หลังจากที่หานรั่วหลาน ได้พูดคุยกับเหล่ากองกำลังลับของนางอีกสักพัก ก็ได้กลับมายังห้องพักในโรงเตี๊ยมของตนเองนางพบว่ามีบุรุษผู้หนึ่งรอตนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้เห็นดวงหน้าของเขา หญิงสาวก็เกิดอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาอย่างยากจะระงับ
"ท่านมาทำอันใดที่นี่ ภรรยาที่อุ้มครรภ์บุตรของท่านไม่สบายอยู่มิใช่หรือ"
"ภรรยาข้ามีเพียงคนเดียว และข้าก็ไม่เคยอยู่ห่างจากนาง ทุกอย่างย่อมเป็นเช่นนั้น มันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง"
"ป๋อเหวินท่านกำลังละเมออันใด ตั้งแต่วันที่ท่านขึ้นเตียงกับนาง ทุกอย่างระหว่างเราก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว" นางกล่าวออกมาด้วยเสียงเยียบเย็น ก่อนที่จะเดินไปเลื่อนบานประตูให้เปิดออก และแสดงท่าทีให้เขาออกไปจากภายในห้อง
"วันนี้ข้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้วท่านออกไปเถิด"
"ไม่ไป" เขาไม่กล่าวเปล่า ยังเดินไปที่เตียงกว้าง พร้อมกับปลดรองเท้าและเสื้อคลุมลายพยัคฆ์ของตนเองออก โดยที่ไม่ได้สนใจดวงหน้าที่ดูเขียวคล้ำของนางเลยสักนิด
"ข้าเองก็เหนื่อยมาทั้งวันอยากพักผ่อนแล้วเหมือนกัน ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้เจ้าแล้ว และยังได้ให้คนนำน้ำมันหอมมาไว้ให้เจ้านวดตัวโดยเฉพาะด้วย เจ้าอยากให้ข้าช่วยหรือไม่"
ชายหนุ่มเอ่ยบอกนางด้วยดวงตาพราวระยับอย่างเจ้าเล่ห์ หานรั่วหลานกัดฟันแน่น "ไม่ต้อง" นางสะบัดกายเดินจากไปด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่หลังจากที่ได้แช่อยู่ในน้ำอุ่น พร้อมกับที่สาวรับใช้ ใช้น้ำมันหอมนวดตัวให้กับนางอย่างเบามือ หญิงสาวก็รู้สึกผ่อนคลายจนอารมณ์ดีขึ้นมาก แววตาของหญิงสาวพลันปรากฏประกายบางอย่าง
"ป๋อเหวินเป็นเจ้าที่อยากอยู่ใกล้ข้าเองนะ"
สตรีที่ถือว่าเป็นขยะ อย่างนาง หากอาศัยแค่ ความรักที่บุรุษผู้หนึ่งมอบให้ย่อมต้องมีวันจืดชืด ยิ่งพวกเขาตกแต่งอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ความรู้สึกรักใคร่ย่อมต้องมีลดลงตามธรรมชาติ แต่สำหรับคู่ของนางแล้ว ยิ่งนับวันเฉินหลิวหยางยิ่งรักใคร่หลงใหลในตัวภรรยาที่ได้ชื่อว่าเป็นขยะผู้นี้ หากนางไม่มีดีคงไม่สามารถมัดใจเขาเอาไว้ได้
'หานเฟิงอี้เจ้าเล่นผิดคนแล้ว คิดว่าข้าจะยอมหย่าใช้ชีวิตอย่างชอกช้ำใจ แล้วยอมหลีกทางให้กับเจ้าได้เข้ามาแทนที่ในจุดที่ข้ายืนหรือ ข้าหาได้โง่เขลาเพียงนั้น หากข้าต้องการจะไป จะต้องเป็นข้าเองที่ไม่ต้องการอยู่เคียงข้างเขาแล้ว ส่วนเจ้าจะต้องอยู่ในตำแหน่งเมียน้อย และลูกของเจ้าก็จะต้องอยู่ในฐานะของลูกเมียน้อย ตกเป็นรองข้าในทุกๆ ด้าน ข้าจะทำให้เจ้าอยู่อย่างชอกช้ำใจ ความหยิ่งทะนงตนที่เจ้าเคยมี จะต้องถูกทำลายไปนับจากนี้'
