ตอนที่ 9. ความช่วยเหลือจากฮูหยินแม่ทัพ/1
เสิ่นมู่ฉือพร้อมกับผู้ติดตามทั้งสี่กลับมาถึงจวนในช่วงเย็น เขาพบกับรถม้าของหลิวชิวเยว่ที่เพิ่งกลับมาถึงเช่นกัน
“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว”
หลิวชิวเยว่เปิดม่านหน้าต่างรถม้า ส่งเสียงทักทายสามี เสิ่นมู่ฉือจึงเดินมาหาภรรยา
“ฮูหยิน เจ้ามาถึงแล้วหรือ”
เสิ่นมู่ฉือยืนรออยู่ข้างรถม้า ร่างอ้วนกลมของหลิวชิวเยว่ขยับลงมาจากรถม้า ยื่นมือหมายจะส่งให้สามีช่วยพยุง แต่เขากลับยืนนิ่ง แม่นมฉีรีบเข้าไปช่วยคุณหนูของตน เมื่อลงมาถึงพื้นแม่ทัพหนุ่มเพียงแค่มองดูนางด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขามาทักทายนางตามมารยาทเท่านั้นหรือ หลิวชิวเยว่รู้สึกเหมือนโดนรังเกียจ แม้แต่มือของนางเขายังไม่อยากแตะต้อง
พลันภาพเงาร่างของสองชายในค่ำคืนเดือนเพ็ญวาบเข้ามาในหัว ริมฝีปากของหลิวชิวเยว่เบ้ออกอย่างลืมตัว ก่อนจะคลายออก จำต้องข่มใจซ่อนความรู้สึกไว้
“ท่านพี่ วันนี้ข้า...”
ยังไม่ทันจะได้พูดคุยด้วย ชาวบ้านสูงวัยผู้หนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น ชายผู้นั้นเห็นแม่ทัพหนุ่มจึงรีบตรงเข้ามาทำความเคารพ
“ท่านแม่ทัพ”
“ผู้เฒ่าหยาง มีเรื่องอันใดที่หมู่บ้านหรือไม่”
เสิ่นมู่ฉือเอ่ยถาม เขามองหยางเฉาผู้ใหญ่บ้านตำบลกุ้ยฮวา ปกติหากไม่มีเรื่องสำคัญชายผู้นี้จะไม่มาหาเขาที่จวน
“หมู่บ้านของเราเกิดโรคระบาดในพืช ตอนนี้ผลผลิตไม่พอกิน ท่านแม่ทัพโปรดช่วยเหลือพวกเราด้วย”
เกิดโรคระบาดในหมู่บ้าน ผู้คนเดือดร้อนจนต้องมาขอให้ท่านแม่ทัพเสิ่นช่วยเหลือ ผู้ใหญ่บ้านหยางเฉาจำต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง
“เชิญผู้เฒ่าเข้าไปคุยกันในจวนเถอะ”
เสิ่นมู่ฉือเดินนำเข้าไปในจวน เชิญผู้เฒ่าไปสนทนาในห้องหนังสือ ผู้ติดตามทั้งสี่ตามเข้าไปด้วย หลิวชิวเยว่มองตามหลังไป เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา ดูเหมือนสามีของนางจะให้ความสำคัญกับชายชราผู้นั้นจนไม่ได้ใส่ใจนาง
เมื่อเข้ามาในห้องหนังสือแล้ว เสิ่นมู่ฉือจึงเชิญผู้ใหญ่บ้านหยางนั่งลง เขานั่งลงบนเก้าอี้ด้านใน หมอจินซีถิงยกกาน้ำชามารินให้เจ้านายและทุกๆ คน กุนซือจ้าวหยุนฟางเตรียมเครื่องเขียนมารอจดรายงาน จางหมิ่นกับหลี่ชวนยืนอยู่ด้านหน้าประตู
“ผู้เฒ่าหยางเชิญท่านเอ่ยมา”
