คำเตือน
ตอนนี้มีการใช้ความรุนแรง มีการใช้อาวุธในการทำร้ายตนเอง หากใครอ่อนไหวข้ามไปก่อนได้นร้า
เขาค่อยๆ ใช้ปลายมีดกรีดมันลงไปกลางฝ่ามือข้างซ้ายของตนอย่างช้าๆ กลิ่นโลหิตปะทะเข้ากับปลายจมูกของเขา ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดตรงหน้ามันทำให้เขาราวกับได้ปลดปล่อยความทุกข์ทนในใจได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลซึมลงมาตามปลายนิ้วอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ มันหลายต่อหลายครั้ง ทั้งมือและแขน รวมถึงลำตัวล้วนมีร่องรอยของบาดแผลหลงเหลือเอาไว้มากมาย ฉับพลันก็มีเสียงเปิดประตู ผู้ที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี
“นายน้อย ท่านทำร้ายตนเองอีกแล้วหรือ!!!!”
จางเหยียนเหวยไม่ตอบ บนใบหน้าของเขายามนี้เลื่อนลอย ต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ไม่มีท่าทีขี้เล่นหยอกเยาเช่นเดิมอีก มีเพียงใบหน้าที่เฉยชาเงียบขรึม เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโลหิตจะไหลออกมามากเพียงใด มืออีกข้างกำมีดเอาไว้แน่น ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าผู้ใดที่เข้ามาในห้องแห่งนี้
นี่คือช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุด
ผู้ที่เข้ามาคือพ่อบ้านกัว พ่อบ้านที่ดูแลเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ ยามที่เขาเดินทางไปชายแดนเพื่อเข้าสนามรบพ่อบ้านกัวก็ติดตามไปด้วย จวนจวิ้นอ๋องจึงถูกทิ้งร้างมานานหลายปี
พ่อบ้านกัวรีบวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนจะจัดการทำแผลให้เขาทันที
“นายน้อย ท่านก็รู้ว่าตนเองจิตใจเป้นกังวลไม่ได้ เหตุใดจึงยังมาอยู่ที่นี่เพียงลำพังอีก เห้อ ท่านไม่มีอาการเช่นนี้มานานมากแล้ว คงเพราะไปพบคนผู้นั้นมาใช่หรือไม่ขอรับ”
จางเหยียนเหวยปรายตามองพ่อบ้านกัวคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ใช่ เขาเรียกข้าไปพบ ท่านลุงกัว การที่ข้าพบเขาอีกครา มันทำให้ข้านึกถึงเรื่องในปีนั้นขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อนึกถึงทีไร ใจข้าก็เจ็บปวดทรมาณจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“นายน้อยอย่าเอ่ยวาจาเช่นนี้!!!”
จางเหยียนเหวยไม่ตอบเขาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
โรงน้ำชาแห่งนี้เป็นกิจการเดิมที่อดีตจวิ้นอ๋องมอบให้เขา อดีตจวิ้นอ๋องผู้นั้นคือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของเขา แต่ทว่าตั้งแต่เขาจำความได้ กลับไม่เคยได้รับความสนใจจากผู้เป็นพ่อเลย อีกทั้งยังไม่สนิทสนมเฉกเช่นบิดาควรกระทำต่อบุตร ส่วนมารดาของเขาก็ทำราวกับเขาไม่ใช่บุตรแท้ๆ และยังวางท่าทีห่างเหินยิ่งนัก เมื่อเขาอายุได้สิบสองปี ท่านพ่อก็ล้มป่วยและตายจากไป ไม่นานท่านแม่ก็ตรอมใจตายตามท่านพ่อไป เขายังจำสายตาที่ท่านแม่มองเขาได้ขึ้นใจ แววตาที่ทั้งเกลียดชังและรักใคร่นั้นมันคือสิ่งใดกัน อีกทั้งคำพูดก่อนตายที่ท่านแม่เอ่ยกับเขา
