แววตาของแม่นมหม่าทันใดนั้นก็เกิดประกายแห่งความตื่นตระหนก หานรั่วหลานแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปาก 'เป็นอย่างที่ข้าคิดสินะ'
"หมอเทวดาอันใดหม่อมฉันไม่เห็นเคยรู้จักมาก่อน ท่านหมอหลวงเป่าถือว่าเก่งกาจที่สุดแล้ว หมอผู้อื่นหม่อมฉันไม่ไว้ใจหรอก"
"ทำไมละ กลัวว่าเขาจะตรวจพบความผิดปกติอันใดหรือ เหตุใดถึงได้หน้าขาวซีดปานนั้น"
เฉินหลิวหยางไม่ใช่คนโง่ เขาเองก็ย่อมรู้ถึงความผิดปกตินี้ ชายหนุ่มเกิดคำถามบางอย่างขึ้น
"ไปเชิญท่านหมอเทวดามา"
"ท…ท่านอ๋อง…!!!"
เฉินหลิวหยางไม่สนใจสีหน้าของแม่นมหม่าเขาหันมาพูดคุยกับหานรั่วหลานด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนต่างจากเมื่อครู่นี้ลิบลับ
"เจ้ากำลังสงสัยเรื่องอันใดอยู่หรือ"
"ไม่รู้สิ ท่านหมอเทวดามาถึงท่านอ๋องก็คงจะทราบเอง"
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนที่จะจับจูงนางให้เข้าไปภายในตำหนัก เขาหันไปสั่งการกับองครักษ์ข้างกาย "จัดการตบปากบ่าวชั้นต่ำที่เอ่ยวาจาจาบจ้วงพระชายาเอก จนกว่านางจะรู้สำนึก และมอบโทษโบยอีกห้าสิบไม้ให้กับนาง"
แม่นมหม่าที่ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับเข่าทรุด นางกำลังจะเอ่ยวาจาขอความเป็นธรรม แต่องครักษ์ของเฉินหลิวหยางทำงานอย่างรวดเร็ว ใช้ผ้าปิดปากของนางไว้ พร้อมกับลากหญิงชราออกไป โดยไม่เปิดโอกาสให้ปัดป้อง
พวกเขาเห็นว่าตอนนี้ หานเฟิงอี้กำลังนอนอยู่บนเตียง ด้วยความทุรนทุรายสองมือของนางกุมท้องเอาไว้แน่น คล้ายกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
"ท่านหมอท่านต้องช่วยลูกข้าเอาไว้ให้ได้นะ"
"พระชายารองกระหม่อมจะทำจนสุดความสามารถ แต่พระองค์ควรที่จะเผื่อใจไว้บ้างก็ดี"
"อาการของนางเป็นเช่นไรบ้าง"
เมื่อได้ยินเสียงของเฉินหลิวหยาง ทั้งคู่จึงได้หันมา หมอหลวงเป่ารีบทำความเคารพอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงได้ยกมือขึ้นให้เขาอย่าได้มากพิธี
"กราบทูลท่านอ๋องดูเหมือนว่าอาการของพระชายารองจะไม่ดีขึ้นเลย กระหม่อมพยายามจนสุดความสามารถแล้ว"
เฉินหลิวหยางไม่กล่าวสิ่งใด แต่ดวงหน้าคล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ในขณะที่พวกเขากำลังรอหมอเทวดาอย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น ขันทีก็ได้ประกาศการมาของฟางไทเฮา พระนางเสด็จมายังตำหนักแห่งนี้ด้วยท่าทีรีบร้อน พระพักตร์เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเต็มที่ ข้างกายก็เป็นเฝิงซื่อ ที่มีท่าทีร้อนรนไม่แพ้กัน
"อี้เอ๋อร์นี่เจ้าเป็นอันใดกันแน่ ใครทำอันใดเจ้ารีบบอกแม่มา"
"ท่านแม่ ข….ข้า"
น้ำเสียงของหานเฟิงอี้สั่นเครือ ดวงหน้าเผย ความน่าสงสารจับใจ
"นางตัวดี เพราะเจ้าใช่หรือไม่" ฟางไทเฮาปรี่เข้ามา นางยกมือขึ้นหมายจะตบเข้าที่ดวงหน้าของหานรั่วหลาน เฉินหลิวหยางจึงใช้ตัวมาบังคนรักเอาไว้ ฝ่ามือนั้นจึงตบเข้าที่ดวงหน้าของเขาแทนเสีย