เสิ่นมู่ฉือเริ่มต้นบทสนทนา ผู้ใหญ่บ้านหยางเฉาจึงเริ่มต้นเล่าความเดือดร้อนให้ฟัง
“เมื่อต้นเดือนเกิดโรคระบาดในพืช ทำให้ข้าวและพืชไร่ที่พวกเราปลูกไว้เสียหายทั้งหมด ข้าต้องนำข้าวมาปันส่วนให้แต่ละครอบครัวนำไปเพาะปลูกใหม่ แต่ผลผลิตยังไม่โตพอเก็บเกี่ยว ตอนนี้ผู้คนในหมู่บ้านข้าใกล้อดตายกันแล้ว”
สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านดูหม่นหมอง เดิมเขาไปขอความช่วยเหลือจากนายอำเภอแต่ไม่ได้รับความสนใจ จึงต้องเดินทางไกลมาขอร้องให้แม่ทัพเสิ่นช่วยเหลือ
“ท่านกุนซือจ้าว ท่านช่วยไปตรวจดูว่าจะหาทางช่วยชาวบ้านได้อย่างไรบ้าง” แม่ทัพหนุ่มบอกกับกุนซือคู่ใจ
“ขอรับท่านแม่ทัพ” กุนซือจ้าวหยุนฟางรับคำ
“ผู้เฒ่าหยาง ข้าจะให้พ่อบ้านหวังจัดข้าวและอาหารแห้งมอบให้ท่าน นำไปปันส่วนให้ครอบครัวชาวบ้านทุกคน”
การแก้ไขเบื้องต้นคือต้องให้ชาวบ้านมีอาหารการกินเสียก่อน หมู่บ้านกุ้ยฮวาเป็นหมุ่บ้านเล็กๆ อยู่ในหุบเขาทางการย่อมไม่ให้ความสำคัญ เสิ่นมู่ฉือดูแลพวกเขาหลายครอบครัว ด้วยบุตรของพวกเขาที่เข้าร่วมกองทัพต่างสละชีพปกป้องแผ่นดิน เงินชดเชยเล็กน้อยที่ได้รับไม่เพียงพอจะดูแลคนในครอบครัวซึ่งล้วนแก่ชรา และเด็กเล็กรวมถึงหญิงม่าย เดิมบริเวณนี้เป็นที่ดินของตระกูลเฉิน เมื่อเสิ่นมู่ฉือรับดูแลครอบครัวของทหารในกองทัพของเขาที่เสียชีวิตในสงคราม จึงพาพวกเขามาอยู่ด้วยกันที่นี่ เบี้ยหวัดรายปีของเขาส่วนใหญ่ล้วนใช้เพื่อดูแลชาวบ้านเหล่านี้ ชาวบ้านทำนาปลูกข้าวปลูกพืชไร่ ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ครั้งนี้ประสบภัยเกิดโรคระบาดพืช ทำให้อดอยากไร้ทางรอด แม่ทัพหนุ่มจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้
“ข้าขอขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคน”
ผู้ใหญ่บ้านหยางคุกเข่าลง เอ่ยขอบคุณพลางคำนับด้วยด้วยซาบซึ้งใจ พวกเขาไม่ต่างจากขอทาน ไปทางใดผู้คนล้วนรังเกียจ โชคดีที่ท่านแม่ทัพเสิ่นเมตตา บุญคุณนี้ยากจะหาทางทดแทนได้
“วางใจเถอะ ท่านแม่ทัพจะต้องช่วยชาวบ้านทุกคนได้แน่”
กุนซือจ้าวหยุนฟางช่วยประคองผู้เฒ่าให้ลุกขึ้น เขารู้สถานการณ์ของท่านแม่ทัพดีกว่าใคร ยามนี้เงินทองในคลังสมบัติของจวนก็เริ่มร่อยหรอลง ของรางวัลของพระราชทานในคราวที่แล้ว ท่านแม่ทัพก็นำไปแจกจ่ายผู้ใต้บังคับบัญชา บางส่วนแลกเป็นข้าวสารอาหารแห้งมอบให้ชาวบ้าน ตอนนี้มีฮูหยินเพิ่มเข้ามาอีกคน ในจวนก็มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินของท่านเป็นบุตรีคหบดีหลิว ข้าคิดว่าฮูหยินอาจจะช่วยท่านเรื่องหาเสบียงให้ชาวบ้านได้”