หญิงสาวหลับตาลงพลันให้นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตหลายๆ อย่างที่ผ่านมา นางเป็นอดีตนักฆ่าที่มาจากอีกโลกหนึ่ง ตลอดทั้งชีวิตถูกฝึกมา จนมีเล่ห์เหลี่ยมพอตัว แต่เมื่อได้เข้ามาอยู่ยังโลกนี้ ความสามารถที่นางมีมาแทบจะไม่ได้นำออกมาใช้เพราะผู้คนต่างมีปราณธาตุที่เหนือมนุษย์ เพียงนักฆ่ามือเปล่าอย่างนางจะสามารถเอาอะไรไปสู้กับพวกเขาได้เล่า
"หากได้อาวุธในโลกปัจจุบันมา ก็คงจะดียังจะพอมีหวังเอาไว้ป้องกันตัวได้บ้าง"
นางพึมพำเสียงเบาทั้งที่หลับตาอยู่ สาวรับใช้ข้างกายก็รู้หน้าที่ เพียงก้มหน้าปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง โดยไม่ได้คิดจะสอดรู้สอดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของผู้เป็นนายเท่าใดนัก
เฉินหลิวหยางที่นอนรอนางอยู่ก่อนแล้ว ก็ต้องตื่นลืมตาขึ้นมา เมื่อรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว ดวงตาของเขาต้องเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าสตรียังเบื้องหน้า ที่มีเพียงอาภรณ์บางเบาปกปิดกาย และยังเอี๊ยมตัวบาง ที่มีรูปร่างแปลกประหลาด กางเกงตัวรัดจิ๋วสามเหลี่ยมด้านล่างนั่นก็แทบจะปิดสิ่งใดไม่มิด ภาพตรงหน้าทำให้เขาลำคอแห้งผาด หานรั่วหลานกล่าวออกมาคล้ายกับบ่นกับตนเอง
"เหตุใดวันนี้ถึงได้อากาศร้อนนัก"
นางใช้มือโบกไปมาจนเส้นผมปลิวไสว อาภรณ์ที่ปิดกายบางส่วนเลื่อนหลุดลงมา จนถึงลาดไหล่กลมกลึง เผยให้เห็นผิวขาวเนียนราวกับหิมะ
"ลู่เสียนนี่เจ้า" เฉินหลิวหยางคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ เขาลุกออกจากเตียงย่างเท้าเข้ามาหานางคล้ายกับไม่รู้สติ หญิงสาวจึงใช้มือดันแผงอกเขาออก เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะรวบร่างบางของนางเข้าไปใกล้ตน
"เมื่ออยากอยู่ ข้าก็อนุญาตให้อยู่ แต่อย่าได้คิดจะแตะต้องข้าแม้นแต่เพียงปลายเล็บ ท่านคงไม่อยากขึ้นชื่อว่าข่มเหงชายาตนเองหรอกนะ ที่นี่คือโรงเตี๊ยม เสียงดังแม้แต่เพียงเล็กน้อย ผู้คนย่อมได้ยินกันชัดเจน อย่าให้พวกเขารู้สึกแตกตื่นเลยจะดีกว่า"
"นี่เจ้าตั้งใจจะทรมานข้าหรือ"
นางยักไหล่ท่าทีไม่ยี่หระ "หากทนไม่ได้ก็กลับไปเสีย ข้าหาได้ อยากรั้งท่านไว้แต่อย่างใด"
"ลู่เสียนเจ้าอย่าทรมานข้าเช่นนี้ เจ้าก็รู้ว่าเมื่ออยู่ใกล้เจ้าร่างกายของข้ามันแทบจะไม่เป็นตัวของตนเอง อย่าทรมานข้านักเลย"
เขากล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนยิ่ง หานรั่วหลาน เพียงเดินผ่านร่างของชายหนุ่มไป "ทุกอย่างหาใช่ความผิดของข้า หากจะโทษก็ควรที่จะโทษความไม่รู้จักพอของท่านต่างหาก"
นางกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนที่จะก้าวขึ้นเตียงกว้าง และล้มตัวลงนอน โดยที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับอีกฝ่าย ใช้เวลาเพียงไม่นาน หญิงสาวก็มีลมหายใจที่สม่ำเสมอ เฉินหลิวหยางไม่สามารถทำสิ่งใดได้ หลังจากเห็นท่าทีของนาง จึงถอนหายใจออกมา 'เมื่อไหร่นางจะหายโกรธสักที' ก่อนที่จะก้มหน้าลงต่ำและถอนหายใจออกมาอีกครั้งเฮือกใหญ่ เขาจึงได้เดินไปทางหลังฉากกั้น และข่มเสียงของตนเองให้เบาที่สุด
ตลอดระยะเวลาหลายวันเฉินหลิวหยางไม่ยอมห่างจากข้างกายของหญิงสาวเลยแม้แต่เพียงครึ่งก้าว นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก กว่าที่นางจะนัดคนของตนเองมาจากทั้งห้าแคว้นได้ ย่อมมีเรื่องที่จะพูดคุยกันหลายเรื่อง แต่บุรุษผู้นี้กลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการเลย เมื่อเห็นว่า เรื่องเป็นเช่นนี้ นางจึงได้ ยอมกลับตำหนักกับเขาแต่โดยดี เมื่อกลับมาถึงก็พบว่ามีพระราชเสาวนีย์จากไทเฮา เรียกตัวเฉินหลิวหยางไปพบ
"กลับไปกราบทูลเสด็จแม่ว่าช่วงนี้ข้าไม่ว่าง"
"แต่ท่านอ๋องไม่ได้เข้าวังนานแล้ว อีกทั้งไทเฮาก็ทรงประชวร พระนางตรัสว่าร้ายดีอย่างไร พระนางก็อยากเห็นพระโอรสของพระองค์ก่อนที่จะจากไป"
"เสด็จแม่ก็มักจะนำเรื่องตนเองป่วยเช่นนี้มา
กล่าวอ้างประจำ ถึงอย่างไรเสด็จแม่ก็ไม่สวรรณคตง่ายๆ หรอก วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี เจ้ารีบกลับไปก่อนที่ข้าจะอารมณ์เสียมากกว่านี้ดีกว่า"
ตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา เฉินหลิวหยางไม่สามารถแตะต้องสตรีอันเป็นที่รักได้ตัวนางเองก็ขยันแต่งกายด้วยอาภรณ์วาบหวิว เพื่อที่จะมาหลอกล่อให้เขารู้สึกโหยหานางมากยิ่งขึ้นความรู้สึกทรมานเช่นนี้ เมื่อสะสมหลายวันเข้า จึง อยากจะระบายมันออกพอดีในเมื่อขันทีผู้นี้มาได้จังหวะ เขาก็อยากจะลงมือสั่งสอน เพื่อระบายอารมณ์เหมือนกัน เฉินหลิวหยางปล่อยปราณธาตุสีทองออกมาที่ฝ่ามือ ขันทีผู้นั้นจึงรีบกล่าวลา โดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ
แต่เมื่อเดินเข้าไปภายในตำหนักส่วนในก็พบกับความวุ่นวาย นางกำนัลและบ่าวรับใช้วิ่งวุ่นกันให้ทั่ว เฉินหลิวหยางมองภาพตรงหน้า แล้วก็ให้ขมวดคิ้วมุ่น หานรั่วหลานเองก็เช่นกัน นางกล่าวออกมาว่า "มิใช่ชายารองของท่าน จะอาการทรุดหนักหรือ"
"เราไปดูกันเถิด" เขาไม่รอให้นางได้เอ่ยปฏิเสธ มือหนารีบยื่นออกไปรวบมือบางของนางเอาไว้ และลากจูงไปที่ตำหนักของหานเฟิงอี้ แค่เพียงแม่นมหม่าได้เห็นดวงหน้าของเฉินหลิวหยาง นางก็ปล่อยโฮออกมา ด้วยความเสียอกเสียใจยิ่ง
