ตำหนักฉิงฉี (ตำหนักกิเลน)
“ปัง!” พระหัตถ์หนาตบลงบนโต๊ะทรงพระอักษรด้วยแรงพิโรธอย่างรุนแรง ทันทีที่เสด็จกลับเข้ามาภายในพระตำหนักจนทำให้ขันทีและเหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ ต่างพากันสะดุ้งสุดตัวไปตามๆ กัน
พระเนตรสีดำสนิทปูดโปนแทบจะถลนออกมา พระพักตร์ถมึงทึงด้วยแรงพิโรธมิรู้วาย องค์ไทจื่อแค้นเคืองพระทัยอย่างยิ่งยวดจนทอดพระเนตรสิ่งใดก็ขวางพระเนตรพระกรรณไปเสียหมด
“พวกเจ้าไสหัวออกไปให้หมด! ข้าอยากอยู่เงียบๆ! ออกไป!” รับสั่งตวาดไล่ดังกึกก้องจนเหล่าข้าราชบริพารต่างกลัวลนลานไปตามๆ กัน รีบพากันออกไปจากพระตำหนักอย่างรีบร้อน ก่อนจะสวนทางกับต้ากุ้ยเฟยที่เสด็จมาถามข่าวคราวพระราชโอรสของพระนาง
“เหตุใดพวกเจ้าจึงลนลานออกมาจากพระตำหนักขององค์ไทจื่อเช่นนี้ ทรงเป็นอะไรอย่างนั้นรึ!” รับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัย
“กราบทูลต้ากุ้ยเฟย องค์ไทจื่อเพิ่งจะเสด็จกลับมาจากการหารือในท้องพระโรง และทรงพิโรธเป็นยิ่งนักมิรู้เพราะสาเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์มีรับสั่งอยากอยู่เพียงลำพังจึงไล่พวกกระหม่อมและเหล่านางกำนัลออกมาดังที่พระนางได้ทอดพระเนตรอยู่ในเวลานี้”
“เช่นนั้นรึ!” รับสั่งรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะยกพระหัตถ์ไล่เหล่าขันทีและนางกำนัลออกไป
ต้ากุ้ยเฟยค่อยๆ ก้าวเข้าไปพระตำหนัก สายพระเนตรจับอยู่เบื้องหลังของพระโอรส ก่อนจะทรงหยุดยืนทอดพระเนตรอยู่อย่างเงียบๆ
องค์ไทจื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนก้าวเข้ามาในพระตำหนักและหยุดยืนอยู่ทางด้านหลังที่พระองค์ทรงประทับอยู่ในเวลานี้ พระองค์ปรายสายพระเนตรก็พบว่ามิได้อยู่ตามลำพัง พระหัตถ์คว้าถ้วยชาปาไปที่พื้นพระตำหนักทันที
“เพล้ง!” ถ้วยชาแตกกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นพระตำหนักไปหมด
“ไสหัวออกไป! บอกแล้วมิใช่รึว่าอยากอยู่เพียงลำพัง เหตุใดยังมาเสนอหน้าให้ข้าเห็นอีก!” รับสั่งก่นด่าโดยไม่หันกลับมาทอดพระเนตรแม้แต่น้อย
“ขับไล่แม้กระทั่งข้าผู้เป็นมารดาของเจ้าอย่างนั้นเลยรึ!” ต้ากุ้ยเฟยมีรับสั่งออกไปโดยพลัน และนั่นทำให้องค์ไทจื่อรีบหันพระพักตร์กลับมาทอด พระเนตรทันที
“เสด็จแม่!” พระองค์รับสั่งออกมาเบาๆ พร้อมรีบลุกจากตั่งที่ประทับตรงเข้าไปหาพระมารดา
“ลูกต้องขออภัยที่แสดงกิริยาเช่นนั้น นึกว่าเป็นเหล่าขันทีและนางกำนัลที่เพิ่งไล่ตะเพิดออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นรึ! ก็ยังดีที่เจ้ายังหันกลับมาว่าเป็นข้าที่มาหาเจ้า!” รับสั่งพลางพระดำเนินตรงไปลงประทับนั่งบนตั่ง โดยมีองค์ไทจื่อทรุดพระวรกายลงประทับนั่งบนตั่งตรงกันข้าม
“แล้วนี่เหตุใดจึงมีอารมณ์ขุ่นมัวเช่นนี้ ผู้ใดทำให้เจ้าโกรธเคืองถึงเพียงนี้ได้เล่า เหตุการณ์ในท้องพระโรงแปรผันเป็นประการใดอย่างนั้นรึ” รับสั่งถามออกไปด้วยความอยากรู้
ครั้นองค์ไทจื่อทรงได้ยินพระมารดารับสั่งถามเช่นนั้น พระพักตร์ถมึงทึงขึ้นมาอีกครา
“ที่ลูกเป็นเช่นนี้ก็เพราะพระบิดาทรงแต่งตั้งเจ้าคนไม่เอาถ่านเป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมกองทหารทั้งหมดออกต้านทัพเว่ย แต่กลับแต่งตั้งข้าให้เป็นเพียงแม่ทัพคุมกองทหารทางทิศเหนือรอฟังคำสั่งของจ้าวเฟยหลงแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” องค์ไทจื่อรับสั่งฟ้องพระมารดา
