ปราณเอียงใบหน้ากลับมาสบตากับวณิชยา เขาจริงจังมาก “ไม่ได้นะครับ ต่อไปนี้น้องนิวมีอะไรต้องรีบโทรบอกพี่เป็นคนแรกเลย”
“เอ่อ... ได้ค่ะ ต่อไปนิวจะบอกคุณปราณก็แล้วกันนะคะ” สุดท้ายก็ต้องยอมตามใจเขา ไม่อยากพูดต่อประโยคกันให้ยืดเยื้อ
“ดีครับ เรารีบกลับกันเถอะนะน้องนิว น้องไนท์ง่วงนอนแล้ว” ปราณส่งยิ้มให้คนแม่ส่วนมือนั้นเอื้อมมาลูบหัวคนลูก ขับกล่อมเด็กชายให้นอนหลับในอ้อมอกกำยำ มืออีกข้างอยากเอื้อมมาจับหล่อนมากแต่ก็ไม่กล้า เพราะเคยจับแล้วครั้งหนึ่งแต่วณิชยาลืมตัวสะบัดออก
ก็... ไม่เจ็บเท่าไหร่แต่แค่รู้สึกเฟลๆ ยังไงชอบกล ไม่เป็นไร เขาตั้งใจจะเอาชนะใจหล่อน อยากดูแลหล่อนกับลูก ในฐานะที่มากกว่าเพื่อน มากกว่าพี่ชาย มากกว่าผู้อยู่อาศัยในคอนโดเดียวกัน เขาไม่รังเกียจหล่อนที่มีลูกติด ออกจะยินดีมากด้วยซ้ำถ้าหล่อนจะเปิดใจ
พื้นฐานวณิชยาเป็นคนบ้านรวยพ่อเป็นคนมีเงิน แต่เพราะพ่อแม่แยกทางกัน และคนที่วณิชยาเลือกจะอยู่ด้วยคือแม่ ก็เลยไม่ได้ติดต่อกลับไปหาพ่ออีก บางทีท่านอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำที่เคยมีหล่อนเป็นลูกสาว คอนโดนี้ท่านซื้อให้เป็นของขวัญสมัยเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ เป็นมรดกเพียงชิ้นเดียวจากท่านที่หล่อนได้ครอบครอง ก็ถือว่าโอเค ดีกว่าไม่ได้อะไร คอนโดนี้อยู่ติดรถไฟฟ้าราคาในปัจจุบันสูงลิบ ถ้าเก็บเงินซื้อเองคงไม่มีปัญญาแน่ๆ กู้ธนาคารก็ไม่รู้จะผ่านไหม ขั้นตอนเยอะแยะวุ่นวาย
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงปราณก็ขับรถมาถึงคอนโด น้องไนท์หลับปุ๋ยในอ้อมแขนของหล่อน เมื่อมาถึงจุดหมายคุณปราณปล่อยให้หล่อนอุ้มลูกส่วนเขาช่วยถือกระเป๋าของหล่อน และกระเป๋างานเอกสารล้านแปดของเขา เดินตามหล่อนต้อยๆ เข้ามาขึ้นลิฟต์ข้างใน
วณิชยาเข้าไปข้างในห้อง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดว่าปราณต้องเดินตามเข้ามาด้วย ไล่จนเหนื่อยแล้วก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
“ทำงานมาเหนื่อยๆ คุณปราณกินอะไรมาหรือยังคะ” หญิงสาวเปลี่ยนเป็นชุดลำลองอยู่บ้านสบายๆ ออกมาข้างนอกเห็นเขานั่งเฝ้าน้องไนท์ก็เลยเอ่ยถาม แน่นอนว่าคำตอบแฝงในรอยยิ้มนั้นคือ 'ไม่'
“ของสดเหลือไม่มาก นิวจะทำข้าวผัดกับไข่เจียวให้กินนะคะ” ถือเป็นการตอบแทนเขาที่อุตส่าห์ไปรับหล่อนกับลูกที่สนามบิน
“ขอบคุณครับ ถ้างั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนแล้วจะลงมาใหม่นะครับ” เข้าทางเขามาก ปราณรีบจุ๊บแก้มบอกกู๊ดไนท์เจ้าตัวน้อยก่อนจะถือกระเป๋าเอกสารของตัวเองออกไปจากห้องวณิชยากลับห้องตัวเอง