เมื่อคิดถึงฮูหยินท่านแม่ทัพแล้ว กุนซือจ้าวก็นึกขึ้นได้ว่าหลิวชิวเยว่เป็นบุตรีคหบดีหลิว พ่อค้าผู้มั่งคั่งของแคว้นชิงเป่ย หากจะซื้อข้าวสารและธัญพืชโดยใช้ความสัมพันธ์นี้อาจจะได้ราคาที่ถูกลง ทุกวันนี้ข้าวสารอาหารแห้งล้วนสั่งซื้อผ่านเฉาจิ้ง
“ข้าไม่อยากรบกวนนาง”
เสิ่นมู่ฉือไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากภรรยา เขาแต่งนางเข้าจวนเพื่อให้ฮ่องเต้สบายพระทัย จะได้ไม่ต้องห่วงใยเรื่องคู่ครองของเขาอีก คิดเพียงจะให้นางอยู่ในที่ของนางไม่ข้องเกี่ยวด้วย
“ท่านแม่ทัพโปรดทบทวน สถานะของพวกเรานั้น...”
กุนซือจ้าวเดินมาป้องปากกระซิบบางอย่างข้างหูผู้เป็นเจ้านาย คิ้วดกเข้มของแม่ทัพเสิ่นขมวดนิ่วในทันที
“ข้ารู้แล้ว ท่านหมอจินพาท่านผู้เฒ่าหยางไปพักผ่อนก่อน เรื่องเสบียงข้าขอเวลาจัดการสักเจ็ดวันจะให้คนส่งไปที่หมู่บ้าน”
ปัญหานี้ล้วนต้องใช้เวลาคิด เสิ่นมู่ฉือจึงให้พาผู้เฒ่าหยางออกไปก่อน เมื่อประตูปิดแม่ทัพหนุ่มก็ถอนหายใจออกมา การศึกนั้นเขาไม่เคยหนักใจ แต่การหาเงินนี่สิช่างยากยิ่งนัก
///
“ท่านผู้เฒ่าท่านคงหิวแล้ว เดี๋ยวข้าจะหาอะไรมาให้ท่านกินสักหน่อย”
หมอจินซีถิงพาผู้เฒ่าหยางมายังเรือนพักติดกับครัว คิดหาอะไรให้คนชรากินเสียก่อน ขณะเดินเข้าไปในครัวก็พบกับหลิงเอ๋อและแม่นมฉี ทั้งสองมาเตรียมอาหารให้เจ้านายของตน
“ท่านหมอจิน”
“แม่นมฉี แม่นางหลิงเอ๋อ”
หมอจินซีถิงมองดูถาดอาหารที่หลิงเอ๋อกำลังจัดเตรียมอยู่ ในถาดมีอาหารหลายจาน ข้าวอีกสองชาม แม่นมฉีเข้าครัวปรุงอาหารด้วยตนเอง พ่อครัวของจวนแม่ทัพนั้นทำอาหารเพียงสองมื้อ การกินอยู่ของผู้คนในจวนล้วนประหยัด มื้อเช้ามีโจ๊กและผักดองเป็นหลัก มื้อกลางวันหากแม่ทัพไม่ได้อยู่ก็กินอะไรง่ายๆ มื้อเย็นบนโต๊ะถึงจะเพิ่มจานเนื้อไปสักจาน เทียบกับอาหารของฮูหยินแม่ทัพแล้ว ช่างแตกต่างกัน
“อาหารเหล่านี้ ข้าใช้เงินส่วนตัวของฮูหยินเจ้าค่ะท่านหมอ”
แม่นมฉีเห็นสายตาของหมอจินซีถิง จึงเอ่ยออกมาไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด คุณหนูของนางตรวจดูบัญชีค่าใช้จ่ายแล้ว ก็พบว่าเงินทองในจวนนั้นมีจำนวนไม่มากนัก จึงใช้เงินส่วนตัวใช้จ่าย