"เสด็จแม่อย่าได้คิดแตะต้องสตรีของลูก"
"เพราะเจ้าหลงใหลนางจิ้งจอกนี้ จนลืมคุณธรรมไปเสียสิ้นแล้ว อี้เอ๋อร์ตกแต่งเข้ามา ในฐานะชายารองของเจ้า และตอนนี้นางยังอุ้มครรภ์บุตรของเจ้าอยู่ ในเมื่อนางถูกนางจิ้งจอกตัวนี้ทำร้ายเหตุใดเจ้าถึงไม่เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่นาง"
"นี่มันผู้ใดที่นำความ เท็จนี้ไปกราบทูลเสด็จแม่ เรื่องราวยังไม่กระจ่าง ว่าเป็นฝีมือของลู่เสียน นางอยู่กับลูกตลอดเวลา แล้วนางจะเอาเวลาที่ไหน ไปทำร้ายลูกในครรภ์ของน้องสาวนางเล่า"
"เจ้าเป็นบุรุษย่อมไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของสตรีนางอาศัยจังหวะนี้ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของตนเอง โดยการไปอาศัยอยู่นอกวังอ๋อง และให้คนของนางวางแผนวางยา เพื่อกำจัดลูกในครรภ์ของอี้เอ๋อร์ ทุกอย่างล้วนเด่นชัด ว่าเป็นฝีมือของนางเหตุใดเจ้าถึงได้แววตามืดบอด"
"ผู้ที่ตามืดบอดคือเสด็จแม่ต่างหาก หลักฐานสักชิ้นก็ไม่มี ทุกคำเป็นเพียงคำกล่าวอ้างทั้งสิ้น เสด็จแม่อย่าทำให้ลูกรู้สึกหมดศรัทธาในตัวพระองค์ไปมากกว่านี้ แค่เพียงลูกยอมให้นางตกแต่งเข้ามาในฐานะชายารอง ก็ถือว่ายอมถอยให้หลายก้าวแล้วเสด็จแม่ย่อมรู้อุปนิสัยของลูกดีที่สุด…"
"เพราะแม่รู้อย่างไรเล่า ว่าเจ้าหลงใหลนางจิ้งจอกนี้จนโงหัวไม่ขึ้น ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เช่นนั้นวันนี้แม่จะเป็นคนสั่งสอนนางให้รู้ถูกรู้ผิดเอง"
เพียงสิ้นเสียงนั้นทหารราชองครักษ์ ก็ตรงเข้ามาล้อมทั้งคู่เอาไว้
"นี่พวกเจ้ากล้าหรือ" เขากล่าวเสียงลอดไรฟันออกมาคล้ายกับกำลังข่มโทสะอันมากล้นอย่างยิ่งยวด แต่ดูเหมือนว่าองครักษ์เหล่านั้นจะยังไม่นำพาถึงความเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย
"หากพวกเจ้ากล้าเข้ามาอีกก้าวเดียว อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ"
หานรั่วหลานถูกดึงไปไว้ด้านหลังของเขา ท่าทีปกป้องนี้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาชั่วขณะ
"ชินอ๋องลูกหลีกทางไปเสีย แม่ไม่อยากจะต่อสู้กับเจ้า เพื่อขยะน่ารังเกียจผู้นี้ เจ้าถึงขนาดกล้าขัดคำสั่งแม่เลยหรือ"
"เพื่อนางต่อให้ทำมากกว่านี้ลูกก็ทำได้ เสด็จแม่อย่าได้ทรงทำตัวไม่มีเหตุผล ลู่เสียนไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้"
"หากไม่ใช่นางแล้วจะยังเป็นผู้ใดได้อีก เจ้าอย่าได้หูหนวกตาบอดหลงใหลนางจิ้งจอกนี้อีกเลย"
"ไทเฮาเพคะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพี่หญิงใหญ่ หม่อมฉันรู้อุปนิสัยของพี่สาวตนเองดี ถึงนางจะโกรธเคืองหม่อมฉัน แต่ก็ หาได้มีจิตใจเหี้ยมโหดถึงขนาดจะลงมือกับลูกในครรภ์ของหม่อมฉันได้ลงคอหรอก เรื่องนี้จะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง หรืออาจจะเป็นเพราะครรภ์ของหม่อมฉันไม่แข็งแรงเอง"