“ข้าไม่น่าเก็บเจ้าเอาไว้เลย เจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าทั้งรักทั้งชังในคราวเดียวกัน!!!”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในครั้งนั้นก็ทำให้เขามีกลายเป็นคนที่เก็บตัว ผู้คนภายนอกมักมองว่าเขาโหดเหี้ยม แข็งแกร่ง เก่งกาจ รูปงามสมฐานะของเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่มีใครรู้ถึงด้านที่แสนทรมาณของเขาเลย เขาเก็บกดมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทุกคืนเขาจะฝันเห็นเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ คำพูดก่อนตายของท่านแม่วนเวียนคอยหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อท่านแม่จึงปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น จนวันหนึ่งเขาได้เข้าไปในห้องนอนของท่านแม่ และพบกับหีบใบหนึ่งที่เก็บเอาไว้ใต้เตียง เป็นอย่างดี ยามนั้นเขามีอายุได้สิบห้าปีแล้ว เขาพยายามเปิดมันออกจนกระทั่งได้พบว่ามีตำราหลายเล่มวางอยู่ในนั้น เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหยิบมันมาเปิดออกดู และทำให้เขาได้รับรู้เรื่องราวที่แสนจะโสมมผ่านตัวอักษรที่ผู้เป็นแม่เขียนบันทึกเอาไว้
ทุกตัวอักษรคล้ายเขียนออกมาจากความเคียดแค้นชิงชัง บางตัวอักษรก็คล้ายจะแสดงออกถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อเขา
เขาเคยคิดจะทำดีให้ท่านแม่พอใจ เขาตั้งใจเรียนทั้งบุ๋นและบู๊ ทำทุกอย่างให้ผู้เป็นแม่มองเห็นการมีตัวตนของเขา แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นเพียงความว่างเปล่า นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาป่วยหนัก หลังจากท่านแม่ตายจาก เขาก็เริ่มเข้าโรงสุรา โรงพนัน ยามที่อยู่คนเดียวอาการของเขาจะกำเริบ ควบคุมตนเองไม่ได้ เขาไม่อยากทรมาณอีก จึงตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเพื่ออยากหลีกหนีให้พ้นจากจวนอ๋องแห่งนี้
เขาจมอยู่กับความอัปยศมาเนิ่นนาน จึงเข้าร่วมกองทัพเวลาเพียงไม่นานเขามีชื่อเสียงเรื่องความโหดเหี้ยม ฆ่าคนไม่กระพริบตา เขาเอาความเก็บกดภายในใจใส่ลงไปบนปลายดาบ กรีดเฉือนสังหารศัตรูอย่างเลือดเย็น หยดเลือดที่สาดกระเซ็นกระทบใบหน้าราวกับของหวานที่เขาโหยหาอยู่ทุกเมื่อ
จวบจนเขาอายุได้ยี่สิบปี มีความดีความชอบที่รบชนะศัตรู เสด็จลุงจึงมอบตำแหน่งจวิ้นอ๋องให้เขาต่อจากท่านพ่อ ส่วนตำแหน่งชินอ๋องนั้นเป็นของเสด็จลุงรองของเขา ที่ยามนี้หลีกหนีไปใช้ชีวิตที่ชายแดนเพราะเบื่อหน่ายความวุ่นวายในเมืองหลวง
เขายังจำได้ดี ราชโองการแต่งตั้งเขาเป็นจวิ้นอ๋องถูกส่งมาที่ชายแดน หวังจะให้เขากลับไปรับตำแหน่งอย่างสมเกียรติ แต่เขากลับไม่ยอมกลับไป
เมื่อเติบโตจนอายุยี่สิบห้าปี เรื่องราวหลายอย่างได้สอนสั่งว่าเขาจะหนีเรื่องราวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาต้องเผชิญหน้าไม่ใช่เอาแต่หลบซ่อน หลายปีที่อยู่ชายแดนอาหารของเขาเหมือนจะดีขึ้น จนเขาเผลอคิดว่าเขาคงหายดีแล้ว จวบจนกระทั่งได้พบหน้าคนผู้นั้นอีกครา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เสด็จลุงของเขา!!
