ตอนที่ 3.เจ้าสาวของท่านแม่ทัพเสิ่น/2
เสียงร้องดังขึ้นด้วยความตกใจทำให้ผู้คนที่พากันมารอดูขบวนงานแต่ง พากันขยับเข้ามาใกล้ หลิงเอ๋อเปิดม่านกั้นเกี้ยวเจ้าสาวเข้าไปดูคุณหนูของตน ร่างอ้วนท้วนเอียงซบขอบด้านข้างของเกี้ยวนิ่งสงบในท่านั้น นางรีบเข้าไปจับแขนบีบนวดพร้อมเรียกชื่อคุณหนูด้วยความตกใจ
“คุณหนูเจ้าคะ เป็นอะไรไปเจ้าคะ!”
“ให้ข้าดูนางก่อน เจ้ารีบไปบอกนายท่านให้ตามท่านหมอ”
แม่นมฉีรีบเข้าไปดูอาการของคนในเกี้ยว ความวุ่นวายนี้ทำให้ขบวนงานแต่งยังไม่สามารถเคลื่อนออกจากหน้าจวนบ้านเจ้าสาวได้ ผู้คนที่มุงอยู่โดยรอบต่างเริ่มซุบซิบถึงเจ้าสาว
“คุณหนูหลิวมีวาสนา หรือแม่ทัพเสิ่นตาบอดกันแน่ ถึงเลือกสตรีเช่นนางมาเป็นฮูหยิน”
หญิงคนหนึ่งมีไฝเม็ดเล็กใต้ริมฝีปากล่างด้านซ้ายเอ่ยขึ้น ทำให้คนที่มุงดูขยับมาลอบฟังใกล้ๆ เรื่องนินทานั้นผู้คนล้วนสนใจ
“ในปีนั้นภรรยาคหบดีหลิวให้กำเนิดบุตร ท้องฟ้าเกิดอาเพศสุนัขเทพกลืนจันทร์ ดวงจันทร์ถูกเงามืดดับแสง คุณหนูหลิวคลอดออกมาในเวลานั้นพร้อมกลืนกินชีวิตมารดา อีกทั้งยังร้องไห้เจ็ดวันเจ็ดคืนมิยอมหยุด ซินแสมีชื่อท่านหนึ่งได้ให้คำแนะนำท่านหลิวว่า ให้ยกบุตรีเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าอาวาสวัดกวนอิม ถึงได้เติบใหญ่ขึ้นมาได้”
คุณหนูหลิวนั้นถูกคนตั้งฉายาให้ว่าเป็นสตรีกาลกิณี ดวงชะตาของนางเกิดมาเพื่อสร้างเภทภัยให้คนใกล้ชิด
“ข้าได้ยินว่าคุณหนูหลิวมีคู่หมั้นถึงสองคน คนแรกนั้นพอหมั้นหมายกับคุณหนูหลิวก็ป่วยหนัก ซินแสทำนายดวงชะตาบอกว่าถูกดวงของฝ่ายหญิงข่มไว้ หากไม่ตายก็จะพบจุดจบในไม่ช้า พอถอนหมั้นไม่นานกลับแข็งแรงมีสุขภาพดี ซ้ำยังสอบติดเป็นซิ่วไฉ”
“เป็นเช่นนั้นหรือ แล้วคู่หมั้นคนที่สองเล่า เหตุใดถึงมิได้แต่งงานกัน”
คนที่รายล้อมตั้งคำถามขึ้น คนเล่าเรื่องกระแอมพอเป็นพิธีคล้ายไม่อยากเล่า แต่ก็เล่าออกมาจนได้ว่า
“คู่หมั้นคนที่สองเคราะห์ร้ายหนัก ไม่ทันจะเข้าพิธีก็ประสบเหตุตกม้าตายไปเสียก่อน”
ผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮาทำท่าตกใจ บางคนลูบแขนเส้นขนกำลังลุกชัน นึกถึงสตรีดาวเคราะห์ร้ายคนนี้ด้วยความหวาดหวั่น
“แล้วท่านแม่ทัพไม่ทราบเรื่องนี้หรือ เหตุใดถึงยังกล้าสู่ขอสตรีกาลกิณีเช่นนี้เป็นฮูหยิน”
“ถ้าทราบเรื่อง แล้วจะมีงานวันนี้ได้อย่างไร ดูเถิดข้าว่าดวงชะตานางอาจจะข่มดวงชะตาของท่านแม่ทัพไม่ลง ถึงได้มีเภทภัยเกิดขึ้นเช่นนี้...”
