ตอนที่ 18 เจ้าก้อนกลม 2

2968 คำ
ร่างสูงใหญ่ของบุรุษในชุดนักรบสามร่าง กำลังเดินตรงมายังแสงไฟที่มองเห็นอยู่รำไร เทพศาสตราทรงประคองพระวรกายขององค์ชายจ้าวเฟยหลง ด้วยทรงได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์หิมะถล่มในเทือกเขาหัวซาน เพียงแค่ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย ที่เทพศาสตรากลับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเพื่อหารือกับมหาเทพเยว่เทียนแต่ไม่พบ เพราะเทพจันทราเข้ากักตนเพื่อบำเพ็ญตบะกลับคืนเสียก่อน ระยะเวลาที่เสด็จกลับไปแดนสวรรค์นั้นแม้จะผ่านไปเพียงแค่นั้น ทว่ากาลเวลาในโลกมนุษย์กลับผ่านไปถึงเจ็ดวันเลยทีเดียว ครั้นเสด็จกลับมาอีกครั้ง ปรากฏว่ากองทัพแคว้นจ้าวได้ถอนทัพออกจากเทือกเขาหัวซานจนหมดสิ้น มิออกติดตามค้นหาองค์ชายเก้าอีกต่อไป ตามรับสั่งขององค์รัชทายาท มีเพียงราชองค์รักษ์หวังซุนเย่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เฝ้าค้นหาองค์ชายของตนอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความเป็นห่วงพระสหายอย่างยิ่งยวด เทพศาสตราทรงร่ายเวททลายกองหิมะจนพบองค์ชายรูปงามอยู่ภายใต้หิมะอันเย็นยะเยือก โชคดีที่มีโขดหินบังจึงไม่ถูกหิมะฝังกลบไปเสียสิ้น ทำให้รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ถึงกระนั้นก็ทรงได้รับบาดเจ็บพระเศียรแตกเสียพระโลหิตไปมิใช่น้อย แผลกว้างและลึก ท่อนพระกรขวาหัก ทว่ายังมิทันร่ายเวทเพื่อทำการรักษา หวังซุนเย่ก็เข้ามาพบเสียก่อน ทำให้พระองค์ต้องแอบร่ายเวทรักษาอาการบาดเจ็บของพระสหายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อมิให้เป็นที่สงสัย ทั้งสามชีวิตจึงค่อยๆ เดินเท้าออกจากเทือกเขาหัวซาน มุ่งหน้ากลับแคว้นจ้าว “ท่านเฟิ่งเหมี่ยน! ดูกองไฟเบื้องหน้าสิขอรับ ท่าทางคงจะมีคนเดินทางและแวะพักแรมอยู่ตรงนั้นเป็นแน่... เดี๋ยวข้าน้อยจะล่วงหน้าออกไปสำรวจก่อน” ราชองค์รักษ์หวังซุนเย่ กล่าวพร้อมชี้มือไปยังกองไฟที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่มากนัก พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงติดๆ กัน ก่อนจะใช้พระเนตรทิพย์สำรวจหาสิ่งผิดปกติและพลังไอมารว่ามีปะปนอยู่ในบริเวณนั้นหรือไม่ พร้อมมีรับสั่งขึ้น “เจ้าไม่ต้องล่วงหน้าไปสำรวจหรอก ข้าเล็งเห็นแล้วปลอดภัยด้วยสัญชาติญาณของข้าย่อมไม่ผิดพลาดเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นเดินไปพร้อมกันจะดีกว่า มาช่วยข้าประคององค์ชายของเจ้าเถอะ ดูรึจะทำเปลหามก็ไม่ยอมยังจะดึงดันเดินเท้ากลับแคว้นให้ได้ ไม่รู้ว่าจะทำให้ตัวเองลำบากทำไมกัน” เทพเฟิ่งเหมี่ยนรับสั่งบ่นพึมพำ “ข้าไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาพิกลพิการหรือขาหักเสียที่ไหนกันเล่าเฟิ่งเหมี่ยน จะทำเปลหามข้าทำไมกัน แรงมีก็เดินแต่ถึงแม้จะมีเปลหามข้าก็ไม่ลงไปนอนหรอกนะเพระว่าข้าไม่เป็นอะไรมาก” องค์ชายรูปงามรับสั่งกับพระสหายใหม่ “ก็ตามใจท่าน ข้ารู้ว่าต่อให้พูดยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจท่านได้แน่นอน จะกี่แสนปีผ่านไปก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน” เทพศาสตราเผลอหลุดถ้อยคำที่เคยชินออกไปอีกแล้ว ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายเก้าและหวังซุนเย่ ต่างยืนฟังด้วยความงงงันเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น “เออ... ข้านี่ชอบพูดจาเลอะเลือนอีกแล้ว... ไม่ไหว ไม่ไหว พูดเร็วเป็นแบบนี้ทุกคราไปสินะ” เทพศาสตรารีบรับสั่งกลบเกลื่อนทันที “อ่อ! เจ้าพูดเร็วหรอกรึเมื่อครู่ที่ผ่านมา แต่เท่าที่ข้าฟังก็ปกติธรรมดานะ” องค์ชายเก้ารับสั่งพลางสังเกตพระสหายใหม่เล่นเอาอีกฝ่ายรีบหาทางแก้ตัวเป็นพัลวัน ก่อนจะเหลือบสายพระเนตรพบไก่ป่าตัวเขื่องส่งกลิ่นหอมอยู่ตรงกองไฟเบื้องพระพักตร์ เทพศาสตราร่ายเวทปลดไอทิพย์ของพระองค์ออกจนหมดสิ้นโดยพลัน เหลือเพียงกายหยาบเพื่อให้ได้รู้สึกรับรู้ความรู้สึกของมนุษย์พึงมี ตลอดจนถึงความหิวโหยอาหารโดยไม่ต้องอิ่มทิพย์อีกต่อไป “จ๊อกกก!!! เสียงท้องร้องดังโครกครากออกมาโดยพลัน ทันทีที่พระองค์ปลดไอทิพย์ออก “โอ๊ยยย!!! ท้องข้าร้องด้วยความหิวโหยยิ่งนัก กลิ่นหอมจากที่ไหนกันชวนให้อยากอาหารขึ้นมาทันที กลิ่นหอมจากที่ไหนหนอ จากที่ไหน!” รับสั่งพลางแกล้งสอดส่ายพระเนตรไปทั่วบริเวณ แต่ยังมิทันจะรับสั่งออกมาสุรเสียงขององค์ชายรูปงามดังแทรกขึ้นมาแทนที่ “มองจากตรงนี้ไป ข้าเห็นไก่ย่างตัวขนาดใหญ่อยู่ท่ามกลางกองไฟใช่หรือไม่ หรือว่าข้าตาฝาด เจ้าทั้งสองลองเพ่งมองดูให้ดีๆ” รับสั่งพลางทอดพระเนตรตรงไปเบื้องหน้า “ไก่ย่าง! หอม! หอม! โอ้โห ได้กลิ่นแล้วหิวขึ้นมาทันที” เทพเจ้าศาสตรารีบชี้ไปทางไก่ป่าที่ถูกย่างจนสุกไปทั่วทั้งตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พลางยกพระดรรชนีชี้ไปทางกองไฟ “ท่านตาไม่ฝาดหรอก! ไก่ย่างจริงๆ รีบเดินกันเถอะคงจะมีคนรอนแรมกลางป่าและพักอยู่บริเวณนั้นเป็นแน่แท้ เผื่อบางทีจะได้ขอแบ่งปันอาหารมาได้บ้าง” รับสั่งพร้อมตรงเข้าช่วยประคองพระวรกายองค์ชายรูปงาม โดยมีซุนเย่คอยอารักขาอยู่ทางด้านหลัง เพียงครู่บุรุษทั้งสามต่างมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ทุกสายตาต่างจดจ้องไปที่ก้อนกลมๆ สีขาวดุจหิมะที่นอนขดจนตัวกลม