ถึงแม้นางจะไม่สามารถให้อภัยเฉินหลิวหยางได้ในทันที แต่จิตใจตอนนี้ถือว่าเข้มแข็งขึ้นมาก หญิงสาวสามารถที่จะนั่งร่วมสำรับกับอีกฝ่ายได้ ถึงแม้บรรยากาศจะดูน่าอึดอัดใจไปสักหน่อยก็ตาม
"เจ้าชอบขาหมูต้มขิงใช่หรือไม่ ข้าสั่งให้พ่อครัว ทำให้เจ้าโดยเฉพาะ"
ชายหนุ่มกำลังจะขยับตะเกียบ เพื่อคีบของโปรดให้กับนางอย่างเอาใจ แต่ก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อ ได้ยินถ้อยคำต่อมาของนาง "หม่อมฉันกำลังลดความอ้วนเพคะ"
"เจ้าพูดคุยกับข้าแบบเดิมเถิด ใช้คำราชาศัพท์เช่นนี้ ทำให้รู้สึกว่าห่างเหินยิ่งนัก"
"เราคงเป็นแบบเดิมไม่ได้หรอกเพคะ พระองค์ก็ทราบดี ยิ่งตอนนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเราในตำหนัก หากผู้อื่นมาได้ยินเข้า แล้วเอาไปนินทา คงจะไม่เป็นการดีกับขยะอย่างหม่อมฉันเท่าใดนัก"
"เจ้าอย่าได้ด้อยค่าตัวเองเช่นนั้น เจ้าหาใช่ขยะแต่เป็นอัญมณีที่ทรงคุณค่าต่างหาก"
หานรั่วหลานเพียงแสยะยิ้ม นางคีบอาหารเข้าปากอีกสองสามคำก็วางตะเกียบลง และยกชาขึ้นมาจิบ กำลังจะขอตัวกลับ สายตาก็เหลือบไปเห็นแม่นมของหานเฟิงอี้เดินเข้ามาพอดี
"เจ้ามาทำไม เหตุใดไม่อยู่ดูแลนายเจ้า"
"ท่านอ๋องที่บ่าวชราต้องมารบกวนเวลาของพระองค์ในวันนี้ ก็เพราะเป็นห่วงพระวรกายของพระชายารอง หลายวันแล้วที่พระชายาไม่ยอมเสวยอาหารเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอาจจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้"
เฉินหลิวหยางเลิกคิ้วขึ้น "แล้วเหตุใดนางถึงไม่ยอมกินสิ่งใด"
"ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น พระชายารองก็เอาแต่โทษตนเอง จนไม่มีความอยากอาหารอีกเลย หม่อมฉันคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นคงจะกระทบกระเทือนจิตใจของพระชายาไม่น้อย ขอท่านอ๋องทรงไปดูอาการของพระชายา เพื่อเป็นการปลอบประโลมจิตใจให้กับพระนางบ้าง นั่นอาจจะช่วยให้พระทัยของพระชายารองดีขึ้น"
เฉินหลิวหยางเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เมื่อเห็นว่านางมีท่าทีเย็นชาขึ้น เขาจึงตอบว่า "เอาไว้ข้ามีเวลาจะไปดูนางสักครั้ง เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าที่จะทำให้นางดีขึ้นอีกอย่างนางเจ็บป่วยเหตุใดถึงไม่ไปตามหมอให้มาดูอาการ ข้ามิใช่หมอคงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก"
"แต่ท่านอ๋อง…"
แม่นมของหานเฟิงอี้อยากจะกล่าวคำใดอีกสักประโยค ทันใดนั้นตะเกียบที่ไม่รู้ที่มาที่ไปก็ลอยเฉียดใบหูของนางไป จนทำให้หญิงชราถึงกับแข้งขาสั่น นางกุลีกุจอ คลานออกมาจากภายในห้องนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้นแต่คิดจะกล่าวความใดอีก
"นางอุตส่าห์ส่งคนของตนเองมา เพื่อเรียกร้องความโปรดปรานจากพระองค์ จะไม่สนใจไปดูชายาอีกคนบ้างหรือ"
"ลู่เสียน…!!!"