วณิชยาเข้าไปในครัวเพื่อหุงข้าว เตรียมทำมื้อเย็นในช่วงดึกให้ชายหนุ่มรับประทาน ระหว่างลงมือทำอาหารหล่อนก็นึกถึงความดีหลายอย่างของปราณ ช่วงสามสี่เดือนที่รู้จักกันเขาคอยช่วยเหลือหล่อนกับลูกหลายอย่าง ไม่รังเกียจสถานะลูกติดของหล่อน ถ้าหากสามารถเปิดใจรับเขาเข้ามาในชีวิตได้หล่อนอาจมีความสุขมากกว่านี้
เขากับน้องไนท์ก็ดูจะเข้ากันได้ดี บางทีเราสองคนอาจจะไปด้วยกันได้ จัดอาหารใส่จานตั้งไว้บนโต๊ะรอคุณปราณกลับมา หล่อนเป็นห่วงลูก อยากรู้ว่าแกหลับสนิทหรือยังจึงย้อนกลับเข้าไปในห้องนอน
หล่อนสัมผัสตามเนื้อตัวลูกรักสำรวจว่าความร้อนยังหลงเหลืออยู่หรือเปล่า กระทั่งมั่นใจว่าลูกรักหายป่วยคุณแม่ยังสาวถึงหายใจหายคอได้คล่องมากขึ้น ดีใจที่ลูกหายป่วย ลูกป่วยทีไรใจหล่อนจะขาดรอนๆ สงสารแกและมักจะแอบร้องไห้ทุกครั้ง มีกันแค่สองคนแม่ลูก ถ้าน้องไนท์เป็นอะไรขึ้นมาหล่อนคงกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก
วณิชยาไม่โกรธเพื่อนที่พาน้องไนท์ไปเล่นน้ำ เพราะรู้ว่าลูกมีความสุขมากแค่ไหนในช่วงเวลานั้น แต่ก็อดที่จะบ่นไม่ได้ เพราะน้องไนท์ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่แรกเกิด โดนแดดโดนลมนิดเดียวก็ไม่สบาย
ช่วงตั้งท้องน้องไนท์วณิชยาตัดสินใจแยกตัวออกจากชาครีย์มาใช้ชีวิตคนเดียว ชีวิตหล่อนค่อนข้างลำบาก ต้องทำงานหนักในต่างแดนเพื่อเก็บเงินไว้เลี้ยงลูกบวกกับมีสภาวะเครียด หลังจากนั้นไม่กี่เดือนน้องไนท์ก็ลืมตาดูโลก ทารกน้อยน่ารักน่าชังถูกคลอดก่อนกำหนด แกกำพร้าพ่อ พ่อ... ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้กำลังใช้ชีวิตสุขสบายมีความสุขอยู่กับใคร คิดถึงเขาขึ้นมาทีไรวณิชยาก็น้ำตาไหล ไม่ได้เจอกันนาน กำลังจะตัดใจเลิกรักเขาได้แล้วเชียว ทำไมคนบนฟ้าถึงใจร้ายส่งเขากลับเข้ามาในชีวิตหล่อนอีกครั้ง หญิงสาวล้มตัวลงนอนรั้งร่างเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน กอดลูกแนบแน่น ขอแบ่งไออุ่นจากลูกมาปลอบประโลมหัวใจที่เหน็บหนาว
“ลูกของเราสองขวบแล้วนะคะคุณคีย์ คุณจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าเราสองคนรักและคิดถึงคุณมากแค่ไหน เรายังรักคุณเสมอมานะคะ”
ชาครีย์ ชนานนท์ ชื่อนี้ต่อให้ผ่านไปอีกกี่สิบปีก็ไม่สามารถลบออกไปจากใจได้ วันนั้น วันสุดท้ายที่ได้เจอกันยังติดค้างในหัวหล่อน มาจนถึงทุกวันนี้ผ่านมาเกือบสามปี ไม่มีวันไหนเลยจะสามารถลืมได้ คนใจร้ายคนนั้นหลอกลวงหล่อน หลอกล่อ ฉุดชีวิตหล่อนดิ่งลงสู่หุบเหวที่ไร้ซึ่งทางออก คำโกหกของเขาหล่อนเชื่อหมดใจในขณะที่เขาเชื่อใจหล่อนแค่ช่วงแรกเท่านั้นก่อนมาตลบหลังสารภาพว่าโกหก เขายังไม่หย่าขาดจากภรรยา... วันนั้นหล่อนร้องไห้จนแทบขาดใจหลงลืมถ้อยคำที่เตรียมมาพูด คำขอโทษ คำว่ารัก และคำบอกเล่าถึงการมีตัวตนของลูกรัก