เก็บส่วนหัวและหางจนมิดชิดมิเหลือสิ้นความเป็นแมวน้อยแต่อย่างใด ท่านอนขดจนตัวกลมดมแลดูคล้ายก้อนกลมๆ สีขาวบางอย่างวางอยู่บนผ้าปูนอน “มิเห็นมีผู้ใดอยู่บริเวณนี้เลยนอกจากห่อผ้ากับผ้าปูนอน แล้วก็ไก่ย่าง อ่อแล้วก็กองผ้าขนสัตว์สีขาวคงจะเป็นผ้าคลุมกันหนาวนำมาใช้เป็นหมอนหนุนกระมัง แล้วเจ้าของเครื่องใช้เหล่านี้หายไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า เหตุใดจึงทิ้งข้าวของส่วนตัวเอาไว้แบบนี้” เทพศาสตรารับสั่งบ่นพึมพำพลางสำรวจไปทั่วบริเวณ พร้อมทรุดพระวรกายลงประทับนั่งทอดพระเนตรไก่ป่าตัวเขื่องด้วยความรู้สึกอยากอาหารอย่างยิ่งยวด ก่อนจะได้ยินเสียงองครักษ์หวังซุนเย่ดังแทรกขึ้น “เดี๋ยวกระหม่อมจะเดินไปดูรอบๆ ก่อนพ่ะย่ะค่ะเผื่อบางทีจะพบเจ้าของพื้นที่แห่งนี้ก็อาจเป็นได้” องค์รักษ์หนุ่มกราบทูลองค์ชายของตน “เจ้ารีบไปตรวจให้ทั่ว พบเห็นเจ้าของจะได้ทำความรู้จักกันเข้าไว้” รับสั่งพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรก้อนกลมๆสีขาวที่อยู่บนผ้าปูนอนด้วยความสงสัย ก่อนจะค่อยๆ ทรุดพระวรกายลงประทับนั่งบนผืนผ้าดังกล่าว สายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่ก้อนกลมตรงหน้าพระพักตร์ พระองค์รู้สึกได้ว่ากองผ้าสีขาวดังกล่าวขยับขึ้นลงเป็นจังหวะคล้ายกำลังหายใจอยู่ พระหัตถ์ค่อยๆ เอื้อมเข้าไปสัมผัสเจ้าก้อนกลมสีขาวดุจหิมะพร้อมวางพระหัตถ์ทาบทับลงไปทันที “ฟู้ว! ฟู้ว! ฟู้ว!” เสียงคล้ายลมหายใจดังออกมาเบาๆ เจ้าก้อนกลมสีขาวขยับขึ้นลงตามจังหวะของการหายใจ หาใช่ผ้าคลุมขนสัตว์ที่นำมาใช้แทนหมอนหนุนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตนั่นเอง พระเนตรสีน้ำตาลอ่อนแปรเปลี่ยนไปทันที พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะช้อนร่างน้อยขนฟูฟ่องอ้วนกลมอุ้มขึ้นจากพื้นและพระองค์ทรงพบว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ขดตัวอยู่ภายในพระหัตถ์คือแมวน้อยนั่นเอง “เจ้าก้อนกลม... ที่แท้เจ้าคือแมวน้อยหรือนี่” รับสั่งถามแมวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่งยวด ทว่าเจ้าก้อนกลมที่พระองค์ทรงมีรับสั่งแทนตัวเจ้าแมวน้อย ทำได้แค่เพียงปรือตามองด้วยความง่วงนอน เผยให้เห็นดวงตากลมโตสีทองอร่ามหวานซึ้ง จนสะกดพระทัยขององค์ชายรูปงามเอาไว้ทันทีในดวงตาคู่สวยของเจ้าแมวน้อยแสนสวยขนปุกปุย “ข้าง่วงนอน! ผู้ใดกันมารบกวนการนอนหลับของข้า! ง่วงนอนมากเลยรู้ไหม! รู้ไหม” องค์หญิงน้อยรับสั่งอยู่ภายในพระทัยก่อนจะหาวออกมาคำใหญ่ พลางขดกายเป็นวงกลมซุกกายเข้าหาอ้อมกอดกว้างขององค์ชายรูปงามด้วยความหนาวเย็นในเวลากลางคืนเริ่มเข้ามาเยือน “อุ่นจังเลย! กอดข้าหน่อย! กอดข้าเอาไว้!” องค์หญิงน้อยพึมพำหากแต่เสียงที่เปล่งออกมานั้น กลับกลายเป็นแมวน้อยกำลังละเมอขบปากตัวเองไปมาเป็นที่น่าเอ็นดูยิ่งนัก “หนาวเหรอเจ้าก้อนกลม ถ้าเช่นนั้นข้าจะกอดเจ้าเอาไว้แนบอกเช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้าจะได้คลายความหนาวเหน็บในยามค่ำคืน” รับสั่งพร้อมใช้ท่อนพระกรกอดรัดแมวน้อยหน้าตาสุดบ้องแบ๊วเอาไว้แนบอก พร้อมยกพระหัตถ์ลูบไล้ขนนุ่มนิ่มสีขาวสะอาดดุจหิมะด้วยความพึงพอพระทัยอย่างยิ่งยวด ท่ามกลางสายพระเนตรของเทพเจ้าศาสตราและองครักษ์หวังซุนเย่ที่เพิ่งเดินกลับมาจากการสำรวจไปทั่วบริเวณ เมื่อทั้งสองต่างเห็นสิ่งมีชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งและกำลังอยู่ในอ้อมแขนขององค์ชายรูปงาม “เอ้า! กลางป่าเช่นนี้ยังมีผู้ใดหอบหิ้วเจ้าแมวน้อยตัวนี้รอนแรมกลางป่ากลางเขาด้วยนะ แล้วนี่เจ้าของไปไหนเสียแล้วจึงทิ้งแมวน้อยตัวนี้เอาไว้เพียงลำพัง” เทพศาสตรารับสั่งอย่างแปลกพระทัย “นั่นนะสิท่านเฟิ่งเหมี่ยน ข้าน้อยออกไปสำรวจรอบๆ พื้นที่แล้วแต่ไม่มีวี่แววของคนแม้แต่น้อย บริเวณนี้ล้วนเป็นป่าดงดิบทั้งนั้น น่าแปลกใจยิ่งนักหรือว่าผู้ที่เป็นเจ้าของทุกอย่างในที่นี้จะเกิดเหตุร้ายแล้วรีบหนีเอาชีวิตรอดทิ้งทุกอย่างเอาไว้ที่นี่กระมัง” องค์รักษ์ซุนเย่เอ่ยขึ้นตามความคาดเดาของตน “อย่าเพิ่งคาดเดาไปเองเลย รอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นว่าจะมีผู้ใดกลับมาหรือไม่ บางทีคนผู้นั้นอาจจะรีบร้อนจากไปจนหลงลืมข้าวของก็อาจเป็นได้ และข้าก็คิดว่าคงจะไม่มีเจ้าของแมวคนไหนกล้าทอดทิ้งเจ้าก้อนกลมตัวนี้ได้อย่างแน่นอน เจ้าทั้งสองดูแมวน้อยตัวนี้สิ ช่างมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก” พระองค์รับสั่งพร้อมหันใบหน้าเจ้าแมวน้อยที่กำลังหลับพริ้มอย่างมีความสุขให้พระสหายของพระองค์และองครักษ์ส่วนพระองค์ได้ยลโฉม “อืมม! เป็นแมวน้อยหน้าตาน่ารักจริงๆ ด้วย เจ้าของตัดใจทิ้งไม่หลงหรอก นี่ถ้าเป็นคนละก็สวยมากเลยนะเนี่ย” เทพศาสตรารับสั่งออกไปก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา “ว่าแต่เจ้าแมวน้อยตัวผู้หรือตัวเมียกันเล่าไหนขอข้าดูหน่อยสิ” รับสั่งพร้อมเอื้อมพระหัตถ์หมายจับเจ้าก้อนกลมจากอ้อมพระกรขององค์ชายเก้าเพื่อดูเพศของเจ้าแมวน้อย พระวรกายใหญ่เบี่ยงองค์หนีทันทีไม่ให้พระสหายจับต้องเจ้าก้อนกลมที่กำลังนอนขดอยู่ในอ้อมพระกรของพระองค์ พร้อมทรงยกพระหัตถ์ปัดมือพระสหายออกเบาๆ พร้อมทรงมีรับสั่งออกไป “ข้าดูเองว่าเป็นเพศอะไร เดี๋ยวเจ้าจะทำเจ้าก้อนกลมตื่น” ถ้อยรับสั่งขององค์ชายรูปงามทำให้เทพศาสตราเบิกพระเนตรกว้างด้วยความแปลกพระทัย