"หม่อมฉันขอตัวกลับตำหนักดีกว่า มีธุระที่ต้องจัดการอีกมากมาย อ๋อสองสามวันนี้หม่อมฉันคงจะไม่กลับตำหนักนะเพคะ อยากจะเข้าไปจัดการกิจการที่ทิ้งร้างเอาไว้สักหน่อย"
โดยปกติแล้วหาก สามีเพิ่งตกแต่งภรรยาอีกคนเข้ามา ภรรยาส่วนมากจะต้องคอยอยู่เคียงข้างเพื่อมิให้ถูกลืม แต่หานรั่วหลานกลับทำตรงกันข้าม นางไม่เพียงไม่สนใจเขา แต่ยังเปิดโอกาสให้สามีได้อยู่กับภรรยาใหม่อย่างใจกว้าง
"พระชายาทรงทำเช่นนี้จะดีหรือ" แม่นมหลิวอดที่จะเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ นางที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมทราบดีว่าการทำเช่นนี้ไม่เป็นการดีเลยกับฝ่ายตนเอง
"มีสิ่งใดไม่ดีกัน พวกเขาถึงขนาดมีลูกด้วยกันแล้ว ต่อให้ข้าคอยประกบเขาอยู่ตลอดเวลา จะมีประโยชน์อันใด หากใจของบุรุษผู้นั้นไม่มั่นคง แทนที่ข้าจะมาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ มิสู้เอาเวลาไปทำให้ตนเองดีขึ้นไม่ดีกว่าหรือ"
"แต่ว่า…"
"แม่นมหลิวอย่าได้เป็นกังวลนักเลย ข้าย่อมตัดสินใจดีแล้วถึงได้ทำเช่นนั้น" นางไม่อยากทนเห็นพวกเขาทั้งคู่ ให้เสียสายตาต่างหาก หากนางเป็นผู้มีปราณธาตุ แน่นอนว่าจะต้องทำให้ทั้งสองคน ได้บาดแผล สักสองสามแผล เพื่อคลายความเจ็บปวดในหัวใจนางที่ถูกทั้งสองทรยศ แต่นี่เพราะนางเป็นเพียงขยะที่ไร้ซึ่งปราณธาตุ จึงได้แต่เก็บงำความโกรธแค้นนี้เอาไว้ รอวันชำระคืนเพียงเท่านั้น
เมื่อจัดการเก็บของใช้ที่จำเป็นของตนเองเรียบร้อยแล้ว นางก็ได้เดินไปเพื่อที่จะไปขึ้นรถม้าหน้าตำหนัก ในตอนนั้นเฉินหลิวหยาง และสัตว์อสูรของเขาก็ได้ยืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ด้วยไม่คาดคิดว่าจะเห็นเขามายืนรอตน นางจ้องมองเขาเป็นเชิงถาม เฉินหลิวหยางจึงรีบตอบว่า "ข้าจะไปกับเจ้าด้วย"
"ไม่จำเป็น ท่านอยู่ดูแลชายาของท่านเถิด นางอาการไม่สู้ดีมิใช่หรือ"
"ไม่ละ ข้าจะไปกับเจ้า"
"ผู้ใดอยากให้ท่านไปด้วย ข้าเสียเวลามากแล้ว" นางเอ่ยกับเขาอย่างอารมณ์เสีย ทันใดนั้นสัตว์หน้าขนร่างยักษ์ก็กระโจนใส่นาง มันแสดงท่าทีกระตือรือร้น หมายจะเอาอกเอาใจหญิงสาวให้อารมณ์ดีขึ้น และยอมพามันไปด้วยเหมือนทุกครั้ง
"เสี่ยวหู่เจ้าคือสัตว์เทพทั้งสี่ในตำนาน ที่ผู้คนต่างก็ให้ความเกรงขาม เหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าถึงได้ชอบทำตัวเป็นแมวเชื่องๆ ที่น่ารักคอยออดอ้อนให้ข้าใจอ่อนอยู่เรื่อยเลยหืม แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้ เจ้าก็ไปกับข้าด้วยไม่ได้ เพราะเจ้าควรที่จะอยู่กับนายของเจ้าเข้าใจหรือไม่"