เสียงซุบซิบนินทานั้นไม่ดังแต่ก็ไม่เบานัก เจ้าบ่าวบนอาชาสีขาวเป็นผู้ฝึกยุทธย่อมมีโสตประสาทดีกว่าผู้คนทั่วไป เสียงติฉินนินทาเจ้าสาวจึงได้ยินเข้าหูทุกคำ
“ท่านหมอจิน ไปดูนาง”
เสิ่นมู่ฉือบอกหมอจินซีถิงที่ติดตามขบวนมา ให้ไปดูอาการของเจ้าสาวของเขา สายตามองกราดไปยังผู้คนเหล่านั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาใดอีก
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
จินซีถิงเป็นคนสนิทและหมอประจำกองทัพที่เสิ่นมู่ฉือดูแล เขาเดินไปยังเกี้ยวของเจ้าสาวตามคำสั่งทันที พลางโบกมือให้คนที่มุงอยู่ขยับถอยออกไป
“ข้าเป็นหมอ ทุกท่านโปรดถอยออกไปก่อน ข้าจะดูอาการของนาง”
แม่นมฉีรีบเปิดทางให้หมอจินซีถิงมาดูอาการ หมอจินเป็นบุรุษหนุ่มมีรูปโฉมหล่อเหลาแลดูคล้ายบัญฑิตมากกว่าจะเป็นผู้รักษาคนป่วย เขามองดูร่างอวบอ้วนของเจ้าสาว จับข้อมือมาตรวจชีพจรของนางครู่หนึ่ง แล้วหันไปบอกแม่นมฉีว่า
“นางแค่เป็นลมไปเท่านั้น เอายานี่ละลายน้ำแล้วให้นางดื่ม สักพักจะฟื้นคืนสติ”
หมอจินซีถิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อของตน หยิบขวดยาขวดหนึ่งมาส่งให้แม่นมฉี หลิงเอ๋อรีบวิ่งกลับเข้าไปในจวนเพื่อนำน้ำดื่มมาผสมยา คหบดีหลิวพร้อมภรรยาและบุตรชาย รีบเข้ามาถามอาการของบุตรสาว
“ท่านหมอ ลูกสาวข้านางเป็นอย่างไรบ้าง”
“โปรดวางใจ คุณหนูมิได้มีอาการน่าวิตก นางเป็นลมไปเท่านั้น”
“ขอบคุณท่านหมอมาก ลูกสาวของข้าร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เล็กด้วยคลอดก่อนกำหนด ขออภัยท่านแม่ทัพที่ทำให้วุ่นวาย”
พ่อตาหันไปกล่าวกับบุตรเขยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ นึกเป็นห่วงบุตรสาว เมื่อนางรู้ว่าได้แต่งงานจึงพยายามลดน้ำหนักไม่ยอมดื่มกินมาหลายมื้อ วันนี้ไม่ทันก้าวออกจากบ้านก็เป็นลมหมดสติไปก่อน หลิวกวานแอบภาวนาต่อฟ้าดิน ได้โปรดเมตตาบุตรสาวคนนี้ของตน ขอให้นางออกเรือนไปอย่างราบรื่นด้วยเถิด
“คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!”
