“เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมถึงได้ขี้หลงขี้ลืมนักนะ นิลิน!”
คลินท์บ่นพึมพำขณะที่เดินเข้ามาหารายงานในห้องนอนของหญิงสาว เพราะห้านาทีก่อนหน้านี้เจ้าตัวโทรมาขณะที่เขากำลังประชุมทางไกลกับผู้บริหารสาขาบริษัทที่กระจายอยู่ทั่วโลก เธอโทรมาบอกว่าลืมหยิบรายงานที่จะส่งอาจารย์วันนี้
เขาเลยต้องหยุดประชุมกลางคันเพื่อมาค้นเอกสารให้กับเธอ ดูเหมือนการประชุมของเขาวันนี้จะไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ เพราะเธอคนเดียว
มือหนากำลังจะรื้อหาเอกสารบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาแต่กลับโดนใส่กระเป๋าถือใบเล็กของหญิงสาวที่ไม่ได้รูดซิปปิดสนิท ส่งผลให้กระเป๋าร่วงหล่นข้าวของข้างในตกกระจายเต็มพื้น
‘นอกจากจะแสบ ขี้ลืม แล้วยังซกมกอีกนะนิลิน ถ้าไม่มีรูปร่างหน้าตาดีแล้วเธอยังมีส่วนไหนดีอีกบ้างไหมเนี่ย’
คลินท์บ่นในใจขณะที่คุกเข่าลงเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเธอเหมือนเดิม ซึ่งในนั้นมีทั้งทิชชู่ที่ใช้แล้ว ตลับแป้งเครื่องสำอางที่ปนกันไปหมด แต่แล้วมือใหญ่ก็ต้องชะงักเมื่อนัยน์ตาคมกริบสีบรอนซ์สะดุดเข้ากับแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี…เพราะมันคือบัตรประจำตัวประชาชนนั่นเอง
“อะไรกัน แม้แต่บัตรประชาชนก็ยังลืมเหรอ”
คลินท์พึมพำพร้อมกับนิ่วหน้า ขณะหยิบบัตรสี่เหลี่ยมแผ่นนั้นขึ้นมา ใบหน้าของชายหนุ่มเข้มขึ้นเมื่อเห็นชื่อ และนามสกุลที่ปรากฎภาพใบหน้าของหญิงสาวชัดเจน
“พลอยไพลินงั้นเหรอ”
อักษรทั้งไทยและอังกฤษเด่นชัดโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม นี่ถ้าเขาไม่มาเห็นกับตาก็คงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเธอชื่ออะไร…แปลว่าที่ผ่านมาเขาถูกเด็กหลอกมาตลอดงั้นสิ ให้ตายเถอะ!
“ร้ายนักนะพลอยไพลิน! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
คลินท์กัดฟันพูดอย่างเดือดดาล จากนั้นก็ขู่คำรามเสียงลอดไรฟันอย่างแค้นเคือง
“สงสัยผมจะประเมินคุณต่ำไปสินะ ร้ายขนาดนี้เห็นทีจะต้องทำโทษแบบเด็ดขาดเสียแล้ว”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหอบหายใจแรงๆ นัยน์ตาลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะ จากนั้นก็ก้าวยาวๆเดินออกจากห้องนอนใหญ่ ไม่สนใจภารกิจก่อนหน้านี้อีก
ในเย็นวันนี้ พลอยไพลินก้าวเข้ามาในห้องด้วยอาการหายใจหอบถี่พร้อมกับกำหมัดแน่นเข้าหากัน เมื่อความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างรุนแรง หลังกลับมาจากมหาวิทยาลัย เพราะก่อนหน้านี้เธอโทรศัพท์บอกให้คลินท์รีบฝากรายงานไปให้เธอ แต่ชายหนุ่มกลับเงียบหายไปพร้อมการ์ดอีกคนที่เธอส่งกลับมารับของ หลังจากพลาดส่งรายงานอาจารย์สุดเฮี้ยวเธอก็ได้งานเพิ่มมาอีกเป็นทวีคูณ ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ
“ป๋าอยู่ไหนคะ ฉันต้องการพบป๋าเดี๋ยวนี้”
พลอยไพลินกดเสียงต่ำแจ้งความประสงค์ของตนกับเบนลีเลขาหนุ่มของเขาที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง หญิงสาวหายใจหอบแรงขึ้นเรื่อยๆขณะที่กำหมัดเข้าหากันแน่นพายายามควบคุมอารมณ์เดือดปี๊ดถึงขีดสุดของตัวเองอยู่ สิ่งที่คลินท์ทำกับเธอมันมากเกินกว่าที่จะอภัยให้เขาได้ เพราะถ้าเขาไม่ว่างก็น่าจะบอกแต่ทีแรกไม่ใช่รับปากแล้วให้เธอรอจนกระทั่งหมดเวลาส่งงาน
“ท่านประชุมอยู่ครับ ตอนนี้ยังไม่สะดวกให้พบ“
เบนลีรายงานก่อนจะก้มหน้าหลุบตาลงต่ำเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยวาววับน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
พลอยไพลินกระแทกเสียงบอกกับเลขาหนุ่ม แต่ก็ไม่เป็นผล จนเธอต้องตัดสินใจผลักประตูห้องทำงานออกเอง ท่ามกลางความตกใจของเบนลีที่ห้ามไว้ไม่ทัน เขาคิดไม่ถึงว่าร่างบางระหงจะรวดเร็วกว่าตน
เมื่อประตูห้องทำงานถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะส่งผลให้ชายหนุ่มที่กำลังนั่งประชุมด้วยวีดีโอทางไกล ต้องหยุดชะงักหันมามองเธออย่างรวดเร็ว
“พลอยไพลิน!”