อาการของเขากำเริบขึ้นมาอีกครา เขามักทำร้ายตนเอง ต้องได้กลิ่นคาวเลือดจึงจะสงบใจลงได้
จางเหยียนเหวยแค่นหัวเราะออกมาคราหนึ่ง สมัยที่ยังวัยเยาว์เขาไม่เคยคิิดสิ่งใด คิดเพียงว่าเพราะเขาไม่น่ารักหรือ ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่รักเขา แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาจึงได้เข้าใจทุกอย่าง
เขาเข้าใจทุกอย่างแล้วจริงๆ
จางเหยียนเหวยส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง เรื่องราวเหล่านั้นตามหลอกหลอนเขามานานหลายปี มันทำให้เขารู้สึกเกลียดตนเอง เกลียดชังสิ่งรอบกาย เหตุใดสวรรค์จึงต้องทำให้เขาพาลพบกับเรื่องราวเช่นนี้ด้วย เปลือกนอกที่ผู้อื่นได้เห็นเป็นเพียงด้านที่เขาปิดบังความอัปยศของตนเองที่ไม่อาจบอกผู้ใดเอาไว้
“นายน้อย”
เสียงเรียกของพ่อบ้านกัวทำให้จางเหยียนเหวยได้สติกลับคืนมา เขาถอนหายใจออกมาคราหนึ่งพลางมองมือของตนที่ยามนี้พ่อบ้านกัวทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วคราหนึ่ง
“ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ขอบใจท่านมาก ข้าจะกลับขึ้นไปที่โรงน้ำชาด้านบน”
“ขอรับ”
จางเหยียนเหวยเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกมาจากห้องใต้ดิน เขาเดินกลับขึ้นมายังด้านบนที่เปิดเป็นร้านโรงน้ำชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทำราวกับว่าเรื่องราวเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่นานนักเขากลับได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาแตะจมูก เมื่อเงยหน้าไปมองก็พบกับไป๋เหมยเหม่ยที่กำลังยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่
จางเหยียนเหวยรู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ รอยยิ้มของนางมันดูงดงามราวแสงอาทิตย์ในยามเช้า ช่วยเยียวยาจิตใจเขาได้ชั่วขณะหนึ่ง เขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ย
"ไป๋เหมยเหม่ย"
"ท่านอ๋อง วันนี้หม่อมฉันทำมันฝรั่งเส้นผัดพริกและหม้อไฟรสเผ็ดมาให้ท่าน หม่อมฉันเตรียมวัตถุดิบอย่างดีเอาไว้ให้ท่านอ๋องโดยเฉพาะเลยนะเพคะ"
จางเหยียนเหวยหันไปมองอาหารในมือของไป๋เหมยเหม่ยก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขารีบเดินเข้าไปรับอาหารมาจากมือนางด้วยตนเอง ก่อนจะเอ่ย
"ขอบใจมาก แต่เจ้าไม่ต้องลำบาก เพียงแค่ขายอาหารก็คงเหนื่อยมากแล้ว"
"ข้าไม่เหนื่อย"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยี ก่อนจะชะงักไปคราหนึ่งเมื่อเห็นว่ามือข้างซ้ายของเขามีผ้าพันเอาไว้
“ท่านอ๋อง ได้รับบาดเจ็บหรือเพคะ”
จางเหยียนเหวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงฝึกอาวุธแล้วได้รับบาดเจ็บอีกไม่นานก็หาย”
“ต้องดูแลร่างกายให้ดีนะเพคะ กินของดีดีจะได้หายเร็วๆ เพคะ”
จางเหยียนเหวยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาที่ล้ำลึก ไป๋เหมยเหม่ยคล้ายรู้ว่าตนเองเอ่ยสิ่งใดออกไปจึงมีท่าทีประหม่าไม่น้อย