“ข้าเข้าใจ ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอจินซีถิงเอ่ยถามขึ้น นับจากวันที่เขาตรวจอาการของหลิวชิวเยว่ เขาพบว่านางมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน อาจจะมีโรคเกี่ยวกับความอ้วน ยังไม่มีโอกาสได้ตรวจดูอาการของนางอีก
“ฮูหยินพักนี้กินอาหารไม่ค่อยอร่อยเจ้าค่ะ แต่ละมื้อปกติรับข้าวห้าชามตอนนี้เหลือเพียงสองชาม ซูบผอมลงจนน่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
แม่นมฉีเห็นหลิวชิวเยว่ลดปริมาณอาหารลงก็รู้สึกเป็นห่วง เกรงว่าคุณหนูของนางจะล้มป่วยลงอีก ปกติหลิวชิวเยว่จะกินข้าวหกมื้อต่อวัน ตอนนี้เหลือสามมื้อเหมือนคนปกติทั่วไป
“เอาไว้ข้าจะไปตรวจอาการให้ วันนี้ข้าต้องดูแลแขกของท่านแม่ทัพ”
“ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ ท่านหมอต้องการอาหารหรือไม่ ข้าเพิ่งทำเสร็จจะแบ่งให้ท่าน”
หมอจินซีถิงรับปากจะไปดูอาการของหลิวชิวเยว่ แม่นมฉีจึงมีน้ำใจแบ่งอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ ให้
“รบกวนแม่นมฉีแล้ว”
อาหารของฮูหยินท่านแม่ทัพทำไว้มาก แบ่งปันสักชามคงไม่สิ้นเปลืองอะไร แม่นมฉีจึงตักอาหารใส่ชามส่งให้ หมอจินชีถิงรับมาแล้วนำไปให้ผู้เฒ่าหยาง
“แม่นมฉี ข้าว่าท่านเป็นกังวลเกินไปหรือเปล่าเจ้าคะ คุณหนูของเราอาจจะคิดลดน้ำหนัก ถึงได้ลดอาหารลง”
หลิงเอ๋อเข้าใจหลิวชิวเยว่มากกว่าแม่นม คุณหนูมีสามีหล่อเหลาราวเทพเซียนเช่นนี้ย่อมต้องการให้ตัวเองงดงาม ในจวนนี้ล้วนมีแต่คนหน้าตาดี คุณหนูของนางอาจจะมีแรงบันดาลใจในการลดความอ้วน
“ข้าคงห่วงใยเกินไป เรายกอาหารไปให้คุณหนูกันเถอะ”
แม่นมฉีเร่งให้หลิงเอ๋อยกอาหารไปให้หลิวชิวเยว่ ขณะเดินผ่านโต๊ะหน้าโรงครัวก็พบท่านหมอกำลังนั่งคุยกับชายชราผู้หนึ่ง
“ข้าวชามนี้รสชาติดีจนข้าแทบหลั่งน้ำตา ข้าไม่ได้กินอะไรดีๆ แบบนี้มานานแล้ว”
“ท่านผู้เฒ่ารีบกินเถอะ ท่านแม่ทัพรับปากแล้วว่าจะหาเสบียงให้คนในหมู่บ้านของท่าน รอสักสองวันพวกเขาจะได้กินอิ่มหนำ”
คำปลอบโยนของท่านหมอ ทำให้ผู้เฒ่าหยางยอมขยับตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากด้วยอาการหิวโหย ท่านหมอเจ้ามองตามหลังสองสาวใช้ไป พลันบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว
“ท่านผู้เฒ่าหลังจากอิ่มอาหาร ข้าจะพาท่านไปคารวะฮูหยินท่านแม่ทัพ”
///