พลางหันกลับไปทอดพระเนตรองค์รักษ์ซุนเย่ “องค์ชายของเจ้าชอบสัตว์เลี้ยงประเภทหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราเช่นนี้หรอกหรือซุนเย่” รับสั่งถามกระซิบกระซาบ ข้างฝ่ายองครักษ์ส่ายหน้าไปมาติดๆ กันทันที “องค์ชายมิเคยมีสัตว์เลี้ยงทรงโปรดเลยขอรับท่านเฟิ่งเหมี่ยน สิ่งที่โปรดที่สุดก็คือการวาดภาพ สร้างอาวุธและทรงโปรดเครื่องดนตรีกู่ฉิน แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงมิเคยเห็นพระองค์ทรงโปรดสิ่งใดเป็นพิเศษ ข้าน้อยก็เพิ่งจะเห็นองค์ชายทรงชื่นชอบเจ้าแมวน้อยนี่แหละขอรับ” องค์รักษ์ซุนเย่อธิบายกลับไป “เช่นนั้นรึ!หากเป็นดั่งคำที่เจ้ากล่าวก็นับว่าแปลกทีเดียว” เทพศาสตรารับสั่งพลางหันกลับไปทอดพระเนตรพระสหาย พร้อมรับสั่งออกไปทันที “ถ้าเช่นนั้นไก่ย่างตัวนี้ ข้าจะกินแล้วนะเฟยหลง เพราะตอนนี้ข้าหิวมากๆ เลย” รับสั่งพร้อมคว้าไก่ย่างออกจากกองไฟทันที ก่อนจะหันกลับไปวุ่นวายกับการฉีกไก่กับองค์รักษ์หนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทาง ข้างฝ่ายองค์ชายเก้าทรงส่ายพระพักตร์ไปมาติดๆ กันเมื่อทอดพระเนตรพระสหายใหม่กำลังกินไก่ย่างอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิวโหย พระหัตถ์ค่อยๆ ลูบไล้ขนปุยนุ่มนิ่มที่อยู่ในอ้อมแขนไปมาเบาๆ “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเป็นหญิงเพราะว่ามีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังยิ่งนัก ดวงหน้าก็หวาน ดวงตากลมโตสีทองของเจ้าก็หวานซึ้งเสียนี่กระไร ข้าเพิ่งจะเคยเห็นแมวน้อยขนปุยมีดวงตาหวานเช่นเจ้าเป็นครั้งแรก เจ้ามาจากแคว้นใดกระนั้นรึเจ้าก้อนกลม แคว้นของข้ามิเคยปรากฏแมวลักษณะเช่นเจ้ามาก่อนเลย” รับสั่งถามสุรเสียงอ่อนโยนก่อนจะยกร่างนุ่มนิ่มของเจ้าแมวน้อยรับจุมพิตจากพระองค์ตรงหน้าผาก “เจ้าช่างน่าเอ็นดูเสียนี่กระไรเจ้าก้อนกลม” รับสั่งกระซิบกับเจ้าแมวน้อย ในขณะเดียวกัน ดวงจิตขององค์หญิงเจียงอิ้งเยว่ทรงรับสัมผัสจุมพิตที่ประทับลงบนหน้าผากได้เช่นกัน พระพักตร์แสนสวยแย้มพระโอษฐ์กว้างออกมาทันที “จุมพิตนี้อบอุ่นจัง” รับสั่งออกมาเบาๆ หากแต่สุรเสียงที่ออกมานั้น “ม้าวว!” เสียงร้องอย่างน่าเอ็นดูดังออกมาเบาๆ ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายรูปงามที่ทรงเฝ้าทอดพระเนตรแมวน้อยแสนสวยอยู่ตลอดเวลา ครั้นทรงได้ยินเสียงร้องเล็กๆ ดังออกมาเช่นนั้นเป็นที่น่าเอ็นดูอย่างยิ่งยวด “ช่างน่ารักเสียจริงเจ้าก้อนกลม หากแม้นผู้เป็นเจ้าของกลับมารับเจ้าในวันรุ่งขึ้น ข้าคงไม่มีโอกาสได้อุ้มอีกต่อไป ถ้าเช่นนั้นค่ำคืนนี้ข้าจะกอดเจ้าเอาไว้ก็แล้วกัน