หานเฟิงอี้พาร่างที่อ่อนแอของตนเอง ลงมาจากเตียงเพื่อคุกเข่าอ้อนวอนขอความเห็นใจ ท่าทีของนางชวนให้ผู้อื่นเห็นแล้วยิ่งรู้สึกสงสารจับใจ ฟางไทเฮาเห็นเช่นนั้นจึงยิ่งรู้สึกบันดาลโทสะมากยิ่งขึ้น
"อี้เอ๋อร์แม่เห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ย่อมรู้อุปนิสัยของเจ้าดีว่าเจ้าอ่อนโยน ผิดกับนางจิ้งจอกนั่น ที่มีจิตใจคอขี้อิจฉาริษยา สตรีที่มีจิตใจดีเช่นเจ้า จะตามนางทันได้อย่างไร"
ฟางไทเฮาเปลี่ยนสีหน้า เมื่อทอดมองไปที่หานรั่วหลาน พระนางกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด "ราชองครักษ์นำนางจิ้งจอกนั่นมาให้ข้าสำเร็จโทษให้ได้"
เมื่อเห็นว่าราชองครักษ์เหล่านั้นยังไม่ยอมลงมือ ฟางไทเฮาจึงตวาดออกมาเสียงดังลั่น "เหตุใดถึงยังนิ่งเฉยอยู่อีก"
"เอ่อ…ชินอ๋อง"
ราชองครักษ์ผู้หนึ่งใจกล้าเอ่ยออกมา ฟางไทเฮาจึงตรัสตอบเขาว่า "ผู้ใดขวางก็จงลงมือเสีย ถึงผู้นั้นจะเป็นชินอ๋องก็เถอะ"
ถึงแม้จะรู้ดีว่าราชองครักษ์เหล่านั้น ไม่สามารถเป็นคู่มือกับเฉินหลิวหยางได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถก้าวถอยหลังได้เช่นกัน ทั้งหมดจึงกรูกันเข้าไป หมายจะชิงตัวหานรั่วหลานออกมา แต่แค่เพียงเคลื่อนกายเข้าไปได้เล็กน้อย ก็กระเด็นกระดอนออกมาคนละทิศละทาง บ่งบอกว่าฝีมือช่างห่างชั้นกันยิ่งนัก ฟางไทเฮาเห็นเช่นนั้น สีหน้าจึงยิ่งเปลี่ยนสี พระนางขยับกายเข้าไปใกล้เฉินหลิวหยางด้วยตนเอง
"เสด็จแม่อย่าได้ทรงบังคับลูก"
พลังปราณสีทองถูกปล่อยออกมาจากบนฝ่ามือ ดวงหน้าของฟางไทเฮาถึงกับถอดสี และเกิดประกายตาแห่งความยากจะเชื่อ
"นี่เจ้าคิดจะลงมือกับมารดาแท้ๆ ของตนเอง เพื่อนางจิ้งจอกนั่นเลยหรือ…!!!"
เฉินหลิวหยางไม่ตอบแต่ท่าทีของเขาเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี ฟางไทเฮา จึงเข้าใจในที่สุด
"ได้ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนี้ ก็อย่าได้มากล่าวโทษแม่ในภายหลัง"
เฉินหลิวหยางรับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาหันกลับมาสบดวงหน้าของหานรั่วหลาน "ลู่เสียนวันหน้าไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ให้จงจำเอาไว้ ว่าเจ้าคือสตรีที่ข้ารักเพียงหนึ่งเดียว ข้ารู้ว่าตนเองผิด ที่นอกใจเจ้า ข้าอยากให้รู้ไว้ว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโกรธเกลียดข้าเลยนะ"
"ป๋อเหวินนี่มันเรื่องอันใดกัน" เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าคำกล่าวนี้คล้ายกับคำร่ำลา ใจของนางกระตุกวูบทันใดนั้นลำแสงสีเงิน ก็โอบล้อมทั้งตำหนักนี้เอาไว้
"เสด็จแม่การทำเช่นนี้จะทำลายปราณธาตุครึ่งหนึ่งในตัวท่าน มันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะทำเช่นนี้จริงๆ "
"ขอแค่ให้เจ้าลืมนางจิ้งจอกนี้ไปเสีย ต่อให้เสีย พลังธาตุทั้งหมด แม่ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว"