น้องไนท์ กลางคืน ความหมายแฝงคืออนาคตที่มืดมน
วณิชยาร้องไห้หนักหยาดน้ำตาหยดลงสู่แก้มลูกนานเข้าเปลือกตาเล็กก็ขยับขยุกขยิกลืมตาขึ้นมามองตาแป๋ว
วินาทีนั้นน้ำตายิ่งไหลเร็วกว่าเดิม ดวงตาของแกถอดแบบมาจากชาครีย์เป็นพิมพ์เดียว เขาจะสังเกตเห็น จะทันมองหรือเปล่าว่าเด็กคนนี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเขาในวัยเด็กมากแค่ไหน
นี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เป็นลูกของเรา
ลูก... ที่เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามีแกอยู่บนโลกนี้
“แม่คับ...” เด็กชายมองมารดาตาแป๋วยกมือเล็กขึ้นจับแก้ม เด็กชายสัมผัสถึงความเศร้าจากมารดาได้ จ้องนิ่ง มองท่านตาใส
“จ๋าลูก นอนเถอะนะ” ปลอบประโลมด้วยน้ำตา รักลูกเหลือเกิน ถึงจะถูกเขาทิ้งอย่างใจร้ายก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้หล่อนไม่รักลูกคนนี้
“ร้องไห้...”
“คุณแม่ร้องไห้เพราะน้องไนท์ป่วย คนดี อย่าป่วยอีกนะครับ”
“คับ” เด็กชายยิ้มอ่อนโยน “แม่คับ พ่อ...”
วณิชยาสะอื้นร่ำไห้หนักกว่าเดิมโอบกอดลูกไว้กลางอก สงสารลูกที่ต้องกำพร้าพ่อ พ่อ... ที่ไม่แยแสในตัวแม่ของแกเลยสักนิด
หล่อนไม่อยากให้แกเห็นอะไรไปมากกว่านี้ กอดลูกไว้ เตือนใจตัวเองว่าถึงไม่มีเขาก็ยังมีลูกรักไว้เป็นขวัญกำลังใจให้ทำงานและมีชีวิตเพื่อเฝ้ามองการเติบโตของแก “คุณแม่รักน้องไนท์มากนะครับ รักมากๆ คนเก่งของคุณแม่ นอนเถอะนะครับ คุณแม่จะอยู่ตรงนี้ ฮึก... จะกอดน้องไนท์อยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน...” มือบอบบางลูบศีรษะลูกรักแผ่วเบา
แม้จะยังตาแป๋ว แต่เมื่อถูกขับกล่อมเด็กชายผู้มีร่างกายอ่อนแอก็นอนหลับอีกครั้งอย่างง่ายดาย คุณแม่ยังสาวนอนกอดลูกพักใหญ่ บังเอิญหางตามองไปเห็นกายสูงใหญ่ของปราณกำลังยืนมองตนเองหน้าประตู วณิชยาเช็ดน้ำตาตัวเองลวกๆ ตกใจ ไม่รู้ว่าเขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนหรืออาจจะเป็นตอนที่น้องไนท์เรียกหาพ่อ ร่างอรชรลงจากเตียงออกมาหาเขาข้างนอกหน้าตาไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ กระนั้นก็ยังแจกจ่ายรอยยิ้มให้เขากลบเกลื่อนเสียงร้องไห้ในใจ
“ขอโทษนะคะ นิวไม่ทันมองก็เลยไม่รู้”
“ไม่เป็นไรครับ”
“คุณปราณมาถึงนานหรือยังคะ”