“อะไรนะ! เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าคนไม่เอาถ่านเหตุใดจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่แทนที่จะเป็นเจ้า ตำแหน่งนี้มีเฉพาะองค์ฮ่องเต้และรัชทายาทเท่านั้นที่จะควบคุมกองทหารทั้งหมด... หรือว่า” พระนางทรงหยุดรับสั่งไปโดยพลันเมื่อความคิดบางอย่างบังเกิดขึ้น
“หรือว่ากระไรพ่ะย่ะค่ะ ทรงนึกอะไรออกอย่างนั้นรึ” องค์ไทจื่อรับสั่งถามกลับไปอย่างกระวนกระวาย
ต้ากุ้ยเฟยหันกลับไปทอดพระเนตรพระพักตร์พระโอรสเขม็ง
“เสด็จพ่อของเจ้ากำลังมีความคิดที่จะเปลี่ยนตัวรัชทายาทสืบทอดแคว้นจ้าวไปเป็นเจ้าคนไม่เอาถ่านแล้วนะสิ” รับสั่งของพระนางทำให้องค์ไทจื่อตกพระทัยขึ้นมาโดยพลัน
“อะไรนะ! ตำแหน่งของข้ากำลังจะหลุดลอยอย่างนั้นรึ เหตุใดเสด็จพ่อทรงทำเช่นนั้น แค่แผนการรบบนเทือกเขาหัวซานทำให้ตำแหน่งของข้าที่ครอบครองมานานต้องกระเด็นออกไป เช่นนี้ข้าจะทำเช่นไรดีเสด็จแม่! เสด็จแม่ช่วยลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” องค์ไทจื่อรับสั่งคร่ำครวญ ท่ามกลางสายพระเนตรของต้ากุ้ยเฟยกำลังทรงใช้ความคิดอย่างหนัก
“พอได้แล้ว! ข้ากำลังใช้ความคิดอยู่เจ้ามิเห็นหรอกรึ อายุก็มิใช่น้อยๆ ปีนี้ก็สามสิบแล้ว มิรู้ว่าจะต้องรั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปนานถึงเพียงใด เห็นทีต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียแล้ว” พระนางรับสั่งราวกับว่าจะเริ่มลงมือใช้แผนการชั่วร้ายขึ้นมาอีกแล้ว
ถ้อยรับสั่งของต้ากุ้ยเฟยทำให้จ้าวจื่อห้าวทรงนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อมีความรู้สึกว่าถ้อยรับสั่งดังกล่าวแฝงเร้นอะไรบางอย่างเอาไว้
“เสด็จแม่จะทรงลงมือทำสิ่งใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งถามกลับไปก่อนจะหยุดลงเมื่อทรงคิดออก พระเนตรเบิกกว้างขึ้นมาทันที
“หรือว่าเสด็จแม่คิดจะ...” รับสั่งได้เพียงเท่านั้นก็ทรงหยุดลงเมื่อพระมารดาหันกลับมาทอดพระเนตรพระองค์เขม็ง
“เจ้าคาดเดามิผิดหรอกว่าข้าจะคิดทำสิ่งใดลงไป หากแต่ครานี้เห็นทีจำต้องจัดการเสด็จพ่อของเจ้าไปพร้อมในคราเดียวกันเสียแล้ว ปล่อยเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป”
“หา!” องค์ไทจื่ออุทานออกมาทันทีอย่างตื่นตระหนก ไม่คาดคิดว่าจะทรงได้ยินถ้อยรับสั่งเช่นนั้นออกจากพระโอษฐ์ของพระมารดา
“เสด็จแม่จะทรงทำเช่นนั้นกับเสด็จพ่อทำไมพ่ะย่ะค่ะ จัดการเจ้าคนไม่เอาถ่านแต่เพียงผู้เดียวก็พอแล้ว เมื่อกำจัดสำเร็จตำแหน่งของข้าก็ยังคงอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขึ้นครองแคว้นสืบต่อไปอยู่วันยังค่ำ”
“เจ้าลูกโง่! มีความคิดตื้นเขินยิ่งนัก คิดอะไรมิเคยมองการณ์ไกล หากแม้นไร้สิ้นข้าแล้วเจ้าจะสามารถปกครองแคว้นจ้าวได้สืบต่อไปได้หรือไม่ เสด็จพ่อของเจ้าอยู่มานานเกินพอแล้ว ถึงเวลาสมควรให้ทรงพักผ่อนไปตลอดกาลเสียที ดูเจ้ารึอายุก็เริ่มมากขึ้นเข้าสู่ปีที่สามสิบ ยังรั้งตำแหน่งไทจื่อแทนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นเสียที แผนการในครั้งนี้ถึงไม่อยากทำก็ต้องทำแล้ว ขืนปล่อยไว้เนิ่นนานรังแต่จะไม่ก่อเกิดผลดีแก่เจ้าแม้แต่น้อย” ต้ากุ้ยเฟยรับสั่งอธิบายกลับไป