แม่นมฉีร้องขึ้นด้วยความยินดี ร่างเจ้าเนื้อเริ่มขยับตัว ส่งเสียงครางเบาๆ ออกมา
“หิวน้ำ... คอแห้งจังเลย”
คนเพิ่งรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาจากความมืด มองภาพเบื้องหน้าเลือนลางด้วยอยู่ใต้ผ้าคลุมชุดเจ้าสาว จึงเลิกผ้าขึ้นมองไปรอบกายอย่างมึนงง ผู้คนแปลกหน้าแต่งกายแปลกตา ความวิงเวียนกลายเป็นความปวดหนึบขึ้นมาในหัว ไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมา ก็เห็นเด็กสาวอายุราวสิบหกยื่นถ้วยชามาให้
“ดื่มนี่ก่อนเจ้าค่ะ”
มืออวบอูมยื่นไปรับถ้วยบรรจุน้ำสีน้ำตาลขุ่น แล้วก็มีมือของหญิงวัยกลางคนช่วยจับถ้วยนั้นยกจ่อปาก ทำให้ต้องกลืนน้ำรสชาติหวานแกมเฝื่อนลงคอไป ความรู้สึกแรกคือเย็นแล้วชุ่มคอ พลันความวิงเวียนก็สลายไป
“ขออีก...”
“ยาหมดแล้วเจ้าค่ะ ดื่มน้ำอีกถ้วยนะเจ้าคะ”
หลิงเอ๋อรีบรินน้ำใส่ถ้วยให้คุณหนูของตนดื่มอีกถ้วย หมอจินซีถิงขยับเข้ามาดูอาการ เขาจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าหันไปบอกคนที่รอฟังอาการว่า
“อาการของนางไม่น่าวิตกแล้ว อีกสักครู่ก็ออกเดินทางได้”
“จะไปไหน...”
หลังจากได้ดื่มน้ำสติเริ่มกลับคืนมา หลิวชิวเยว่จึงเอ่ยถามออกไป
ตอนแรกฟื้นขึ้นมาด้วยความมึนงงสมองยังไม่ทำงานเต็มที่ ตอนนี้สติกระจ่างแล้ว เริ่มรู้ตัวว่าทุกอย่างรอบตัวไม่คุ้นเคย ความจำสุดท้ายเป็นภาพตอนที่อยู่ริมหน้าผากับบิดา ก่อนที่ทุกอย่างรอบกายจะดับวูบลงไป
“นี่เราตายแล้วเหรอ...”
หลิวชิวเยว่ใจหายวาบ เอามือจับแขนตัวเอง สัมผัสถึงผิวนุ่มอวบหยุ่นของก้อนเนื้อและไขมัน ทำให้ต้องจ้องมองนิ้วของตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นนิ้วป้อมๆ ยกแขนขึ้นดูกลับพบกับความหนักอึ้ง ก้มลงไปมองเนื้อตัวยิ่งตกใจ
เมื่อพบพุงกลมอุดมด้วยก้อนไขมันคล้ายมีห่วงยางรอบเอว ที่สำคัญนางสวมชุดสีแดงมือจับไปบนศีรษะพบเครื่องประดับและผ้าคลุม มองไปรอบกายก็ยิ่งตกใจ เมื่อพบว่าเป็นขบวนเจ้าสาว ตัวนางกำลังนั่งในเกี้ยวเจ้าสาว
“เยว่เอ๋อ พ่อจะรอเจ้ากลับมาเยี่ยมนะ”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น ข้างกายของเขามีหญิงใบหน้างดงามและเด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่ แววตาของพวกเขาทั้งสามมีรอยห่วงใย หญิงวัยกลางคนที่ช่วยดูแลเมื่อครู่ขยับลงจากเกี้ยว พร้อมกับเด็กสาวผู้นำถ้วยน้ำมาให้ดื่มก็ลงไปเช่นกัน เสียงตะโกนดังขึ้นว่า
“ออกเดินทางได้!”
เกี้ยวเจ้าสาวถูกแปดคนหามยกขึ้นจากพื้น เริ่มต้นเคลื่อนขบวนออกจากหน้าคฤหาสน์ หลิวชิวเยว่นั่งตัวแข็งอยู่ภายในเกี้ยว ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
“นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน...”