"ท่านอ๋องแย่แล้วเพคะพระชายาอาการไม่สู้ดีเลย ดูเหมือนว่าจิตใจของพระชายารองตอนนี้จะดูย่ำแย่มาก ท่านหมอหลวงตรวจอาการของพระชายานานแล้ว แต่ก็ไม่ยอมออกมาเสียที"
แม่นมหม่าแสดงสีหน้าน่าสงสารอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อสายตาของนางเหลือบไปเห็นหานรั่วหลาน ก็เปลี่ยนเป็นท่าทีกราดเกรี้ยว พร้อมกับพุ่งตรง เข้ามาหานาง
"เพราะเจ้าเรื่องทุกอย่างถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ เจ้าทำสิ่งใดกับพระชายากันแน่ ถึงพระชายาจะทำผิดต่อท่าน แต่ถึงอย่างไรที่ผ่านมาพระชายารองก็ดีกับท่านมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ เสมอ เหตุใดท่านถึงได้เลือดเย็น วางยาลูกในท้องของพระชายารองได้"
เฉินหลิวหยางรีบมาผลักนางออก ก่อนที่แม่นมหม่าจะถึงตัวของนาง เขากล่าวออกมาด้วยเสียงเข้มว่า "อย่าได้คิดจะแตะต้องนางเป็นอันขาด"
"ท่านอ๋อง แต่นางคือผู้ที่ทำร้าย พระชายารองนะเพคะ"
"เจ้ามีหลักฐานหรือ อยู่ดีๆ มาใส่ร้ายข้า การจะกล่าวหาผู้ใด ย่อมต้องมีหลักฐาน หากเจ้าพูดออกมาพล่อยๆ เช่นนี้ ย่อมต้องสามารถยอมรับถึงผลการกระทำของตนเองได้ ข้าจะบอกกับเจ้าให้รู้เอาไว้ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าน้องรอง ดีกับข้ามากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ จริงๆ แต่เพราะอันใดนั้นเจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ เหตุใดนางถึงได้ปฏิบัติกับข้าอย่างดี"
หานรั่วหลานจ้องมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเอาเรื่อง นางยกยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน "เพราะมารดาของนางต้องการถือครอง สมบัติที่เป็นของมารดาข้าทิ้งเอาไว้ต่างหาก พวกเจ้าย่อมรู้ดีเป็นที่สุด การมีชีวิตที่ดีในหลายปีที่ผ่านมาของพวกเจ้า เพราะได้สินเดิมจากมารดาของข้าไปมิใช่หรือ ที่ผ่านมาที่ข้าไม่พูดไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่เพราะเห็นว่าอย่างน้อยๆ การมีมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรู ถึงต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์บางอย่างก็ตามทีเถิด สินเดิมที่น้องรองได้ไปทั้งหมด ก็เป็นสมบัติของมารดาข้าที่ทิ้งไว้ทั้งสิ้น พวกเจ้านี่ช่างเอ่ยอ้าง เอาบุญคุณจากผู้อื่นมาได้อย่างหน้าไม่อาย ทั้งๆ ที่ตนเองก็มีเหตุผลอื่นแอบแฝง"
นางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยสายตากดดันมากยิ่งขึ้น "ในเมื่อเจ้าพูดถึงเรื่องบุญคุณก็ดี ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน มีความรู้สึกห่วงใยกันมาก่อน งั้นข้าจะให้คนไปเชิญท่านหมอเทวดา มาเพื่อตรวจอาการให้นางดีหรือไม่"
...........................