องค์ไทจื่อนั่งครุ่นคิดไปมาเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้นก่อนจะมีรับสั่งถามกลับไป
“แต่การจะกำจัดเจ้าคนไม่เอาถ่านเห็นทีจะไม่ง่ายดั่งเช่นกาลก่อนเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ เพราะวันนี้ในท้องพระโรงแผนการรบบนเทือกเขาหัวซานเป็นความคิดของจ้าวเฟยหลงทั้งหมด ข่าวลือที่ว่าไม่สนใจฝักใฝ่สิ่งใด ตำราพิชัยสงครามก็หาเรียนรู้จนแตกฉาน วิทยายุทธ์ก็ไม่เคยร่ำเรียนเห็นทีต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว บางทีอาจจะเป็นการตบตาเพื่อให้ตายใจ เพราะวันนี้กลยุทธ์ในพิชัยสงครามยังต้องบันทึกลงหน้าใหม่เพราะแผนการอันแยบยลที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ”
ต้ากุ้ยเฟยนิ่งฟังพระโอรสอย่างสงบ เมื่อทรงล่วงรู้ว่าแผนรบบนเทือกเขาหัวซานเป็นความคิดขององค์ชายเก้าที่พระนางแสนจะชิงชังมาโดยตลอด
“เจ้าคนไม่เอาถ่านผู้นั้นวางแผนการรบที่มิเคยปรากฏในตำราพิชัยสงครามมาก่อนได้ ช่างน่าเกรงกลัวเสียนี่กระไร เช่นนี้แล้วเห็นทีคำทำนายในครั้งอดีตเริ่มปรากฏและตามหลอกหลอนข้าอีกแล้ว” รับสั่งรำพึงครั้นห้วนคิดถึงคำทำนายดังกล่าว
ถ้อยรับสั่งของต้ากุ้ยเฟยทำให้องค์ไทจื่อขมวดพระขนงเข้าหากันทันทีเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“คำทำนายอะไรพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ เกี่ยวกับตัวลูกหรือไม่” รับสั่งถามด้วยความอยากรู้
ต้ากุ้ยเฟยส่ายพระพักตร์ไปมาติดๆ กัน ก่อนจะมีรับสั่งอธิบายกลับไป
“คำทำนายของโหรหลวงเมื่อยี่สิบสองปีก่อน มีเพียงข้าเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าจ้าวเฟยหลง ในภายภาคหน้าจะกลายเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่ แผ่ขยายอำนาจไปทั่วทุกสารทิศและทำให้แคว้นจ้าวยืนหยัดไปนานหลายร้อยปี วันเวลาตกฟากล้วนเป็นดาวมงคลทั้งเก้า ประหนึ่งองค์เง็กเซียนฮ่องเต้เสด็จลงมาจุติในโลกมนุษย์”
สิ้นพระสุรเสียงของต้ากุ้ยเฟย แรงริษยาทีมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วโหมกระพือขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้นออกจากพระโอษฐ์ของพระมารดา
“ต่อให้คำทำนายบ้าบออะไรนั่นเป็นจริง! ข้าก็ไม่กลัวหากคนผู้นั้นขวางทางข้าที่จะก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้ของแคว้นจ้าว ทำอย่างไรก็ได้ กำจัดให้พ้นทางไปเลยเสด็จแม่!” รับสั่งเร่งเร้าพระมารดา
ต้ากุ้ยเฟยปรายสายพระเนตรไปทางพระโอรสเมื่อทรงเห็นพระอาการที่แค่เพียงทอดพระเนตรก็ล่วงรู้โดยพลันว่าในยามนี้องค์ไทจื่อทรงเต็มไปด้วยแรงริษยาอย่างยิ่งยวดและใคร่อยากกำจัดผู้ที่อยู่ขวางทางการก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุด
“อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น จะกระทำการสิ่งใดต้องรอบคอบให้จงหนัก หากจะว่ากันไปแล้วกำจัดเสด็จพ่อของเจ้ายังจะง่ายกว่ากำจัดจ้าวเฟยหลงเสียอีก เพราะคำทำนายนี้ทำให้ข้าจำต้องกำจัดผู้ที่ล่วงรู้ไปจนหมดเพื่อมิให้มีการเปลี่ยนแปลงองค์รัชทายาท แต่แล้วก็ไม่คิดเลยว่าแม้จะพยายามปิดบังเท่าไร คนผู้นั้นกลับผงาดขึ้นมาเองจนแย่งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของเจ้าในครั้งนี้ไป ข้าประมาทเจ้าคนไม่เอาถ่านนั้นต่ำไปจริงๆ”