เฉินหลิวหยางสัมผัสได้ถึงความเย็นชาจากนางทั้งแววตาและท่าทีที่ไม่แม้แต่จะยอมทอดมองเขาเหมือนทุกครั้ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาคงจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ซึ่งชายหนุ่มจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้นโดยเด็ดขาด ถึงแม้นหานรั่วหลานจะเป็นขยะที่ไร้ซึ่งปราณธาตุ แต่นางเป็นสตรีที่มีจิตใจดี และยังมีรูปโฉมที่งดงาม หากจะให้เทียบทั้งห้าแคว้นนี้ คงยากที่จะมีสตรีใดงดงามได้เท่านางเป็นแน่ ซึ่งนั่นมันทำให้เขากังวล ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับบุรุษอื่น เข้ามาแทรกกลางความสัมพันธ์ของทั้งคู่
เสือขาวร่างยักษ์ ที่เข้าใจถ้อยคำของนางถึงกับแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา ถึงแม้นางจะรู้สึกโกรธเจ้านายของมัน แต่ก็สามารถแยกแยะได้
หญิงสาวทอดมองเงาร่างของตนเองซึ่งบ่งบอกว่านางสายมากแล้ว เมื่อหลายวันก่อนนางได้ส่งสารออกไป เพื่อนัดหมายพูดคุยกับผู้ที่ดูแลกิจการลับให้กับนางในวันนี้ เพราะฉะนั้นหญิงสาวไม่อยากจะไปสาย แต่เมื่อเห็นว่าบุรุษผู้นั้นดื้อดึงยิ่งนัก แต่หากจะให้เขาตามไปด้วย นางก็ไม่อยากให้เขารู้ถึงความลับของตนเอง เพราะหญิงสาวมีแผนการบางอย่างไว้ในใจแล้ว นางไม่คิดจะไว้ใจผู้ใดได้โดยง่าย แม้แต่บุรุษที่นางเคยมองว่า เขาเป็นดั่งผืนฟ้าของนางก็ตาม
"ท่านอ๋องแย่แล้วเพคะพระชายารองทรงมีพระโลหิต…!!!"
"เจ้าว่าอันใดนะ"
"อยู่ดีๆ หลังจากพระชายาทรงเสวยพระกายาอาหารเช้า ก็ทรงมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ต่อมาก็มีพระโลหิตไหลออกมา หม่อมฉันตกใจ จึงได้ให้คนไปตามหมอหลวง และได้นำข่าวมาทูลให้กับ พระองค์ให้ทรงทราบ"
"บ้าจริง…!!!"
เฉินหลิวหยางทอดมองดวงหน้าของหานรั่วหลานด้วยความกังวล นางกล่าวว่า "ท่านรีบไปเถอะ"
นางกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะเดินอ้อมอีกฝ่าย เพื่อไปขึ้นรถม้า โดยไม่แม้แต่จะคิดไปดูอาการของน้องสาวต่างมารดาตนเอง สายตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา
ถึงแม้เฉินหลิวหยางจะมีความกังวลไม่อยากให้นางไปอาศัยอยู่ห่างจากตน แต่ด้วยตอนนี้เขาจะต้องคิดเรื่องความปลอดภัยของทารกในครรภ์ของหานเฟิงอี้เป็นหลัก นั่นจึงทำให้เขาต้องรีบสับเท้า ตรงไปยังทิศทางของตำหนักที่สตรีผู้นั้นอยู่ อย่างเร่งรีบ
เมื่อมาถึงหมอหลวงก็ได้ตรวจอาการของนางเสร็จพอดี ดวงหน้าของหมอชราเต็มไปด้วยความกังวล เขากล่าวตอบบุรุษสูงศักดิ์เบื้องหน้าด้วยท่าที ที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง
"กราบทูลท่านอ๋อง ดูเหมือนว่า พระชายารองจะได้รับพิษบางอย่าง แต่ดีที่นางได้รับมันในปริมาณที่น้อย จึงทำให้ยังพอมีโอกาสที่จะเก็บเด็กผู้นี้เอาไว้ แต่อาการโดยรวมก็ยังคงดูน่าเป็นห่วงอยู่ดี หลายวันนี้คงต้องให้พระชายา ห้ามขยับเขยื้อนร่างกาย หากไม่จำเป็น และห้ามมีเรื่องใดมากระทบกระเทือนจิตใจเป็นอันขาด หาไม่แล้วคงจะไม่สามารถรักษาเด็กในครรภ์เอาไว้ได้"
"นางต้องพิษได้อย่างไร"
เสียงของเฉินหลิวหยางเย็นเยียบ รังสีแห่งความกดดันแผ่ซ่านจนทำให้ผู้ที่อยู่ภายในห้องเริ่มหายใจไม่สะดวก
"ท่านอ๋อง…!!!"