เพราะเขาช่วยนางไว้ในครั้งที่แล้ว นางจึงอยากตอบแทนเขา เขาเองก็ดูเหมือนจะไม่ถือตน เขากับผู้คนได้ง่าย นางจึงไม่ประหม่ายามที่ได้สนทนากับเขา แต่ทว่ายามนี้นางคงคิดผิดเสียแล้ว
เขาเป็นถึงท่านอ๋องสูงศักดิ์แต่นางเป็นเพียงหญิงหม้ายที่ถูกสามีหย่า การรักษาระยะห่างย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
เมื่อคิดเช่นนั้นไป๋เหมยเหม่ยจึงเอ่ยกับจางเหยียนเหวยทันที
"หม่อมฉันล่วงเกินท่านอ๋องแล้ว เอ่อ ขออภัยด้วยนะเพคะ หม่อมฉันมีงานต้องทำอีก เชิญท่านอ๋องตามสบายเพคะ"
"ช้าก่อน"
ไป๋เหมยเหม่ยที่กำลังจะเดินกลับไปที่ร้านหม้อไฟพลันหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองจางเหยียนเหวยด้วยแววตาที่สงสัย เขาบอกให้นางรอสักครู่ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ไม่นานนักก็เดินออกมาพร้อมกับยื่นกล่องอาหารส่งให้นาง ไป๋เหมยเหม่ยจ้องมองกล่องอาหารตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถาม
"นี่คือ?"
"ขนมกุ้ยฮวา นี่เป็นสูตรที่พ่อบ้านของข้าคิดขึ้นมาโดยเฉพาะ รสชาติจะไม่เหมือนที่อื่น"
ไป๋เหมยเหม่ยยื่นมือไปรับกล่องขนมมาถือเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย
"ขนมนี่..."
"ข้าทำเอง"
"ทำเองหรือเพคะ"
ไป๋เหมยเหม่ยค่อนข้างแปลกใจไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษเช่นเขาจะทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการทำขนมแบบนี้ด้วย
จางเหยียนเหวยที่เห็นท่าทางแปลกใจของไป๋เหมยเหม่ยก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ทำไม แปลกใจมากหรือ นานๆ ทำสักครั้งน่ะบุรุษก็ต้องมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายบ้าง เจ้าลองเอากลับไปชิมดูว่ารสชาติดีหรือไม่"
"ขอบพระทัยเพคะ ลูกค้าเข้าร้านอีกแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อน"
"อืม"
ไป๋เหมยเหม่ยเดินจากไปพร้อมกล่องขนมในมือ จิตใจของนางเบิกบานเป็นอย่างมาก แม้กระะทั่งลืมความเหนื่อยล้าในการทำงานไปเสียสนิท จางเหยียนเหวยละสายตาจากไป๋เหมยเหม่ยก่อนจะหันมามองอาหารตรงหน้าคราหนึ่ง พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย แต่ว่าคำพูดของฮ่องเต้ก็ทำให้จิตใจของเขาไม่สงบ อารมณ์ขุ่นเคืองเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีกครา
คิดว่าเขาไม่รู้หรือ ที่ผ่านมาเสด็จลุงดูเหมือนจะรักใคร่เขา แต่แท้จริงแล้วเกรงว่าเขาจะทานอำนาจกับจางจิ้งเฉวียนพระโอรสของตน เพียงแค่เขาคบหาเป็นสหายกับไป๋จินเซียงยามที่อยู่ชายแดนก็ถูกจับตามองมาโดยตลอด โชคดีที่เขาเป้นคนแยกแยะได้และไม่เคยหวังในอำนาจ หากเป็นเช่นนั้นรับรองได้ว่าวังหลวงย่อมต้องนองเลือดเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแววตาของจางเหยียนเหวยก็เย็นเยียบ ต้องมีสักวันที่เขาจะหลุดพ้นจากฐานันดรศักดิ์จอมปลอมเช่นนี้ ต้องมีสักวันที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบโดยไม่ต้องถูกเรื่องราวแต่หนหลังทำร้ายจิตใจได้อีก