เจ้าเองจะได้ไม่หนาวด้วยดีหรือไม่” รับสั่งสุรเสียงกระซิบพร้อมกระชับร่างปุกปุยเอาไว้ในอ้อมแขนประหนึ่งสิ่งมีค่าที่ทรงหวงแหนเป็นยิ่งนัก ท่ามกลางสายพระเนตรของเทพเฟิ่งเหมี่ยนและองครักษ์ซุนเย่ เมื่อได้เห็นพระอาการขององค์ชายรูปงามที่คอยเอาใจใส่เจ้าแมวน้อยในอ้อมพระกรอยู่ในขณะนี้ “รู้สึกว่าท่านจะชื่นชอบเจ้าแมวน้อยตัวนี้เสียนี่กระไร แลดูทะนุถนอมเป็นยิ่งนัก” รับสั่งถามพระสหายกลับไป “ข้าชอบแมวน้อยตัวนี้จริงๆ เฟิ่งเหมี่ยน รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก เจ้าดูเอาเถิด ใบหน้ากลมบ้องแบ๊วน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก จะให้ข้าไม่ชอบเจ้าก้อนกลมนี้ได้อย่างไรกัน” รับสั่งพร้อมหันพระวรกายพร้อมยกร่างเจ้าแมวน้อยที่กำลังหลับพริ้มอย่างเป็นสุข “ถ้าเช่นนั้นท่านก็เอาแบบนี้สิเฟยหลง พวกเรารอเจ้าของแมวย้อนกลับมาก่อน ถ้าผ่านพ้นวันพรุ่งนี้ไปแล้วไม่เห็นเจ้าของแมว ท่านก็นำเจ้าแมวน้อยตัวนี้กลับไปเลี้ยงที่วังเสียเลย นอกจากจะได้ช่วยเหลือมันแล้วยังทำให้เจ้าแมวน้อยมีเจ้าของใหม่ที่เป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นจ้าว สามารถเลี้ยงดูได้อย่างสุขสบายไม่ต้องกลายเป็นแมวเร่ร่อนอยู่แบบนี้ เพราะข้าดูแล้วเจ้าของแมวคงจะเร่ร่อนไปทั่วแดนดินเสียกระมัง” ถ้อยรับสั่งของเทพเจ้าศาสตราทำให้พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงติดๆ กัน ด้วยทรงเห็นด้วยกับความคิดของพระสหายใหม่เช่นกัน และภายในพระทัยทรงคาดหวังว่าเจ้าของเดิมของแมวน้อยจะไม่หวนคืนกลับมา “ข้าอยากเลี้ยงเจ้าจริงๆ นะเจ้าก้อนกลม คงไม่เป็นไรนะหากความคิดของข้าไม่อยากให้เจ้าของเดิมกลับมารับเจ้ากลับคืน หวังว่าคนผู้นั้นจะลืมทิ้งเจ้าเอาไว้ตรงนี้ตลอดไป” รับสั่งอยู่ภายในพระทัย พระหัตถ์เฝ้าลูบไล้ขนนุ่มนิ่มอยู่เช่นนั้นไปมาเบาๆ ชะตาฟ้าลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าแต่กลับไร้สิ้นวาสนาที่จะได้พานพบตั้งแต่ยังไม่ก่อเกิด ไม่ว่าลิขิตสวรรค์จะเคยกำหนดเอาไว้เช่นไร เห็นทีต้องสั่นสะเทือนในครานี้เป็นแม่นมั่น เมื่อคู่บุพเพที่เคยไร้สิ้นวาสนาต่อกัน มิมีโอกาสได้พานพบกันอีกเป็นแน่แท้ ทว่าเหตุผลกลใดเล่าจึงทำให้ทั้งสองกลับได้พานพบหน้ากันถึงสองครั้งสองคราในเวลาไล่เลี่ยกัน และการพบกันในครั้งล่าสุดกลับกลายเป็นการพบกันในร่างที่มิใช่มนุษย์ หรือบุพเพสวรรค์จะเล่นตลก หรือวาสนาที่มีต่อกันจะแปรเปลี่ยนนอกเกณฑ์แห่งโชคชะตา เหนือลิขิตแห่งฟ้าที่สวรรค์เคยขีดเส้นคนทั้งสองเอาไว้ หรือนี่คือบทเริ่มต้นของคู่บุพเพที่ไร้สิ้นวาสนาต่อกันไปแล้ว แม้แต่สวรรค์ในยามนี้ก็มิอาจหยั่งรู้ได้เช่นกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม