดบริษัทที่ไทยช่วงต้นปีที่ผ่านมา
วณิชยาจึงต้องย้ายตามกลับมาช่วยงานในตำแหน่งมัณฑนากร หล่อนเพิ่งกลับจากภูเก็ต รับงานรีโนเวทคอนโดที่นั่นเพราะคิดถึงบ้าน
“แม่... พ่อปาน…” ลูกชายตัวน้อยร้องบอกชี้นิ้วป้อมๆ ไปยัง ปราณ วิศวกรประจำบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศไทย ปราณอาศัยอยู่คอนโดเดียวกับหล่อน เขาเข้ามาในชีวิตหล่อนมากขึ้นทุกวันราวกับอยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเล็กๆ น้องไนท์เองก็ดูจะชอบเขามาก อยู่ไกลแค่ไหนก็ไม่วายมองเห็นอยู่ดี
วิศวกรหนุ่มอยู่ในชุดทำงานเช่นเดิม สีหน้าเขาอิดโรย คาดว่าเพิ่งจะออกจากไซต์งานก็ตรงดิ่งมารับหล่อนกับลูกที่สนามบิน ทั้งที่โทรบอกแล้วว่าจะนั่งแท็กซี่กลับเอง เขาก็ไม่ยอม บอกว่ากลัวหล่อนกับลูกจะลำบากรวมถึงได้รับอันตรายทางท้องถนน อ่อนใจกับเขา จึงยอมเออออตาม วณิชยายกปลายนิ้วขึ้นกรีดเช็ดน้ำตาออกจนเกลี้ยงเกลา
“มาถึงนานหรือยังครับ ขอโทษที่มาช้านะ พอดีรถติดมาก” ว่าพลางพับแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง ยื่นมือออกไปรับเจ้าตัวเล็กมาอุ้ม “มาให้พ่ออุ้มหน่อยเร็ว เจ้าตัวแสบ” จับหอมแก้มซ้ายขวาชื่นอกชื่นใจ
“พ่อปาน...” เด็กชายหัวเราะเสียงสดใส
“ครับ คิดถึงตัวแสบจังเลย ไปเที่ยวทะเลมาสนุกไหมครับ” เขาชอบทำเสียงตัวเองให้ตื่นเต้นที่สุดเวลาคุยกับน้องไนท์ ปราณให้ความรัก ให้การดูแล รวมถึงให้แกเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ด้วยความเต็มใจ
“หนุก ทะเลหนุก” เด็กชายตอบเจื้อยแจ้ว สีหน้าบ่งบอกถึงความสุขที่มีเต็มหัวใจ สุขจนอยากจะให้พ่อปราณไปเที่ยวด้วยกัน
“มิน่าล่ะ ไม่โทรหาพ่อเลย” ปราณทำเสียงเหมือนงอนเจ้าตัวเล็ก กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกนิด จับตัวเล็กมากอดอีกแน่นๆ
“รายนี้หลับปุ๋ยตั้งแต่หัวค่ำทุกวันเลยค่ะ อยู่ที่นั่นมีเพื่อนเล่นเยอะชวนกันเล่นนั่นเล่นนี่ ตกเย็นมาหมดแรงตามๆ กัน บางวันเซี้ยวใหญ่ ให้เกรซพาไปเล่นน้ำทะเลจนไข้ขึ้น นิวตกใจแทบแย่ค่ะ” วณิชยาฟ้องวีรกรรมลูกชายขณะเดินเคียงข้างเขาคอยลากกระเป๋าเดินทางไปยังรถยนต์
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่เล่าให้พี่ฟังบ้าง” เขาไม่ค่อยมีเวลาว่างก็จริง แต่ถ้าเป็นไลน์หรือเบอร์ของวณิชยาโทรมาก็พร้อมปลีกตัวมาตอบได้ตลอดเวลา เขาตระหนักดีว่าหล่อนกับลูกสำคัญมากแค่ไหน
“นิวไม่อยากให้คุณปราณกังวลน่ะค่ะ พาไปหาหมอแล้วอาการตาหนูก็ดีขึ้นมาก” ความจริงคือไม่อยากเล่าให้เขาฟัง ไม่อยากให้เขารู้สึกตัวว่ามีความหวังในเรื่องของหล่อน เพราะหล่อนยังไม่พร้อมเปิดใจให้เขาในเร็วๆ นี้ ยิ่งบังเอิญเจอชาครีย์เมื่อครู่ก็ยิ่งมั่นใจว่ายังไม่ลืมเขา