สิ้นรับสั่งของฟางไทเฮา ทันใดนั้นหานรั่วหลานก็รู้สึกว่าภาพทุกอย่างคล้ายกับกำลังจะเลือนลางหายไป ในหัวของนางได้ยินเสียงคล้ายเสียงกระซิบแผ่วเบาของใครบางคน "ข้าจะเมตตาให้เจ้าจดจำเรื่องราวทั้งหมด จงอยู่กับอดีตที่ข่มขืนนี้ไปโดยลำพังเถิด ต่อจากนี้ โอรสของข้า จะไม่สามารถจดจำเจ้าได้อีกต่อไป"
หานรั่วหลานค่อยๆ กระพริบตาตื่นขึ้น ภาพที่นางเห็นคือ ภาพใบหน้าอันคุ้นเคยของสามี แตกต่างออกไปคือแววตาที่เย็นชา ซึ่งทอดมองมาที่นางคล้ายกับกำลังรู้สึกไม่พอใจอันใดบางอย่าง ข้างกายของเขานั้นก็เป็นใบหน้าที่ขาวซีดของฟางไทเฮา ที่กำลังจ้องมองมาที่นางเช่นกัน
"ในที่สุดนางจิ้งจอกนี่ก็ยอมตื่นเสียที หยางเอ๋อร์ นางคือตัวการที่วางยาชายารองของลูก เจ้าจะต้องให้ความเป็นธรรมกับนาง"
"แล้วหลักฐานเล่าการจะกล่าวหาใครสักคน ย่อมต้องมีหลักฐาน ลูกไม่อยากเอาผิดผู้ใดเพียงเพราะคำพูด ที่ใครก็สามารถกล่าวอ้างขึ้นมาได้ทั้งนั้น อีกอย่าง เหตุใดลูกถึงจดจำเรื่องราวของนางมิได้เลย เหตุใดความทรงจำเกี่ยวกับนางถึงหายไปทั้งหมด เสด็จแม่คงไม่ได้ทำสิ่งใดใช่หรือไม่"
เฉินหลิวหยางหรี่ตามองมารดาอย่างจับผิด เพราะเขารู้ดีว่าผู้ที่มีความสามารถในการลบความทรงจำได้ คงจะมีเพียงแค่มารดาของเขาคนเดียวเพียงเท่านั้น และหากนางจะทำเช่นนั้นได้ ย่อมต้องเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะมัน จะต้องดึงปราณธาตุในตัวออกมาถึงครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆ มารดาของเขาคงไม่คิดทำเช่นนั้นแน่
ฟางไทเฮาถอนหายใจออกมาคล้ายกับหนักใจอย่างยิ่ง "เพราะเจ้าเป็นคนขอร้องให้แม่ทำเช่นนี้ หากไม่เพราะแม่เห็นเจ้าเจ็บปวดเสียใจ แม่เองก็ไม่คิดทำหรอก เพราะข้อแลกเปลี่ยนของมันเจ้าเองก็รู้ดีว่าต้องแลกมาด้วยสิ่งใด"
พระนางทอดตามองท่าทีของพระโอรสองค์เล็กแล้วตรัสกับเขาต่อว่า " เพราะเจ้าหลงใหลนางยิ่งกว่าสิ่งใด แต่เมื่อเจ้าได้รู้ความจริงว่านางคือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ที่ทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า เจ้าจึงรู้สึกผิดหวังในตัวนาง ลูกจึงขอให้แม่ทำเช่นนี้"
ใบหน้าของเขายังคงไม่ค่อยเชื่อถือในคำกล่าวนี้ของมารดาเท่าใดนัก เขาทอดตามองไปที่หานรั่วหลานที่กระพริบตามองตนเองอยู่ นางค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นมา แล้วกล่าวว่า "ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไทเฮาจะทรงเกลียดชังหม่อมฉันได้ถึงเพียงนี้ ในเมื่อพระองค์ ถึงขนาดยอม สละพลังครึ่งหนึ่งของตนเอง เพื่อทำลายความสัมพันธ์ของหม่อมฉันกับท่านอ๋อง แต่หม่อมฉันอยากจะบอกพระองค์ไว้สักนิดว่า การกระทำของพระองค์คงจะสูญเปล่าแล้ว เพราะพวกเรารักกันด้วยใจที่ลึกซึ้งหม่อมฉันจะทำให้ท่านอ๋องกลับมาหลงใหลในตัวหม่อมฉันอีกให้จงได้"
...................................