เมื่อถูกเรียกชื่อเฉินหลิวหยางถึงค่อยรู้สึกตัว รีบเก็บพลังของตนเองกลับมา ผู้คนภายในห้องจึงค่อยพรูลมหายใจอย่างโล่งอก 'สมแล้วที่บุรุษผู้นี้ ถือครอง พลังธาตุถึงสองสาย และพลังทั้งสองสายนั้นยังเป็นพลังธาตุที่หายากมากที่สุด นั่นจึงทำให้เขากลายเป็นบุรุษ ที่ทั้งห้าแคว้นต่างก็ให้ความเคารพยำเกรง แรงกดดันเมื่อครู่นี้ สามารถทำให้พวกนางกระอักเลือดออกมาได้เลยทีเดียว เพียงแต่เขารู้สึกตัวเสียก่อน หากทิ้งเวลาให้นานกว่านี้ พวกนางคงได้ตกตายไปเป็นแน่
"พวกเจ้าดูแลนางอย่างไร เหตุใดจึงทำให้นางต้องพิษได้"
"เรื่องนี้หาใช่ความผิดของพวกหม่อมฉันแต่อย่างใด มันเป็นเพราะ…!!!"
แม่นมหม่าแสดงท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ คล้ายกับไม่อยากจะกล่าวมันออกมา หานเฟิงอี้จึงรีบกล่าวว่า "แม่นมหม่าอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลต่อพระพักตร์ของท่านอ๋อง เรื่องนี้เป็นเพราะข้าทานอาหารผิดสำแดงเอง หาได้ต้องพิษแต่อย่างใด"
"พระชายารองพระองค์ก็รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้ใดที่หมายจะกำจัดพระองค์ เหตุใดถึงยังทรงปกป้องนางอีก"
"ท่านหยุดพูดเดี๋ยวนี้ ถึงท่านจะเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูข้ามา แต่ข้าก็สามารถสั่งลงโทษท่านได้ หากยัง กล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้อีก"
หานเฟิงอี้เอ่ยดุอีกฝ่ายเสียงเข้ม จนแม่นมหม่ายอมเงียบปากลง นางจึงหันมากล่าวกับเฉินหลิวหยางต่อว่า "ท่านอ๋องอย่าได้ทรงฟังนางเลย นางแก่แล้วพูดอะไรไม่รู้จักคิด"
อ๋องหนุ่มไม่รอให้นางได้พูดจบ เขาก็ส่งเสียงหึในลำคอ แล้วกล่าวกับนางเสียงยืนว่า "เจ้าจะบอกว่าที่ตนเองต้องพิษ เพราะเกี่ยวข้องกับลู่เสียนอย่างนั้นหรือ ถึงนางจะเกลียดชังเจ้า จนอยากจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น แต่นางก็ไม่โหดเหี้ยมพอที่จะทำร้ายลูกในครรภ์ของเจ้าได้หรอก สงสัยข้าจะประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไป ถึงขนาดเอาชีวิตทารกในครรภ์มาล้อเล่น ข้าอยากจะเตือนเจ้าเสียหน่อย เหตุผลเดียวที่ข้ายอมให้เจ้าตกแต่งเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ ก็เพราะว่าเจ้าอุ้มครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของข้าอยู่ แต่หากวันใด ที่ไม่มีเด็กคนนั้นแล้ว เจ้าก็อย่าได้ฝัน ว่าจะ สามารถอยู่ที่ตำหนักนี้อีกต่อไปได้ และอีกอย่างที่ข้าจะบอกให้เจ้าได้รู้เอาไว้ ถึง นี่จะเป็นฝีมือของลู่เสียนจริง ข้าก็ไม่มีทาง เอาผิดนางโดยเด็ดขาด"