คลินท์เรียกชื่อหญิงสาวด้วยความตกใจที่จู่ๆเธอก็ผลักประตูเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก เมื่อตั้งสติได้เขาก็รีบหันมากล่าวปิดการประชุมแล้วกดปิดจอคอมพิวเตอร์ทันที แต่เมื่อทรงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ยังไม่ทันได้ก้าวขาร่างบางระหงก็ปรี่เข้ามาประชิดตัวเขาเสียก่อน
ผัวะ ๆ ๆ ๆ ปั้ก ๆ ๆ ๆ
มือเล็กทั้งสองข้างรัวกำปั้นใส่อกกว้างแข็งแรงทันทีที่เข้าถึงตัวเขา
“คนโกหก คนหลอกลวง! ทำไมถึงไม่ยอมทำตามคำพูด ไหนบอกว่าจะเอารายงานมาให้ ไหนว่าจะรีบหาแล้วส่งมาให้ แล้วทำไมถึงไม่ยอมส่งมา ทำไมต้องปิดเครื่อง ถ้าไม่ว่างทำไมไม่บอก ทำไมต้องโกหกด้วย! ทำไม!”
พลอยไพลินโวยวายด้วยความโกรธสุดฤทธิ์ เธอรัวกำปั้นใส่เขาไม่ยั้งโดยไม่สนใจว่าเขาจะตัวใหญ่กว่าเธอหลายเท่านัก เบนลีที่กำลังวิ่งตามเข้ามาต้องอ้าปากค้างและเบิกตากว้างกับการกระทำของหญิงสาว
ในฐานะเลขาส่วนตัวที่ร่วมงานกับชายหนุ่มมานานทำให้เขารู้นิสัยใจคอของผู้เป็นนายดีว่าร้ายแค่ไหน เมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนๆที่เคยผ่านมาเบนลีก็ต้องเผลอลอบกลื่นน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ขนาดผู้หญิงคนอื่นๆแค่ปริปากพูดในสิ่งที่ชายหนุ่มไม่ชอบยังต้องถูกเฉดหัวออกไปแทบไม่ทัน นี่ถึงขนาดลงไม้ลงมือเป็นใครก็คงชะตาขาดกันบ้างแหละ
คิดแล้วก็ต้องก้มหน้ารอรับคำสั่งต่อไปของเจ้านายอย่างเงียบๆ ในอกรู้สึกหวาดกลัวแทนหญิงสาว เพราะตอนนี้เธอคงไม่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ถึงได้กล้าอาละวาดขนาดนี้
“ใครกันแน่ที่เป็นคนโกหกหลอกลวง”
คลินท์รวบแขนเล็กทั้งสองข้างให้หยุดทำร้ายตนย้อนถามเสียงต่ำควบคุมอารมณ์โมโหไว้เช่นกัน แต่ก็มิวายหลุดสีหน้าไม่พอใจออกมาให้เห็น ส่งผลให้หัวใจดวงน้อยกระตุกไปวูบหนึ่งเมื่อคิดว่าเขาได้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ในกระเป๋าสะพายเธอของเธอที่ลืมไว้บนโต๊ะในห้องนอน
“นี่ป๋าแอบเปิดดูกระเป๋าของหนูเหรอ”
“ผมไม่ได้มีนิสัยชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญต่างหากที่ทำให้ผมรู้ความจริง พลอยไพลิน คุณต้องการอะไรกันแน่ ทำไมต้องโกหกว่าตัวเองชื่อนิลิน”
สายตาคมกริบวาวโรจขณะถามพร้อมตำหนิด้วยน้ำเสียงดุจนคนที่กำลังถูกถามต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง
“หนู…หนูแค่อยากเป็นเด็กป๋า ไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างอื่นเลยนะคะ”
“ไม่ได้มีเจตนาร้าย… คุณจะให้ผมเชื่อแบบนั้นเหรอพลอยไพลิน แน่ใจเหรอว่าที่มาตีสนิทกับผมแค่ต้องการเป็นเด็กเสี่ย เหตุผลแค่นี้มันจำเป็นที่จะต้องสร้างเรื่องโกหกเลยเหรอ”
“ที่หนูต้องสร้างเรื่องโกหกเพราะหนูกลัวจะไม่ได้รับงานจริงๆนะคะ”
“งั้นให้รู้ไว้เลยว่าผมไม่ชอบคนโกหก ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปผมไล่คุณออก เก็บข้าวของๆคุณแล้วก็ออกไปจากที่นี่ซะ ส่วนค่าเสียเวลาของคุณผมจะให้เบนลีจัดการให้ก็แล้วกัน”
คำพูดเรียบเย็นไร้เยื่อใยของเขาทำให้พลอยไพลินต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจปนคาดไม่ถึง มือใหญ่คลายมือออกจากแขนเล็กก่อนจะผละจากร่างบางระหงที่กำลังอยู่ในอาการช็อกก้าวยาวๆออกจากประตูไป
เบนลีที่กำลังยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆต้องปรี่เข้าประคองร่างบางระหงไว้เมื่อเซเหมือนคนกำลังจะเป็นลม
“ไหวหรือเปล่าครับคุณ…เอ่อ”
เบนลีเอ่ยถามก่อนจะทำเสียงอึกอักไม่รู้จะเรียกเธอว่าอะไรดี ระหว่างนิลิน กับ พลอยไพลิน
“ฉันถูกป๋าไล่ออกจริงๆเหรอคะ”
เสียงหวานพึมพำถามเหมือนต้องการคำยืนยันอีกครั้ง และคำตอบของเบนลีก็ทำให้หัวใจดวงน้อยสลายซ้ำเป็นครั้งที่สอง
“เสียใจด้วยนะครับคุณพลอยไพลิน เชิญครับแล้วผมจะไปส่ง”