“สักพักแล้วครับ” ปราณไม่ได้ยิ้มตอบเสียงเขาค่อนข้างเรียบ เจ็บแปลบๆ ในใจ ทำใจมาแล้วว่าวณิชยายังไม่ลืมพ่อของลูก แต่พอได้ยินได้เห็นอะไรแบบนี้เข้า เขาก็อดเสียใจไม่ได้อยู่ดี
“นิวทำอาหารเสร็จแล้ว เชิญทางนี้ค่ะ”
เขาจ้องนานเกินไปวณิชยารีบหลบสายตา ปิดประตูห้องนอนของตัวเองจากนั้นเดินนำหน้าเขามายังห้องครัว ทว่าคนข้างหลังไม่มีวี่แววจะขยับเขยื้อนออกมาจากบริเวณนั้น หล่อนไม่ได้หันกลับไปมองกลัวน้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลบ่าลงมาอีกครั้ง ตัดใจไม่เรียกซ้ำก้าวเท้าเดินอีกครั้ง
ไม่รู้อะไรดลใจเขาให้กระทำแบบนี้ จะถามก็ไม่กล้า จะผลักไสก็ไม่มีแรงต่อต้าน ใจอ่อนแอยิ่งกว่ากาย วณิชยายืนนิ่งปล่อยให้ปราณกอดจากทางด้านหลัง สัมผัสอบอุ่นจากเขาแผ่ซ่านเข้ามาสู่ร่างกายและหัวใจแสนอ่อนแอ กระตุ้นหยาดน้ำใสให้ไหลรินออกจากดวงตา
“พี่จะรอนะ จะรอจนจะถึงวันนั้นที่เป็นวันของเรา พี่ไม่สนหรอกว่าจะอีกกี่เดือนกี่ปีน้องนิวถึงจะลืมพ่อน้องไนท์ได้ ขออย่างเดียว น้องนิวได้โปรด... เปิดใจรับพี่เข้าไปทดแทนเขาเถอะนะ เปิดโอกาสให้พี่ได้เข้าไปอยู่ในหัวใจน้องนิวบ้าง พี่อยากดูแลน้องนิวกับลูกด้วยใจจริง”
เขาไม่รู้หรอกว่าอดีตของวณิชยากับผู้ชายคนนั้นจะเป็นยังไง ช่วงสามสี่เดือนมานี้เขารู้สึกดีกับหล่อนมากจริงๆ อยากรัก อยากดูแล อยากคอยอยู่เคียงข้างวณิชยาไปจนวันตาย เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมอบให้ใครมาก่อน มันรุนแรง ทรงพลังมากจนปราณนึกกลัวตัวเอง กลัวว่าจะทำอะไรรุนแรงถ้าหากมีใครหน้าไหนก็ตามคิดจะแย่งหล่อนไปจากเขา
เขาก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่มีหัวใจ รักเป็น ห่วงเป็น แอบเห็นหล่อนหลายครั้งจากมุมไกล ผู้หญิงตัวเล็กๆ เพิ่งย้ายมาอยู่เมืองไทย ลูกป่วยหนักเพราะปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศเมืองไทยไม่ได้ หล่อนตกใจ อุ้มลูกร้องไห้จะพาไปหาหมอ สติก็ไม่ค่อยมี เห็นดังนั้นจึงเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ตัวแค่นี้เองแต่ต้องทำงาน หาเงิน เลี้ยงลูกคนเดียว
วณิชยาเข้มแข็งขนาดนี้ แปลกตรงไหนที่เขาจะแอบรักหล่อนหมดใจ แค่มีลูกติดคนเดียวทำไมหล่อนถึงปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมให้เขาเข้าไปดูแลหัวใจ รอเวลาเหรอ รอดูพฤติกรรมเขาเหรอ เชิญสังเกตการณ์เงียบๆ ไปเถอะ เพราะเขาพร้อมจะพิสูจน์ตัวเองไม่ว่าจะอีกกี่เดือนกี่ปีหรือสิบปี
ช่วงความสูงแตกต่างกันไม่เป็นอุปสรรคเลย ปราณซบใบหน้าลงบนหัวไหล่เล็กยกมือขึ้นกอดหล่อนหลวมๆ
ในความเงียบนั้น ปราณได้ยินเสียงวณิชยาร้องไห้
.......................
อ่านตอนต่อไปได้ใน ตอน 2