“เสด็จแม่หมายความว่ากระไร ข้าไม่เข้าใจ! เสด็จพ่อกำจัดง่ายกว่าจ้าวเฟยหลงอย่างนั้นหรอกรึ เหตุใดทรงมีรับสั่งเช่นนั้น มีผู้ใดคอยปกป้องอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” องค์ไทจื่อรับสั่งถามกลับไป
“มี!” ต้ากุ้ยเฟยรับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ
ครั้นองค์ไทจื่อได้ยินเช่นนั้นยิ่งเพิ่มแรงความสงสัยมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
“คนผู้ใดคอยปกป้องจ้าวเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ หากทรงล่วงรู้เหตุใดไม่จัดการคนผู้นั้นเสียก่อนจะได้ตัดแขนขาทำให้เจ้าคนไม่เอาถ่านนั้นไร้สิ้นคนคอยหนุนอีกต่อไป เหตุใดเสด็จแม่จึงทรงครุ่นคิดหนักเช่นนี้ด้วยเล่า”
“เหตุใดข้าจะไม่คิดดั่งคำของเจ้า! หากแม้นคนผู้นั้นสามารถมองเห็นว่าเป็นผู้ใด ข้าก็คงไม่ครุ่นคิดอยู่เช่นนี้หรอกเจ้าลูกโง่! แต่เพราะว่าคนที่คอยปกป้องจ้าวเฟยหลงอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ข้าเองก็มิอาจบอกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นมนุษย์หรือมารปีศาจ หรือเป็นเทพเซียนจากสวรรค์ หรือเป็นอะไรกันแน่ต่างหากเล่า ข้อนี้ต่างหากที่ทำให้ข้าขบคิดมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา” รับสั่งเอ็ดพระโอรสกลับไปทันที ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งฟังด้วยความงุนงงมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
“เอาละ! เอาละ! เรื่องวางแผนข้าจะจัดการเอง ส่วนจ้าวเฟยหลงเจ้ารับหน้าที่ลงมือจัดการ อาศัยแผนการรบบนเทือกเขาหัวซานใช้เป็นสถานที่กลบฝังชีวิตเจ้าคนไม่เอาถ่านพร้อมกับทหารเว่ยไปด้วยกัน เพียงเท่านี้ก็หามีผู้ใดล่วงรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วจ้าวเฟยหลงสิ้นชีพด้วยน้ำมือของผู้ใด แต่ให้เป็นที่เข้าใจว่าสิ้นชีพในสนามรบแทน และเมื่อนำทัพกลับมาถึงวังหลวง เจ้าก็จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ปกครองแคว้นจ้าวต่อไป แม่อยู่ทางนี้จะเตรียมการเอาไว้ให้ทุกอย่าง” ต้ากุ้ยเฟยรับสั่งพระโอรสอย่างหมายมั่นพระทัยกับแผนการของพระนาง
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ลูกน้อมรับพระบัญชา ส่วนแผนการกำจัดเฟยหลง บอกลูกได้ทันทีว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร ลูกสัญญาว่าจะไม่ทำให้ทรงผิดหวังแน่นอน” องค์ไทจื่อรับสั่งอย่างมั่นพระทัย
ต้ากุ้ยเฟยพยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“บางทีหากข้าใช้แผนกำจัดจ้าวเฟยหลงนอกเขตพระราชวัง อาจจะสามารถกระทำการได้เป็นผลสำเร็จ เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอาจะตามไปปกป้องไม่ได้ ตลอดระยะเวลาเท่าที่ผ่านมาข้าใช้แผนลอบสังหารในวังหลวงมาโดยตลอด แต่ถูกทำลายแผนลงทุกครั้ง บางทีถึงเวลาแล้วที่สวรรค์เข้าข้างข้าในครั้งนี้” พระนางรับสั่งรำพึงภายในพระทัย พระเนตรฉายแววอำมหิตออกมาโดยพลัน เมื่อพระนางเริ่มวางแผนกำจัดศัตรูหลังจากที่ห่างหายไปนานหลายปี