หานเฟิงอี้ก้มหน้าลงคล้ายกับสำนึกผิด แววตาของนางวูบไหว "ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้องแล้ว หม่อมฉันเองก็รู้จักพี่หญิงใหญ่ดีนางไม่มีทางทำร้ายผู้ใดได้ ถึงแม้นปากของนางจะบอกว่าให้พระองค์กำจัดลูกในท้องของหม่อมฉันทิ้งก็ตาม แต่นั่นเป็นเพราะนางกำลังรู้สึกโกรธเคืองพวกเราอย่างมากเท่านั้น"
เฉินหลิวหยางทอดมองหานเฟิงอี้ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่เขาจะเดิน พ้นขอบธรณีประตู ก็ได้หันมาเอ่ยกำชับหมอหลวง ที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ที่นั่นว่า "ดูแลนางให้ดี"
แรงกดดันที่แผ่ออกมาเมื่อสักครู่นี้ ทำให้ทุกคนปิดปากเงียบ เมื่อเขาไปแล้ว แม่นมหม่าจึงไอออกมาจนเสียงหอบ ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างมีอารมณ์ว่า "นี่ขนาดเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาตกอยู่ในอันตราย เขายังไม่คิดที่จะอยู่ดูแลเลยหรือ"
หานเฟิงอี้รีบใช้มือปิดปากอีกฝ่ายเอาไว้ นางทอดมองไปรอบด้านด้วยท่าทีละแวดระวัง "แม่นมหม่า ท่านควรระวังวาจาของตนเองเสียบ้าง หากมีผู้ใดได้ยินเข้า ท่านอาจจะ ถูกสั่งลงโทษได้ อีกอย่าง ข้ากับท่านอ๋องก็หาได้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกันย่อมไม่แปลก ที่เขาจะไม่รู้สึกห่วงหาอาทร แค่เพียงเขายอมให้ข้าตกแต่งเข้ามาในตำหนัก ก็ถือว่าให้ความเมตตามากแล้ว เจ้าอย่าได้เรียกร้องสิ่งใดที่ไม่ใช่ของตนเอง เพื่อข้าอีก"
"แต่ว่า…" แม่นมหม่าอยากจะกล่าวความได้อีกสักประโยค แต่เมื่อเห็น ท่าทีที่จริงจังของหานเฟิงอี้แล้ว นางจึงเลือกที่จะสงบปากลง
เฉินหลิวหยางเดินมาถึงตำหนักใหญ่ของตนเองเขาทอดมองข้าวของ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีสิ่งของๆ หานรั่วหลานอยู่ หลังจากที่ เกิดเหตุการณ์ขึ้นในวันนั้น นางก็ได้สั่งให้คนย้ายของของตนเองออก ไปอาศัยอยู่อีกตำหนักหนึ่ง ถึงแม้เขาจะทัดทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล หลายวันมานี้นางมีท่าทีเปลี่ยนไปมาก จน ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัว ว่าจะสูญเสียสตรีอันเป็นที่รักไป เขาคิดไปถึงถ้อยคำก่อนหน้านี้ หากนี่คือฝีมือของนางจริงๆ เขาควรจะทำเช่นไรดี
"ไปสืบดูเรื่องนี้มาให้กระจ่าง" เขาเรียกองครักษ์เงาของตนเองออกมา กำชับสิ่งที่ต้องทำ ก่อนที่เงาวูบไหวจะเคลื่อนตัวออกไป น้อยครั้งนักเขาถึงจะเรียกใช้องครักษ์เงาผู้นี้ ส่วนมากจะวางเขาไว้ที่ข้างกาย เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีความสามารถและไว้ใจได้ การทำงานของเขาแทบจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น นั่นจึงทำให้ เฉินหลิวหยางมั่นใจว่า ผลลัพธ์ที่ตนต้องการนั้น จะไม่เกิดข้อผิดพลาดใด
เสี่ยวหู่ขยับกายมาคลอเคลียร์ผู้เป็นนายด้วยสายตาเศร้าสร้อย ซึ่งเฉินหลิวหยางรับรู้ได้ถึงเหตุผลนั้นเป็นอย่างดี โดยปกติแล้ว สัตว์อสูรและผู้เป็นนายมักจะสามารถสื่อความรู้สึกถึงกันได้ แต่สัตว์อสูรโดยส่วนมากจะไม่สามารถพูดคุยได้ มีเพียงสัตว์เทพทั้งสี่ในตำนานเท่านั้นที่สามารถพูดคุยด้วยภาษามนุษย์กับผู้เป็นนายของมันได้ แต่ด้วยว่าเสี่ยวหู่นั้นอายุของมันยังน้อยปราณธาตุในตัวยังไม่แข็งแกร่ง หากให้เทียบแล้ว มันเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ นั่นจึงทำให้มันยังไม่สามารถพูดคุยสื่อสารภาษามนุษย์ได้ อย่างเช่นที่มันควรจะเป็น
"ข้ารู้ว่าเจ้าคิดถึงนาง ตอนนี้นางกำลังโกรธเคืองข้าอยู่ เมื่อนางหายโกรธแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เจ้าก็อดทนสักหน่อย"
เสี่ยวหู่เอียงศีรษะคล้ายกับสงสัยในถ้อยคำของผู้เป็นนายเต็มที เฉินหลิวหยางรู้ว่ามันกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงได้ดีดไปที่หน้าผากของมัน พร้อมกับกล่าวว่า "นางจะต้องให้อภัยข้าแน่ เพราะพวกเรา มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกัน ครั้งนี้ข้าทำผิดต่อนาง และข้าจะไม่ยอมเสียนางไปเด็ดขาด"
สัตว์อสูรร้องออกมาหนึ่งคำ ก่อนที่มันจะเดินเลี่ยงออกไปนอนยังอีกที่นึง ด้วยท่าทีไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เพราะมันรู้สึกว่า คำกล่าวนี้ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเอาเสียเลย เฉินหลิวหยางเห็นเช่นนั้น จึงกล่าวว่า "เอาเถอะในเมื่อเจ้าคิดถึงนาง งั้นพวกเราก็ไปแอบดูนางเสียหน่อย โดยที่ไม่ให้นางรู้ตัว คงจะไม่เป็นไรกระมัง"
เสียวหู่รีบหยัดกายลุกขึ้นด้วยท่าทีกระตือรือร้น ดวงตาของมันเป็นประกายด้วยความดีใจ เฉินหลิวหยางหัวเราะออกมา ก่อนที่จะขึ้นไปขี่หลังของมัน พร้อมกับ เคลื่อนกายหายไปโดยใช้พลังธาตุทอง
บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายกำยำกว่าห้าสิบคน กำลังนั่งรายล้อมสตรีเพียงผู้เดียว ที่มีรูปโฉมงดงาม ที่ดูเหมือนว่าจะอายุอ่อนกว่าพวกเขา ด้วยท่าทีที่เคารพนับถือนางอย่างยิ่ง
"ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามา ในวันนี้ด้วยว่า มีการปรับเปลี่ยนแผนการบางอย่าง และอยากทราบถึงความเป็นไปของแต่ละคนด้วย"
กลุ่มคนเหล่านี้ คือหลงจู๊ที่นางส่งออกไปดูแลกิจการลับของตนเอง โดยกระจายกำลังไปทั่วทั้งห้า แคว้น แต่ละคนล้วนเป็นคนที่นางฝึกฝนมาเองกับมือ ทั้งเรื่องการค้า และความรู้ความสามารถ หญิงสาว ชุบเลี้ยงพวกเขามา จากกลุ่มเด็กขอทานข้างถนน แต่ละคนล้วนถูกคัดเลือก ให้มีความสามารถที่ต่างกัน และมีปราณธาตุในตัว ก็คงจะมีเพียงนางจริงๆ นั่นแหละที่ไม่มีปราณธาตุแม้แต่ขอทานข้างถนน ยังดูมีค่ากว่านางด้วยซ้ำ ไม่แปลกที่ฟางไทเฮาจะรู้สึกเกลียดชังลูกสะใภ้คนนี้นัก
กลุ่มขอทานทั้งหมดหากไม่ได้หานรั่วหลานนำมาชุบเลี้ยง มีหรือที่ชายหนุ่มเหล่านี้จะมีชีวิต และความเป็นอยู่ที่สุขสบาย และยังสามารถพัฒนาปราณธาตุของตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณนี้ที่นางมอบให้เป็นอย่างยิ่ง ต่อให้นางสั่งให้ไปบุกน้ำลุยไฟ ก็มิได้รู้สึกหวั่นเกรงแม้สักนิด บางคนสามารถดูแลกิจการให้รุ่งเรือง จนเป็นถึงคหบดีผู้มั่งคั่งที่สุด ในเมืองนั้น แม้แต่เหล่าขุนนางท้องถิ่นยังต้องเกรงใจ และยังมีปราณธาตุที่นับได้ว่าอยู่เหนือกว่าผู้อื่น หรือแม่ทัพบางคนเสียอีก นั่นเพราะนางให้พวกเขานำรายได้ส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการทำการค้า มาซื้อหินวิญญาณ เพื่อฝึกปรือปราณธาตุของตนเองให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นั่นจึงนับได้ว่าตอนนี้ นางมี แม่ทัพที่ชาญศึกอยู่ในมือ อยู่เกือบครึ่งร้อย และยังไม่รวมถึงสมัครพรรคพวกของแต่ละคน ที่มีอยู่อีกหลายพันคนอีกด้วย
"นายหญิงไม่ต้องเป็นห่วง ทางฝั่งแคว้นหลินนั้น พวกเราสามารถควบคุมการค้าขาย ได้เพียงเจ้าเดียว ผู้คนทั่วทั้งแคว้นหลินต่างก็ยอมรับในความสามารถ และมาใช้บริการของพวกเรา ไม่เพียงเท่านั้น ขุนนางในราชสำนัก ยังต้องเกรงใจในสำนักของพวกเราอีกด้วย"
"เฉินมู่แล้วทางฝั่งแคว้นหนานเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินว่าชายแดนทางฝั่งเหนือ จะมีการทำศึกหรือ"
"นายหญิงไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราทำการค้าอาวุธ และทำการค้าม้า ให้กับทางราชสำนัก ในคราวนี้จนได้กำไรมากโข"
"ดี… เจ้าเองก็อย่ามัวแต่ทำการค้าจนลืมฝึกปรือฝีมือของตนเองให้แข็งแกร่งเล่า ข้าไม่ต้องการคนอ่อนแอ เข้าใจหรือไม่"
"ขอรับ ข้าจะไม่ทำให้นายหญิงผิดหวัง" นางมองลูกน้องแต่ละคน แล้วถามความจากพวกเขา
"ทางฝั่งของแคว้นเป่ย ข้าได้ยินว่ามีคู่แข่งทางการค้าหรือ"
"ขอรับ แต่นายหญิงโปรดวางใจ ถึงอย่างไร ทางราชสำนักก็ยังคงสั่งเครื่องประดับและผ้าทอ จากร้านค้าของเรา ทางฝั่งนั้น มีการปรับลดราคา เครื่องประดับลง แต่การออกแบบพวกนั้นยังคง เทียบไม่ได้กับทางร้านเรา อยู่ดี พวกคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลาย ยังคงให้ความนิยมอยู่ ถึงแม้ทางนั้น จะลดราคาเข้าสู้ก็ตาม"
"อืม เอาไว้ข้าจะออกแบบลวดลายเครื่องประดับแบบใหม่ ส่งไปให้กับเจ้าในภายหลัง" หานรั่วหลานกล่าวกับมู่ฉีเสร็จ นางก็ละสายตากลับมาพร้อมกับกวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ก่อนที่จะกล่าวว่า "การทำการค้า สิ่งสำคัญคือ จะต้องพัฒนาตนเองเรื่อยๆ และอย่าลืมที่จะ สำรวจความต้องการของผู้คนอยู่เสมอ และจะต้องมีการปรับเปลี่ยนสิ่งใหม่ๆ เข้ามา ให้เกิดความรู้สึก อยากค้นหา นั่นจะเป็นการ กระตุ้นให้ผู้คนไม่รู้สึกเบื่อหน่าย หากพวกเจ้ายังคงจำเจไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงและพลิกแพลงตนเอง อาศัยแต่ความคร่ำครึโบราณ ย่อมไม่สามารถตามทันคู่แข่งได้ เรื่องสำคัญที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้อีกเรื่องหนึ่งคือ ข้าอยากให้พวกเจ้าส่งคนที่ไว้ใจได้ และมีความสามารถพอตัว มาไว้ข้างกายของข้า พวกเจ้าคงพอจะทราบเรื่องราวของข้ามาบ้างแล้วกระมัง"
"นายหญิง ให้พวกเราจัดการให้ท่านดีหรือไม่ แค่เพียงสตรีที่คิดว่าตนเองมีปราณธาตุสองสาย แล้วจะกดข่มผู้อื่น การกระทำของนางนั้นช่างน่ารังเกียจ ให้พวกเราจัดการนางแทนท่านเถิด"
"เรื่องนั้นข้าจะจัดการเอง ตอนนี้ข้าต้องการให้พวกเจ้าเป็นขุมพลังลับของข้าต่อไป มันยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยตัวตนให้ผู้ใดทราบ"
"นายหญิง หากท่านต้องการความช่วยเหลือพวกข้าจะรีบมาในทันที"
"ใช่แล้ว ชีวิตนี้ของพวกเราล้วนเป็นของท่าน พวกข้ายอมเสี่ยงชีวิตนี้เพื่อท่าน"
หานรั่วหลานระบายยิ้มออกมา นางทอดมองทุกคนภายในห้องด้วยสายตาอ่อนลง "พวกเจ้าเปรียบเสมือนพี่น้องของข้า พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ข้า หาได้ต้องการชีวิตของพวกเจ้า แต่ต้องการให้พวกเจ้ามีชีวิตที่มั่นคงและเจริญรุ่งเรือง จงจำเอาไว้ หากพวกเจ้าเป็นอันใดไป ข้าก็ไร้ซึ่งฐานอำนาจในการปกป้อง หากพวกเจ้าแข็งแกร่ง ข้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เพราะฉะนั้นหากอยากตอบแทนข้า ก็จงพัฒนาตนเอง และขยายกิจการให้รุ่งเรือง จนยากจะมีผู้ใดทั้งห้าแคว้นนี้ต่อกรได้
บุรุษหนุ่มภายในห้องเกิดประกายตาแห่งความมุ่งมั่นขึ้น จิตใจของพวกเขา เกิดความรู้สึกฮึกเหิม เพื่อหานรั่วหลานแล้ว ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ พวกเขาก็ไม่ลังเลแม้สักนิด
เนื่องจากว่าพลังธาตุทองนั้น เป็นปราณธาตุ ที่หายากที่สุด ปราณธาตุนี้ผู้ถือครองมันสามารถเล้นกาย โดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้ เสี่ยวหู่และนายของมัน ที่แฝงกายอยู่ในห้อง โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ต้องขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เมื่อได้รับรู้ความลับของผู้เป็นชายาเข้าโดยบังเอิญ
บุรุษในที่นี้ต่างทอดมองมาที่นางด้วยสายตาเคารพนับถือยิ่ง ดวงตาเป็นประกายของพวกเขา บ่งบอกถึงความหลงใหลอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งนั่นมันทำให้เฉินหลิวหยางรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
'เหตุใดถึงมีแต่บุรุษหนุ่มหน้าตาดีรายล้อมนางอยู่เช่นนี้'
พาลให้นึกไปถึงคำพูดที่นางเคยขู่เขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า 'เฉินหลิวหยาง หากเมื่อใดที่เจ้าทรยศข้าๆ จะหนีเจ้าไปอยู่ท่ามกลางบุรุษหล่อเหลา และใช้เวลาอยู่กับบุรุษเหล่านั้นจนกว่าจะลืมความทุกข์' ตอนแรกเขายังคิดว่านางเพียงล้อเล่น แต่นี่มัน…
อ๋องหนุ่มกำหมัดแน่น ไม่ได้เขาจะปล่อยให้นางอยู่เพียงลำพังกับบุรุษเหล่านี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
..................................